กระแสของ Call of Duty: Black Ops 4 ถือว่ามาแรงมากกว่าภาคอื่นๆ ถึงแม้เกมภาคนี้จะไม่มีเนื้อเรื่องแบบ Campaign มาให้เราได้เล่น แต่ถูกแทนที่ด้วย 3 โหมดการเล่นที่สามารถเล่นได้ทันทีที่วางจำหน่าย คือโหมดผู้เล่นหลายคนที่คล้ายภาคก่อนหน้า โหมด Zombie ที่เป็นของดีของซีรี่ย์ และโหมดที่ทำให้เกมภาคนี้ดังจนฉุดไม่อยู่ ก็คือ Blackout ที่เป็นเกมแบบ Battle Royale ก็ล้วนทำให้เกมเมอร์ทั้งหน้าเก่าและใหม่ต่างอยากจับจองเป็นเจ้าของเกมนี้
แต่อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาก็มีการถกเถียงกันอยู่เสมอว่า เกมตระกูล Call of Duty ควรจะเล่นบนเครื่อง PC หรือคอนโซลกันแน่ เพราะจากเสียงของผู้เล่นในภาคก่อนๆ แล้ว เชื่อว่าการเล่นบนคอนโซล ดูจะให้ประสบการณ์การเล่น Call of Duty ได้ดีกว่า แต่สำหรับภาคนี้แล้ว มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะทางค่ายเกมก็ทำการบ้านในเรื่องเหล่านี้มาดีมาก ที่จะทำให้สังคมเกมนี้เพรียบพร้อมทั้งฝั่งคอนโซลและ PC เช่น การนำเกมเวอร์ชั่น PC ลงบน Battle.net ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มของทางบริษัทเอง เพื่อดูแลผู้เล่นได้โดยตรง (และจะไม่ต้องถูกทาง Steam หักหัวคิวอีกต่อไป)
ว่าแต่ซื้อเกมนี้บน PC หรือ PS4 อย่างไหนมันจะคุ้มกว่ากัน บทความนี้จะแยกเพื่อเทียบเป็นหัวข้อหลัก สำหรับการตัดสินใจซื้อครับ
หมายเหตุ: ในบทความนี้ไม่ได้พูดถึงตัวเกมบน Xbox One เนื่องจากในประเทศไทยมีตัวแทนจำหน่ายน้อยมากจนยากที่จะซื้อเกมนี้เพื่อเล่นบนคอนโซลดังกล่าว
1. การ Optimize ตัวเกม
สำหรับตัวเกมบน PC แล้ว ก็ถือได้ว่ากินสเปคคอมมากกว่าภาคก่อนหน้า พอให้เกมมิ่งคอมพิวเตอร์ในยุคนี้สามารถเล่นได้อย่างสบาย แต่ก็ถือว่าเป็นเกมที่กิน RAM อยู่พอสมควร (ขั้นต่ำ 8GB ได้เวลาอัพคอมละครับ) และปัญหาก็พอมีในโหมด Blackout สำหรับคอมพิวเตอร์สเปคต่ำๆ ที่อาจเจอปัญหาโหลดฉากไม่ทัน บ้านดินน้ำมันบ้าง ปัญหาเดียวกับ PUBG นั่นเอง คาดว่าปัญหาดังกล่าวนั้นจะได้รับการแก้ไขในไม่ช้า สำหรับผู้เล่นที่มีสเปคคอมพิวเตอร์ตามที่กำหนด รับรองว่าเล่นได้ลื่นแน่นอน
ส่วนตัวเกมบน PS4 แล้ว คงไม่ต้องพูดถึงมากนัก เพราะถือว่าลื่นระดับ 60 เฟรมทั้งเกมในความละเอียดจอ 1920×1080 ของเครื่อง PS4 ตัวธรรมดา แต่ก็แอบมีเฟรมตกบ้างนิดหน่อย และแน่นอน ปัญหานี้จะไม่มีใน PS4 Pro
2. ฐานผู้เล่น
หากพิจารณาฐานผู้เล่นของเกม Call of Duty ทุกภาคแล้ว ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้เล่นบนคอนโซลมีมากกว่า PC แน่นอน ซึ่งก็มีเหตุผลอยู่คือ เกมแนว FPS บน PC ค่อนข้างหลากหลายมากเมื่อเทียบกับเกมคอนโซล พวกเขาเปลี่ยนเกมเล่นกันไวเมื่อมีเกมออกใหม่ หรือแม้กระทั่งการแข่ง Call of Duty esports หลายครั้งที่ผ่านมายังเป็นการแข่งบนเครื่องคอนโซลเป็นหลัก (บางงานถึงกับมีผู้สนับสนุนเป็น PS4 กันเลยทีเดียว)
แต่สำหรับภาคนี้แล้วมันจะแตกต่างไปเล็กน้อย เพราะการเปลี่ยนมาขายเวอร์ชั่น PC ลงบน Battle.net เท่านั้น อาจเพราะเป็นการเจาะกลุ่มผู้เล่นที่เรียกได้ว่าเป็นสาวก Blizzard ให้มาลองเล่นเกมนี้ดู รวมทั้งการสนับสนุนเหล่าสตรีมเมอร์ที่เน้นการเล่นบน PC เป็นหลักมากขึ้น ผ่านการเล่นเกมโหมด Blackout ล้วนกระตุ้นยอดขายและจำนวนผู้เล่น Call of Duty ของ PC ให้สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ดังนั้น เกมภาคนี้อาจจะไม่ร้างเร็วกว่าภาคอื่น (แต่ก็มีปัญหาเหมือนกัน บางทีการหาห้องเล่น Blackout ใน PC เจอแค่ 12 คน ก็มีมาแล้ว หากันให้วุ่น แต่นั้นก็มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก)
3. การควบคุม
สำหรับผู้เล่นเดิม การควบคุมของเกมนี้ก็คล้ายภาคก่อน เผลอๆ อาจจะเข้าใจง่ายขึ้นด้วยซ้ำ โดยเฉพาะผู้เล่นที่รู้สึกว่าการไต่กำแพง กระโดดสูงมันวุ่นวาย ภาคนี้ยังไม่มีให้เห็น (แต่อาจจะมีในภายหลังก็เป็นได้)
โดยบน PS4 การเล็งยิงมีระบบ Aim Assist เปิดให้อยู่แล้ว ส่วนบน PC อันนี้ความแม่นยำของผู้เล่นล้วนๆ และแปรผันตามสเปคคอม เกมมิ่งเกียร์ของผู้เล่นว่าจะลื่นไหลขนาดไหน
แต่สิ่งที่อาจจะทำให้ทุกคนไม่ชอบใจในช่วงแรก คือระบบเก็บของในโหมด Blackout ที่จะต้องปรับตัวพอสมควร และที่เหนือไปกว่านั้น บน PS4 ใช้ Cursor ในการเลือกตัวเลือกเหมือนบน PC เลย
4. ราคา
สำหรับภาคนี้ บน PS4 ถูกกว่าบน PC เล็กน้อยประมาณหลักร้อยได้ โดยตามร้านขายแผ่น PS4 ขายในราคา 1890 บาท หรือในรูปแบบดิจิตอลในราคา 1884 บาท ส่วนบน PC ขายใน Battle.net รูปแบบดิจิตอลเท่านั้นในราคา 59.99 เหรียญหรือ 1949 บาท (ค่าเงินเหรียญสหรัฐ ณ วันที่ 17 ตุลาคม 2561) ทั้งนี้เทียบโดยใช้เกมแบบ Standard Edition
แต่เกมฝั่ง PC ลดบ่อยมากกว่า เกมนี้ก็เช่นกัน อย่างเว็บ cdkeys.com ก็มีลดราคาบ้างแล้วซึ่งจะทำให้ถูกกว่าบน PS4 และการเล่นบน PS4 จำเป็นต้องมี PlayStation Plus ในการเข้าเล่นทุกครั้ง สรุปแล้วก็เสียเงินเล่นเกมมากกว่า PC อยู่ดี
5. การสนับสนุนด้านเนื้อหา
นี่คือสิ่งที่คนเล่นบน PC จะตามไม่ทัน
สำหรับตัวเกมของ PS4 ได้รับการยืนยันว่าจะมีเนื้อหาที่สามารถได้เล่นก่อนแพลตฟอร์มอื่นแน่นอน เช่นเนื้อหาฟรีอย่าง แมพ Nuketown ในตำนาน จะเปิดให้เล่นในเดือน พ.ย. และตัวละคร (Specialists) ใหม่จะเปิดให้เล่นใน ธ.ค. ที่จะถึงนี้ และจะมาเร็วกว่า PC รวมทั้งการอัพเดทแมพ Blackout ที่จะไปไกลกว่าเพื่อน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณว่า จะซีเรียสว่าอยากเล่นก่อนหรือไม่
จะเห็นได้ว่าทั้ง 5 หัวข้อ มีการเปรียบเทียบกันที่หลากหลาย ต่างฝ่ายต่างมีข้อดีข้อเสียต่างกันออกไป หวังว่าข้อมูลดังกล่าวจะช่วยในการตัดสินใจซื้อเกม Call of Duty: Black Ops 4 ให้คุ้มค่า ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้เล่นแต่ละคนแล้วว่าพอใจกับเกมบนแพลตฟอร์มไหนมากกว่ากัน
