มาดูกันว่ากว่าจะเป็น Grand Theft Auto เกมระดับอภิมหางานดีฟินข้ามปีแบบนี้ต้องผ่านกระบวนการและความเป็นมาอย่างไรบ้างครับ
ก่อนที่โลกจะได้รู้จักกับเกม Open World ก่อนที่สังคมจะได้เห็นหน้า Aiden Pierce นักพัฒนาเกมกลุ่มเล็กๆได้ทำการพัฒนาเกมที่พวกเขาอยากจะให้มันออกมาเป็นโดยไม่สนผลกำไร เกมที่พวกเขาเชื่อว่าโลกนี้สมควรได้รับสื่อบันเทิงดีๆแบบนี้
นักพัฒนากลุ่มนั้นเรียกตัวเองว่า DMA Design (บริษัทตั้งต้นของ Rockstar North) พวกเขาได้พัฒนาเกมสุดเห่ยที่อุดมไปด้วยปัญหาจุกจิกกวนใจชนิดที่ว่าเล่นยังไงก็ไม่น่าสนุกออกมาโดยใช้ชื่อว่า Race and Chase เกมต้นแบบก่อนที่จะถูกเปลี่ยนโฉมใหม่ให้กลายเป็น Grand Theft Auto
วันนี้เราจะมารับฟังคำบอกเล่าของอดีตทีมงานรุ่นเก๋าผู้สรรสร้างเกม Grand Theft Auto ถึงที่มาที่ไปและกระบวนการกว่าที่จะได้”เกมขโมยรถ”ที่เรารู้จักกันตั้งแต่ช่วงเด็กว่าเป็นมาอย่างไรบ้างครับ
Mike Dailly โปรแกรมเมอร์และฝ่ายออกแบบ
“ผมเป็นพนักงานคนแรกของ DMA Design ผมถูกชวนมาทำในปี 1989 โดย Dave Jones ผู้ก่อตั้งบริษัท โดยในปี 1994 ผมได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมพัฒนาเกมที่มีชื่อว่า Race and Chase เกมที่ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นตำรวจที่ต้องขับรถไล่ล่าอาชญากรทั้งหลาย
Dave มาพร้อมกับความเชื่อมั่นในไอเดียที่จะสร้างเกมอันเปรียบเสมือนเครื่องมือให้ผู้เล่นได้ทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการ ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นน่าจะมีโปรแกรมเมอร์ถึง 7 คนในการสร้างเกมนี้ ทุกๆการกระทำในเกมไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่อย่างเช่นการขับรถทับผู้คนบนท้องถนนได้มาจากประโยคประมาณว่า ‘เฮ้ย! มันน่าจะเจ๋งนะถ้าเราทำแบบนี้ได้’ หลังจากนั้นเราก็ได้ตัวเกมที่สามารถทดลองขับรถไปมาในเมืองได้แต่เราก็ต้องพบว่ามันมีปัญหาจุกจิกมากมายในเกมและเกมก็มักจะหลุดในทุกๆ 5 นาที แต่อย่างไรก็ตามทุกคนก็รู้สึกสนุกกับมัน
ตอนนั้นเรามีปัญหาอย่างหนักในเรื่องของระบบการชนระหว่างรถ มันแค่ใช้งานไม่ได้แบบไม่รู้เหตุผล โค้ดที่เขียนเกมนี้ก็ยุ่งเหยิงพันกันมั่วไปหมด ผมโวยวายใส่ทีมโปรแกรมเมอร์ที่ปล่อยให้มันมั่วไปซะขนาดนั้นแต่ผมว่าคนที่หนักสุดน่าจะเป็นผู้ที่รับหน้าที่ในการนำเกมไปทำลงเครื่อง Playstation เพราะเกมนี้ต้องการหน่วยความจำที่เยอะมากในสมัยนั้นซึ่งเครื่องมันไม่รองรับ
เราไม่รู้มาก่อนว่าตัวเกมมันจะใหญ่ขนาดนั้น ตอนพัฒนาเกมเราก็แค่คิดว่ามันน่าจะออกมาดี แต่เราไม่รู้หรอกว่าคนอื่นจะชอบรึเปล่าซึ่งนั่นแหละคือการสร้างเกมล่ะ เราต้องสร้างเกมที่เราอยากจะเล่นมันขึ้นมา”
– Mike Dailly โปรแกรมเมอร์และฝ่ายออกแบบจาก DMA Design
Paul Farley นักออกแบบเกม
“ผมเป็นหนึ่งในทีมออกแบบเกม Grand Theft Auto ตอนนั้นเรารู้สึกผิดหวังเล็กๆ ‘นี่มันอะไรกันเนี่ย!?’ คือสิ่งที่เราคิด มันดูเหมือนเกมขับรถสองมิติห่วยๆเกมนึงเท่านั้น เอาจริงๆมันก็ไม่ใช่เกมด้วย มันเป็นแค่ตัวอย่างของเกม ดังนั้นเราจึงเกิดไอเดียให้ผู้เล่นต้องไปรับภารกิจจากตู้โทรศัพท์สาธารณะและเกมจะต้องเปิดกว้างทางอิสระมากกว่านี้ ตอนนั้นทีมโปรแกรมเมอร์ก็ไม่เห็นด้วยอย่างแรง พวกเขาจินตนาการถึงภาพที่ผู้เล่นติดหนึบกับเกมครั้งละสองถึงสามชั่วโมงไม่ออก และพวกเขาก็คิดแค่ว่าจะทำยังไงไม่ให้เกมมันหลุดภายใน 5 นาทีของการเล่นแต่ละครั้งก็พอแล้ว
ผมและทีมออกแบบคนอื่นๆได้ทำการส่งเอกสารนับพันหน้าที่มีเนื้อหาใจความว่า ‘โอเค ถึงเวลาออกแบบเมืองขึ้นมาแล้ว’ ตอนนั้นทีมของเรานั่งคุยกันใหม่ตั้งแต่ต้นว่าเราอยากได้สถานที่แบบไหน แน่นอนว่าพวกเราอยากได้สหรัฐอเมริกา ก็มีการสุ่มชื่อเมืองขึ้นมาแมนฮัตตัน, ซาน ฟรานซิสโก และ ไมอามี่ซึ่งนั่นก็คือต้นแบบของเมือง Liberty City , San Andreas และ Vice City ตอนนั้นมันเป็นช่วงเวลาก่อนที่เราจะมีงบมหาศาลแบบในทุกวันนี้ ดังนั้นเราจึงไม่มีงบที่จะบินไปดูสถานที่ในสหรัฐอเมริกาจริงๆ เรามีแค่คอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องและอินเทอร์เน็ตให้ทำการศึกษาหาข้อมูลเมืองที่เราต้องการ สมาชิกทีมคนอื่นๆต้องออกไปดูจากห้องสมุด พวกเรามักจะกลับมาทำงานในวันจันทร์พร้อมกับคำถามที่ว่า ‘เมื่อวันหยุดดูภาพยนตร์อะไรกันไปมั่ง ? ช่วงนี้กำลังฟังเพลงอะไร ?’ เราเอาข้อมูลพวกนี้แหละมาใส่ไว้ในเกม สมาชิกทีมพัฒนาคนหนึ่งมันคลั่งไคล้อาวุธปืนมาก เราก็หยิบปืนที่มันชอบมาใส่ เราดึงเนื้อหาบางส่วนจาก Knight Rider หรือ The A-Team มาดัดแปลงให้เข้ากับเกม เราดึงฉากบางฉาก ประโยคบางประโยคจากภาพยนตร์ Speed มายัดลงไป”
– Paul Farley นักออกแบบเกมจาก DMA Design
“เราต้องการจะล้อเลียนวัฒนธรรมของสหรัฐอเมริกาและทำในสิ่งที่เราต้องการ เราวางแผนแต่แรกแล้วว่าตัวเกมจะต้องติดเรท 18+ ในบางครั้งเราก็อาจจะทำเกินเลยไปนิด อย่างเช่นมีภารกิจนึงที่เราตัดออกไป ผู้เล่นจะต้องไปทำภารกิจเผาโบสถ์ซึ่งเป็นอะไรที่พวกเขาฮากันมาก
อย่างพวกผู้คนในเกมเราก็เอามาจากภาพที่เราเห็นประชาชนเดินตามๆกันในวิดีโอจริงๆ เราก็เอามาใส่ในเกมเพื่อให้เราสามารถขับรถทับพวกคนเหล่านี้ได้ เราไม่ค่อยสนเรื่องศีลธรรมในเกมอะไรกันมากนักหรอกยกเว้นหัวหน้าโครงการพัฒนาเกมนี้นี่แหละ ผมเห็นเขาขับรถแล้วจอดตามสัญญาณจราจรในเกม ผมว่ามันเป็นอะไรที่บ้ามากนะในการทำตามกฏบนเกมแบบนี้
แต่น่าแปลกนะ ตอนนั้น Grand Theft Auto ก็มีภาพและเสียงรวมไปถึงองค์ประกอบหลายๆอย่างราวกับหลุดมาจากยุคเกมโบราณ แต่เราเชื่อกันแต่แรกแล้วว่าเกมของเราจะต้องกลายเป็นเกมที่ยอดเยี่ยม มันเหมือนเป็นความดื้อรั้นของทีมงานแต่ละคนน่ะ การที่ได้เห็นเกมออกวางจำหน่ายแล้วมียอดขายอันดับหนึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับผม เพราะเรารู้สึกแต่แรกแล้วว่าจะต้องเป็นแบบนั้น แต่ที่เราแปลกใจก็คือไม่น่าเชื่อว่าเกมนี้จะกลายเป็นตระกูลสื่อบันเทิงที่มียอดขายอันดับหนึ่งของโลกได้ต่างหาก”
– Paul Farley นักออกแบบเกมจาก DMA Design
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าด้วยความบ้าของทีมงานแต่ละคนจะผลักดันให้เกมของพวกเขากลายมาเป็นเกมอันดับหนึ่งในใจผู้คนนับล้านทั่วโลกและทำให้ทีมพัฒนาเล็กๆของพวกเขาต้องกลายมาเป็นองค์กรยักษ์ใหญ่อย่างที่เห็นใน Rockstar ทุกวันนี้ และทั้งหมดนี้ก็คือส่วนหนึ่งจากความเป็นมาของเกม Grand Theft Auto ที่เรารู้จักกันในวันนี้ครับ