ในช่วงวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบ 20 ปี เกม Metal Gear Solid ในแพลตฟอร์ม PlayStation ซึ่งเป็นการแสดงให้เป็นประจักษ์ต่อเกมเมอร์ได้รู้ซึ้งถึงความทะเยอทะยานของผู้สร้างเกมอัจฉริยะ Hideo Kojima ที่ได้ทุ่มเทสร้างเกมนี้ จนกลายเป็นเกมแห่งนวัตกรรมที่วงการเกมในยุคปลาย ’90s จะต้องสั่นสะเทือน
นี่คือบทความ ” ย้อนรอย 20 ปี – Metal Gear Solid เกมสุดล้ำที่เกินกว่าจะเรียกว่าแค่ ‘เกม’ “ ซึ่งจะกล่าวพูดถึงฟีเจอร์สุดเทพของเกมลอบเร้นซีรี่ส์ Metal Gear Solid ที่เต็มไปด้วยคุณภาพเยี่ยมทุกด้าน, มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครซึ่งยากที่จะลอกเลียนแบบ (เพราะลอกยังไงก็ไม่ดีเท่า แถมโดนสาวก MGS ถล่มใส่ด้วย) ซึ่งเป็นภาคต้นกำเนิดของตำนานนักสร้างเกม Hideo Kojima ที่ตอนนี้ได้กลายเป็นบุคคลสำคัญในวงการวีดีโอเกมไปแล้ว
การเล่าเรื่องแบบ Cinematic ที่ไม่มี PS1 เกมไหนทำมาก่อน
สิ่งที่เกมเมอร์จะต้องงงแตกตั้งแต่เปิดเกมครั้งแรกเลยก็คือฉาก Intro ที่จะไม่ใช่การบิ้วด์อารมณ์ด้วย Footage แต่ใช้การบิ้วด์ด้วยการดำเนินเนื้อเรื่องโดยทันที เริ่มต้นเป็นฉากเรือดำน้ำพร้อมกับการสนทนาระหว่าง Roy Campbell กับ Solid Snake กำลังอธิบายภารกิจลอบเร้น ณ Shadow Moses พร้อมกับเปิดเผยถึงชื่อรายตัวร้ายสุดอันตรายที่ผู้เล่นจะต้องเผชิญ และก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติภารกิจจริง ตัวเกมก็เริ่มขึ้นหน้า Main Menu พร้อมกับใบหน้าตัวละครเอก Solid Snake และกด Start เพื่อเลือกเมนู ซึ่งมันแจ๋วมาก ๆ
หลังจากที่เลือกระดับความยาก ตัวเกมจะดำเนินเนื้อเรื่องด้วย Codec กับฉากคัตซีนที่ใช้ศิลปภาพยนตร์ พร้อมขึ้นเครดิตเหล่านักพากย์และทีมงานผู้สร้างเกมที่เปรียบเสมือนเป็นนักแสดงตลอดการเล่นช่วงต้นเกม แล้วเมื่อ Solid Snake ได้ขึ้นลิฟต์ก็ได้ขึ้นโลโก้เกม Metal Gear Solid ขนาดใหญ่ เป็นจุดเริ่มต้นสู่เนื้อเรื่องหลักของเกมนี้
การนำเสนอคล้ายกับภาพยนตร์ที่อัดในรูปแบบกราฟิกวีดีโอเกมพร้อมกับเสียงพากย์สุดเอกลักษณ์ Solid Snake อย่าง David Hayter และตัวละครอื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้เกมนี้มีคุณภาพแซงหน้าทิ้งขาดทุกเกมในเรื่องการนำเสนอ และการเล่าเรื่องแบบคัตซีนยาวที่มีระยะถึง 15 – 30 นาที แต่ไม่รู้สึกง่วงนอนเลยแม้แต่นิดเดียว (และนี่ก็เป็นเหตุให้เกม MGS ต้องใช้แผ่นซีดี 2 แผ่นในการเล่น)
เนื้อเรื่องซับซ้อนมีอะไรสอดแทรกมากมาย แต่น่าติดตาม
Metal Gear Solid ขึ้นชื่อว่ามีเนื้อเรื่องที่ซับซ้อน ไม่ว่าตัวเกมจะใช้ศัพท์เฉพาะของในโลกของ Metal Gear เยอะมากมาย (อะไรคือ FOXHOUND ? อะไรคือ FOXDIE ?) , มีการอ้างอิงประวัติศาสตร์จริงและสอดแทรกเรื่องการเมืองเข้ามาด้วย เกมเมอร์จึงยกให้เกม MGS เป็นเกมหนึ่งที่มีเนื้อเรื่องเข้าใจยากที่ชวนกินจุดไปตาม ๆ กัน ซึ่งก็ต้องบอกได้เต็มปากว่าเกมนี้ไม่ใช่เกมที่เหมาะสำหรับเด็กเลย เพราะต้องมีโลจิกความรู้ทั่วไปหรือศึกษาจากเว็บไซต์เพื่อประกอบความเข้าใจเพื่อให้อินกับเกมมากยิ่งขึ้น
แต่ก็ต้องขอบคุณที่เนื้อเรื่องของเกมนี้มีคัตซีนยาวพอที่จะอธิบายเรื่องราวให้เข้าใจทั้งหมด และในขณะที่ดำเนินเนื้อเรื่อง ปมปริศนาต่าง ๆ ได้เริ่มคลี่คลายมากขึ้นจากเรื่องราวใหญ่โตเป็นเรื่องใหญ่ระดับพระกาฬที่มีแต่ Solid Snake เท่านั้นที่จะกอบกู้สถานการณ์ได้ ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เนื้อเรื่อง MGS มีความน่าติดตามเป็นอย่างมาก
เกมกล้าที่จะนำเสนออะไรที่ ‘เหนือธรรมชาติ’
ถ้าคุณถามหาเกมลอบเร้นที่สมจริงที่สุด MGS คงไม่ใช่คำตอบ เพราะว่าตัวร้ายของซีรี่ส์นี้ ไม่มีทหารใครเป็นคนปกติซักคน ย้อนกลับไปในช่วง Intro ที่จะเปิดเผยตัวร้ายหน่วย FOXHOUND ทุกคนมีโค้ดเนมเฉพาะตัว ตามความสามารถพิเศษของตัวละครนั้น อย่างเช่น Sniper Wolf, Decoy Octopus, Revolver Ocelot, Vulcan Raven, Liquid Snake แต่ผู้เขียนจะพูดถึงบอสที่น่าจดจำที่สุดอย่าง Psycho Mantis ทหารพลังจิตที่มีความสามารถอ่านจิตใจคนได้
โมเม้นต์ที่ชวนหัวลุกและครีเอทีฟมากที่สุด คือ ฉาก Psycho Mantis พิสูจน์ความสามารถของตนเองให้ผู้เล่นได้เห็นโดยการอ่านไฟล์เซฟเกมที่เสียบอยู่ใน Memory Card ไว้, ความสามารถในการดับทีวีได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง (แบบหลอก ๆ) และส่วนวิธีการปราบมันก็คือการเปลี่ยนช่อง Slot ของจอย DualShock จาก Player 1 เป็น Player 2 เพื่อให้ Psycho Mantis ไม่สามารถอ่านจิตใจของผู้เล่นได้ ซึ่งการออกแบบเกมแบบนี้ ไม่มีใครทำได้นอกเหนือจากคุณ Hideo Kojima อีกแล้ว
และการออกแบบตัวละคร Gray Fox ก็ล้ำหน้าแหวกแนวที่เป็นตัวละครไซบอร์กนินจา ซึ่งแม้ว่ามันจะหลุดออกจากธีมทหารรับจ้างในชีวิตจริง แต่มันก็รู้สึกเท่มาก ๆ เหมือนกับหลุดมาจากอนิเมะหรือมังงะสังกัดโชเน็นจัมป์ แต่ทว่ากลับไม่สูญเสียอรรถรสในส่วนของเนื้อหาหลักแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าเกมนี้มีแนวคิดดั้งเดิมที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว คือ “ไม่สมจริง” และนั้นก็คือเหตุว่าทำไมถึงมีตัวละครตัวร้ายที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร และมีความน่าจดจำ
ความใส่ใจรายละเอียดระดับเต็ม MAX ในทุกด้าน
สิ่งที่ Metal Gear Solid ได้โด่งดันสุด ๆ ก็คือการใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยที่พิธีพิธัน ไม่ว่าจะเป็นฝ่าย A.I. ที่สงสัยว่ามีการบุกรุกด้วยการมองรอยเท้าของพื้นผิวหิมะ, การออกแบบ Camera ที่ชาญฉลาดโดยการใช้ Fix Camera กับ First Person ที่สามารถมองเห็นวิสัยทัศน์ได้ทั่วถึง และการออกแผนที่โดยการใช้พลังกราฟิกในเกมจริง ๆ
และเกมนี้ก็ยังแฝงเต็มไปด้วย Easter Eggs และ Secret ให้ผู้เล่นได้ไขปริศนากัน ไม่ว่าจะเป็นบทสนทนาขำ ๆ ใน Codec, สืบหาผีวิญญาณในกล้องวงจรปิดที่มีเยอะถึง 42 ตัว, บทสนา Alternate ที่ทริคเกอร์ได้แบบ “ถ้าหากเราทำแบบนี้ จะเกิดอะไรขึ้น” และอื่น ๆ อีกมากมายที่ผู้เล่นสามารถสืบหาจากการลองนู้นลองนี่
จึงทำให้เกมนี้มี Replay Vaule ที่สูงอีกเกมเพราะนอกจากเกมจะล้ำแล้ว ก็ยังมีปริศนามากมายที่ผู้เล่นยังไม่ได้ปลดล็อก แม้ว่าผู้เล่นจะไม่ได้รางวัลจากการปลดล็อก แต่รู้สึกภูมิใจทุกครั้งที่คุณสามารถค้นพบมันเจอ
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเกม Metal Gear Solid จะได้ยกย่องว่าเป็น “เกมแห่งนวัตกรรม” และ “เกมที่ดีที่สุดเท่าที่เคยทำมา” ในยุคนั้น เพราะในภาคต่อ ๆ มาอย่าง Sons of Liberty, Snake Eater, Guns of the Patriots, Peace Walker และภาคล่าสุด Phantom Pain ทางคุณ Hideo Kojima ยังคงใช้วิธีการออกแบบนำเสนอได้อย่างล้ำหน้าและการใส่ใจรายละเอียดเยอะก้าวข้ามลิมิตที่หาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน ซึ่งก็บอกได้ว่าเป็นเกมหนึ่งที่เกมเมอร์ควรลิ้มลองซักครั้งในชีวิต แม้ว่าจะเป็นเกมเก่าตั้งแต่ปี 1998 แล้วก็ตาม