เชื่อว่าในยุคนี้ชื่อของ Fallout น่าจะเป็นชื่อที่เหล่าเกมเมอร์รู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ด้วยความยอดเยี่ยมของภาค New Vegas และภาค 4 ที่มีผู้เล่นทั่วโลก แต่ก่อนที่จะมาถึงตรงจุดนั้น ภาพจำของ Fallout คือเกม RPG โลกเปิดที่มีเนื้อหาหนักหน่วงเข้มข้น แต่ก็ยังคงยั่วล้อและมีมุมที่ผ่อนคลาย ซึ่งทำให้การมารับหน้าที่สานต่อของ Bethesda ในเกมภาคที่สามนั้นดูน่าสนใจขึ้นมาไม่น้อย
และการสานต่อเนื้อหาในโลกหลังยุคสงครามนิวเคลียร์ของ Bethesda นั้นก็ถือเป็นงานหินอีกชิ้นหนึ่งของพวกเขา ซึ่งจะเป็นอย่างไรนั้น วันนี้เราจะมาระลึกถึงเรื่องนี้กัน
ก่อนอื่นเราต้องมาดูก่อนว่า ที่มาที่ไปของการพัฒนา Fallout 3 นั้นเป็นอย่างไร โดยก่อนหน้านี้ Fallout เป็นผลงานเกม Action RPG ของ Black Isle ทีมผู้พัฒนาชั้นครูผู้สร้างสรรค์ผลงานระดับตำนานมากมาย และมี Interplay เป็นผู้จัดจำหน่าย ซึ่งเกมหลักทั้งสองภาค และภาคแยกอย่าง Tactics ก็เป็นเกมที่ยอดเยี่ยมทั้งสามภาค ทว่าปัญหาด้านการเงินของ Interplay ที่เป็นบริษัทแม่และผู้จัดจำหน่ายนั้นไม่สู้ดีนัก จนเกิดปัญหาขาดทุนและล้มละลายในที่สุด และทาง Zenimax บริษัทแม่ของ Bethesda ก็เข้ามาซื้อลิขสิทธิ์เกมของทาง Interplay ไป แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาเล็งไว้มากที่สุดคือชื่อของเกม Fallout นั่นเอง
หลังตกลงกันเรียบร้อย Bethesda ก็เริ่มการพัฒนาเกม Fallout ภาคต่อทันที แม้ก่อนหน้านี้ทาง Black Isle จะมีการวางแผนโปรเจกต์ที่ชื่อว่า Fallout Van Buren มาก่อนแล้วก็ตาม ซึ่งเนื้อเรื่องที่ทาง Bethesda คิดขึ้นมานั้นจะดำเนินเรื่องอยู่ในกรุงวอชิงตันที่ล่มสลาย จนกลายเป็นดินแดนรกร้าง เปลี่ยนอดีตเมืองหลวงที่เคยจอแจให้กลายเป็น Capital Wasteland ไป
เรื่องราวของ Fallout 3 นั้นเกิดขึ้นในปี 2277 ตัวเอกที่เป็นผู้อยู่อาศัยใน Vault 111 มาตั้งแต่เกิด ได้พบว่า vault ที่เขาอยู่อาศัยนั้นเกิดการจลาจลขึ้น และพ่อของเขา(รับบทโดยลุง Liam Nelson ที่ทุกคนรู้จักกันดีจากภาพยนตร์เรื่อง Taken) ก็หายตัวไปและอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับความวุ่นวายนี้ ทุกคนรวมไปถึง Overseer ของ Vault 111 ด้วย ตัวเอกของเราจึงต้องรีบหนีออกมาและออกตามหาพ่อเพื่อค้นหาความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วพ่อของเขามีเป้าหมายอะไรกันแน่
ซึ่งนั่นก็คือเนื้อเรื่องหลักของภาคนี้ และหลังจากนั้นก็ตามสไตล์ของเกมจาก Bethesda ที่ผู้เล่นจะลืมไปในทันทีว่า เป้าหมายของเควสหลักนั้นคืออะไรกันแน่ เพราะเราจะได้เจอกับมหกรรมการทำเควสเสริมที่ถล่มเข้ามาอย่างมหาศาล จนทำให้เราลืมไปเลยว่าต้องไปหาพ่อ แต่กลับกลายเป็นว่าเราจะได้เพลิดเพลินกับการไล่แก้ปัญหาของเหล่าผู้คนที่ได้เจอไปตลอดทั้งเกมแทน และยังเต็มไปด้วยความลับมากมายให้ค้นหาเช่นเดิม
เรื่องหนึ่งที่แฟนเกมต่างกังวลก็คือ ระบบการเล่นที่ถูกเปลี่ยนแปลงไป เพราะเดิมทีนั้น Fallout เป็นเกม RPG แบบ Turn Base ผลัดตากันเดิน มีการเลือกยิงสร้างความเสียหายแบบแยกส่วนตามร่างกาย มี Perk มากมายให้เลือกใช้ และแนวทางการพัฒนาตัวละครก็มีมากมาย ซึ่งทาง Bethesda ก็ดัดแปลงระบบให้สดใหม่ได้น่าสนใจทีเดียว เพราะการยิงแบบแยกส่วนนั้นจะถูกเรียกว่า V.A.T.S. ที่ผู้เล่นจะทำการหยุดเวลา และเลือกได้เลยว่าจะยิงหรือโจมตีเข้าตรงส่วนไหน จะยิงตัดขาให้เดินช้าลง ยิงหัวให้มองมองไม่เห็น ก็ทำได้ทั้งนั้น แถมยังมีการตัดฉากโดนยิงแบบหัวขาด ตัวระเบิดแบบครบถ้วน แบบที่เคยมีมาใน Fallout ภาคเก่า แต่เป็นแบบสามมิติแทน
เรียกว่านี่เป็น Fallout ที่มีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยที่ดีมากที่สุดภาคหนึ่ง ดูร่วมสมัยและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เปลี่ยนจากการคำนวณผลจากค่าสถิติในเกมมาเป็นการจับปืนยิงกัน แม้ความแม่นยำต่าง ๆ จะอิงจากค่าพลัง แต่ก็ให้ความรู้สึกที่ดีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
ทว่าความเปลี่ยนแปลงนี้ก็มาพร้อมกับเสียงโอดครวญของแฟนเกมรุ่นเก่า เพราะพวกเขานั้นไมเชื่อมือของ Bethesda และกลัวว่ามันจะกลายเป็น The Elder Scrolls เวอร์ชั่นถือปืนไปแทน(ซึ่งมันก็เป็นจริงตามนั้น ฮา) การแก้เควสแม้จะวิธีหลากหลาย แต่ก็ตื้นเขิน มุกตลกแบบเสียดสีก็จางหายไปจนหาแทบไม่เจอ และที่น่าขัดใจคือเหล่า Brotherhood of Steel ที่ถูกแก้ภาพลักษณ์ เปลี่ยนไปกลายเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม ไม่ใช่พวกหวงเทคโนโลยีและกระทำการเด็ดขาดในการจัดการเหล่าคนเห็นต่างเหมือนเกมภาคเก่า ซึ่งทำให้เรื่องราวของเกมเปลี่ยนแปลงไปจนหลายแฟนเกมเก่า ๆ ไม่พอใจกันมาก
แต่ในทางกลับกันมันก็สามารถดึงดูดคนเล่นใหม่ ๆ ให้มารู้จักชื่อ Fallout ได้มากขึ้น ไม่ว่าจะด้วยระบบการเล่นที่เข้าถึงง่ายกว่าเดิม เนื้อเรื่องที่แม้จะเปลี่ยนแปลงไปแต่ก็ยังคงมีการนำเสนอเนื้อหาในระดับที่ดี จนทำให้ความนิยมของเกมในโลกยุคหลังหายนะเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ และแม้ภาพลักษณ์ของเหล่า BOS ในชุด Power Armor จะไม่เหมือนเดิม แต่มันก็ทำให้เหล่าผู้เล่นจดจำพวกเขาได้ไปในที่สุด แม้จะไม่เหมือนเดิมก็ตาม
และที่ยอดเยี่ยมคือ Fallout 3 เองก็มี DLC เสริมเรื่องราวในเกมออกมาให้เล่นเพียบเช่นกัน แถมยังมีธีมที่น่าสนใจมากในแต่ละแบบ เช่น Mothership Zeta ที่ให้เราาขึ้นไปลุยบนยานอวกาศของเหล่าเอเลี่ยน Point Lookout ที่มีเนื้อเรื่องลึกลับตื่นเต้นซ่อนอยู่ และ Broken Steal ที่ให้ผู้เล่นได้เล่นเกมต่อหลังจากจบแล้วได้ด้วย
และหลังจากนั้น Bethesda ก็ได้มอบหมายให้เหล่าศิษย์เก่าจาก Black Isle ที่กลับมารวมตัวสร้างบริษัทเกมใหม่ในชื่อ Obsidian Entertainment และสร้าง Fallout ภาคใหม่ในชื่อว่า New Vegas ที่กลายเป็นตำนานจนถึงวันนี้นั่นเอง
แม้ Fallout 3 จะถูกใครหลายคนมองว่าเป็นภาคที่แย่ที่สุด แต่ความสนุกของมันก็ไม่ได้ถือว่าขี้เหร่ แถมยังเป็นการลองทำอะไรใหม่ ๆ ของทาง Bethesda ที่แหวกกรอบไปจากเดิม แม้การนำกลับมาเล่นอีกครั้งในยุคนี้จะลำบากไปหน่อยก็ตาม(ตัวเกมไม่รองรับระบบปฏิบัติกานรุ่นใหม่กว่า XP ซึ่งผู้เล่นต้องหาทางแก้ไขกันเอง) แต่ถ้าหากหามาเล่นได้ และมีโอกาสได้ลอง นี่ก็ถือเป็น fallout อีกภาคหนึ่งที่คุณไม่ควรพลาดทีเดียว
และแม้ก้าวแรกของ Bethesda ในโลกหลังหายนะจะขลุกขลัก แต่มันก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี และถูกต่อยอดไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจในเวลาต่อมาอีกด้วยครับ