BY BOM
19 Aug 18 10:02 pm

ความรู้สึกหลังเล่นเกม Firewall Zero Hour,Astrobot : Rescue Mission และ Tetris Effect(VR)

20 Views

สำหรับงาน PSX 2018 นี้ก็ได้มีเกมน่าเล่นหลายเกมไปหมด แต่หนึ่งในเกมที่หลาย ๆ คนค่อนข้างให้ความสนใจในงานนี้เป็นอย่างมากคือเกม VR ที่ทาง Sony ได้ขนมาให้ลองเล่นหลายแนว วันนี้ทางทีมงาน Gamingdose ได้ลองไปทั้งหมด 3 เกมซึ่งจะเป็นอย่างไรไปติดตามข้างล่างได้เลย

เกมแรก Firewall Zero Hour

หนึ่งในเกมที่ทางผู้เขียนได้ลองเล่นเป็นเกมแรก ๆ ของงาน PSX 2018 กับเกม Firewall Zero Hour เกมแนว FPS , Multiplayer  ที่ให้ผู้เล่นได้สวมบทบาทเป็นยอดทหารรับจ้างที่ต้องออกไปทำภารกิจ ตัวเกมแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคือ ฝ่ายในการปกป้องข้อมูลและฝ่ายที่ต้องออกไปขโมยข้อมูล ตัวเกมนำเสนอการเล่นได้ค่อนข้างสนใจ โดยเฉพาะการใช้ Tactics ต่าง ๆ ในการเอาชนะคู่ต่อสู้เช่น การวางที่แจมสัญญาณ เป็นต้น อีกทั้งตัวเกมก็ได้เน้นความสมจริงที่ทำให้สาย FPS สาย Hardcore ต้องชอบคือการ ADS (Aim down sight) ผู้เล่นต้องเอาเป้าของปืนมาไว้ที่ตาถึงจะเห็น  ทำให้รู้ได้เลยว่าผู้เล่นต้องปรับตัวขนาดใหญ่แน่นอนเมื่อได้ลองเล่นเกม

สำหรับความรู้สึกในการเล่นในงานนั้นการบังคับจะเป็นรูปแบบของการใส่แว่น VR และใช้ Gun-Joystick  ผู้เขียนนั้นได้เล่นทั้งหมด 2 แมตช์ โดยเป็นฝ่ายบุกทั้งสองเกม เกมแรกเปิดเข้ามาด้วยความไม่รู้อะไรเลย ทำให้เล่นโดยใช้สัญชาตญาณจากเกม FPS อื่นล้วน ๆ  ตัวเกมให้บรรยากาศของการทำภารกิจได้ค่อนข้างดี ผู้เล่นจะรู้อะไรเลยนอกจากต้องคำภารกิจให้สำเร็จ ด้วยความไม่รู้ทางผู้เขียนคิดว่า Demo คือการเล่นกับ AI ดังนั้นด้วยความไม่รู้จึงเดินไปมั่วทั้งแผนที่เพื่อปรับความชิน เดินไปสักพักได้ยินเสียงปืนมาจากทางด้านหลัง จึงหันไปยิง ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีหรืออะไรก็ตามแต่ กระสุนของผู้เขียนแม้ยิงทีหลังคู่ต่อสู้ แต่ว่าเข้า Headshot จึงทำให้เอาชนะในเกมแรกมาได้อย่างงง ๆ พร้อมคำถามในใจ “ชนะแล้วหรอ ?”

สำหรับเกมที่สอง รอบนี้เริ่มเป็นงาน เพราะพึ่งรู้ว่าแผนที่เรายกมาดูได้ ! จึงทำให้เดินไปทำภารกิจล้วงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว แต่แล้วด้วยการหันทิศทางของเกมที่ไม่สมูท โดยการกดทิศทางแล้วตัวละครของเราจะหันไปทันที ราวกับการถูกจับหักคอให้หมุนไปในทิศนั้น ๆ  ทำให้ผู้เขียนที่แม้จะกดเกม FPS มาเป็นประจำทุกค่ำคืน ยังโดนการ Motion Sickness เข้าเล่นงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่านักรบจะต้องไม่ทอดทิ้งสมรภูมิ ผู้เขียนจึงจำใจที่จะต้องเล่นเกมต่อไป แต่เกมนี้แม้ว่าผู้เขียนจะชินกับการบังคับมาขึ้น แต่สื่งหนึ่งที่ผู้เล่นต้องต้องนำมาใช้มากกว่าเกมอื่น ๆ คือ “ชั้นเชิง” ซึ่งผู้เขียนนั้นทำพลาดเพราะยิงไม่ทัน แม้ Damage ของปืนเกมนี้จะต่ำเมื่อเที่ยบกับเกมอื่น ๆ (ยิงบริเวณลำตัว) แต่ด้วยความเป็น VR ที่การหันกล้องที่ไม่สมูท ทำให้ผู้เขียนลงไปนอนกองกับพื้นด้วยความรวดเร็วแม้ว่าจะเป็นฝ่ายดักยิงก็ตาม

โดยรวมแล้วเกม Firewall Zero Hour เป็นเกม VR ที่น่าเล่นอย่างมากสำหรับชาว FPS สาย Hardcore แม้ว่า Demo ในงานเราจะไม่สามารถปรับความสมูทของการหันกล้องได้ แต่ว่าหากเป็นเกมตัวเต็ม ก็สามารถปรับให้หันกล้องได้แบบสมูทแบบที่ชาว FPS คุ้นเคยอย่างแน่นอน 

เกมที่สอง Astrobot : Rescue Mission

หนึ่งในเกมที่เป็นสัญลักษณ์ของเกม VR จากทางฝั่ง PlayStation ที่ในคราวนี้ทางทีมงาน Sony เป็นคนพัฒนาด้วยตัวเอง สำหรับเกม Astrobot: Rescue Mission ให้เรารับบทเป็น Captain Astrobot ผจญภัยไปในโลกที่กว้างใหญ่

ความรู้สึกในการเล่นนั้นเป็นการเล่นโดยการใช้แว่น VR กับ Joystick ในการเล่น จุดเด่นของเกมคือโลกของเกมที่ค่อนข้างสดใสและการบังคับที่ใหลลื่น โดยผู้เล่นจะได้ใช้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการบังคับ สายตาและการสังเกตุที่บางครั้งผู้เล่นจะต้องหันหัวไปรอบ ๆ ฉากเพราะว่าอาจจะมีความลับในบางจุดที่หลุดรอดพ้นสายของเราไป นอกจากนี้ตัวเกมยังไม่ได้มีเดินไปข้างหน้าและเก็บเหรียญเท่านั้น แต่ยังต่อต้องสู้กับเหล่าตัวประหลาดผู้น่ารัก ที่บางครั้งก็กระโดดมาเพื่อให้เราเตะเล่น ๆ พร้อมกับแถมเหรียญให้เป็นของตอบแทน นอกจากนี้ในฉากยังมีเหรียญให้เก็บ ซึ่งใน Demo นั้นไม่ได้บอกว่าเหรียญนี้ใช้ทำอะไร แต่ผู้เขียนคิดว่าเหรียญนี้คงมีความสำคัญในเกมเต็มอย่างแน่นอน

โดยรวมแล้วเกม Astrobot : Rescue Mission ถือเป็นเกม VR ที่น่าหามาเล่นโดยเฉพาะพ่อบ้านที่มีเครื่อง PS4 พร้อมแว่น VR อยากเปิดจินตนาการให้กับลูก ๆ เนื่องจากตัวเกมน่ารักสดใสและสามารถเล่นได่ทุกเพศทุกวัย

เกมที่สาม Tetris Effect (VR)

หนึ่งในเกม VR ที่ต่อคิวกันยาวที่สุดในงานกับ Tetris Effect (VR) ที่ผู้เขียนถือว่าเป็นเกม Tetris Effect ที่เทพที่สุดเท่าที่เคยเล่นมา ทางผู้พัฒนากล่าวว่า Tetris Effect ภาคนี้จะเป็นสามารถเล่นได้แบบ 4K 60FPS สำหรับเครื่อง PS4 PRO อีกทั้งยังจัดเต็มด้านสีแสงอย่างจัดเต็ม

ความรู้สึกในการเล่นต้องบอกว่า จริงตามคำล่ำลือของทางทีมพัฒนาเพราะ Tetris Effect (VR) นั้นเต็มไปด้วยแสงสีราวกับผู้เล่นได้โดดเข้าไปใน MV เพลง EDM ในขณะที่เล่นเกมตัวเกมมี Process สำหรับการผ่านด่านและสำหรับการเปลี่ยนฉาก ซึ่ง Demo ที่ผู้เขียนได้่ลองเล่นนั้นเป็นด่านแรกที่ต้องทำให้ได้ 24 แถวถึงจะผ่านด่าน ตัวเกมนั้นเรียกได้ว่าสุดยอด ทั้งแสง สี เสียง ที่จัดเต็ม นอกจากนี้ตัวเกมยังคงเสน่ห์เดิม ๆ เอาไว้อย่างครบถ้วน

สรุปแล้วเกมนี้เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย แม้ตัวผู้เขียนเองจะไม่ชอบเล่นเกมในซีรี่ส์ Tertris ก็ยังอยากที่จะหาภาคนี้มาเล่นนอกจากนี้เกมจะสนุกมากขึ้นหากได้เล่นในเครื่อง PS4 PRO พร้อมกับแว่น VR

Nuttawat Lokkumlue

บ๋อม - Content Writer

Back to top