BY Nuttawut Apiratwarakul
11 Oct 24 10:42 am

รีวิว Metaphor: ReFantazio

1,379 Views

ในโลกที่สังคมถูกแบ่งแยกแบบชัดเจน โลกที่ชาติกำเนิดของผู้คนเป็นตัวกำหนดจุดยืนในสังคม โลกที่การเหยียดหยามและกดขี่เผ่าพันธุ์ซึ่งต่ำต้อยกว่ากลายเป็นเรื่องปกติโดยไม่มีใครตั้งคำถาม และเป็นโลกที่ผู้มีอำนาจทำทุกวิธีเพื่อยึดกุมรักษาขนบดั้งเดิมเอาไว้ 

ผมไม่ได้กำลังบรรยายถึงโลกของเราแต่นี่คือ Setting หลักของผลงานเกม Metaphor: ReFantazio ผลงานชิ้นใหม่ของทีมงาน Studio Zero อดีตทีมงานชั้นเซียนผู้พัฒนาซีรีส์ชื่อดังอย่าง Persona 

ซึ่งบอกได้เลยว่าครั้งนี้พวกเขาทะเยอทะยาน มีเรื่องที่อยากจะเล่า มีข้อความที่อยากส่งถึงคนอื่น และนั่นก็ทำให้แก่นหลักของผลงานเกม Metaphor: ReFantazio น่าสนใจและแตกต่างจากซีรีส์ Persona อย่างชัดเจนในหลายจุด

แน่นอนว่ามันมีบางส่วนที่หยิบยืมระบบเก่าที่คุ้นมือทีมงานกลับมาใช้ มีเสน่ห์และรสชาติหลักที่เราคุ้นชิน แต่ Metaphor: ReFantazio เป็นมากกว่าแค่ Persona 5 ในโลกแฟนตาซี และทำไมเราถึงคิดแบบนั้น มาดูคำตอบไปพร้อมกันครับ

เนื้อเรื่อง: 

Metaphor: ReFantazio ดำเนินเรื่องราวอยู่ในโลกแฟนตาซี ที่สัตว์ประหลาด การใช้เวทมนตร์ รวมไปถึงเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ มีอยู่จริง เนื้อหาของเกมเกิดขึ้นในสหราชอาณาจักร Euchronia (ยูโครเนีย) ที่เผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ใช้ชีวิตอยู่รวมกัน 

และแม้ภายนอกผู้คนในราชอาณาจักรจะอยู่รวมกันโดยสันติ แต่เนื้อในของสังคมกลับฟอนเฟะด้วยปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะการเหยียดหยามเผ่าพันธุ์ที่ถูกจัดให้เป็นเผ่าระดับล่าง 

เรื่องราวในเกมเริ่มต้นขึ้นเมื่อราชาองค์ปัจจุบันของยูโครเนียถูกลอบสังหาร นำไปสู่การ “แข่งขัน” เพื่อคัดเลือกราชาองค์ใหม่ที่จะขึ้นครองแผ่นดิน 

ถ้า Persona พาผู้เล่นเข้าสู่ชีวิตในโลกสมัยใหม่ยุคปัจจุบัน ที่ผสมผสานองค์ประกอบเหนือธรรมชาติและการวิพากษ์วิจารณ์สังคม Metaphor: ReFantazio พาผู้เล่นเข้าสู่โลกแฟนตาซีเต็มรูปแบบ ที่มีทั้งเวทมนตร์ มอนสเตอร์ และเกมการเมืองที่ซับซ้อนแทน

และในขณะที่ Persona 5 ย้ำถึงการก่อกบฏต่อต้านความอยุติธรรมในสังคมผ่านกลุ่มวัยรุ่นหัวขบถ Metaphor: ReFantazio กลับเน้นไปที่ธีมแฟนตาซีแบบดั้งเดิมและพาเราไปสำรวจความอยุติธรรมและความขัดแย้งแบบเดียวกับที่เราพบเจอใน “โลกจริง” ของเราแทน 

ในด้านที่โดดเด่นและเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิมก็อาจจะกล่าวได้ว่า Metaphor: ReFantazio พาเราไปดูความขัดแย้งที่มีวงกว้างยิ่งขึ้น และตัวละครในเกมก็มีเป้าหมายมีค่านิยมที่ตัวเองยึดถือในจิตใจ หรือเรียกได้ว่ามีความยุติธรรมในแบบฉบับของตัวเอง 

ทำให้ตัวละครใน Metaphor: ReFantazio มีความลุ่มลึกและน่าสนใจ แม้จะเป็นฝั่งที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นศัตรูของเราก็ตาม 

และแม้ว่าความเข้มข้นในเนื้อเรื่องของ Metaphor: ReFantazio อาจมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ก็ยังคงความเป็นเรื่องราวส่วนตัวที่ทำให้ผู้เล่นเชื่อมโยงกับตัวละครเพื่อน ๆ แบบแนบแน่นเหมือนเดิม เหล่าแฟน ๆ ของ Persona ที่ชื่นชอบเรื่องราวที่ลึกซึ้งก็ไม่ต้องกลัวกันไป เราจะยังอยู่กับธีมการสำรวจตัวเอง การพยายามก้าวข้ามความกลัวในใจ และเรื่องราวของมิตรภาพไม่ได้หนีหายหรือทิ้งกันไปไหน

โดยรวมแล้ว “เนื้อเรื่อง” จัดเป็นไม้เด็ดที่สุดของ Metaphor: ReFantazio ตัวเกมนั้นดำเนินเรื่องราวฉับไวขึ้นกว่าผลงานเดิมของค่ายอย่างเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดเกมมาเราก็จะติดหนึบอยู่กับหน้าจอและอยากรู้ว่าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปในทิศทางไหน จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ ชะตากรรมต่างตัวละครต่าง ๆ จะเป็นยังไง

เรื่องราวของเหล่าตัวเอกในเกม จะมีทั้งเสียงหัวเราะ คราบน้ำตา และฉากกระแทกอารมณ์มากมาย ตัวละครทุกตัวถูกเขียนขึ้นมาอย่างดี เรื่องราวในบทต่าง ๆ เข้มข้นขึ้นอย่างต่อเนื่องจนไปสู่บทสรุปที่ตรึงใจ

แน่นอนว่าตลอดการเดินทางกว่า 100 ชั่วโมงของเกม ก็มีบ้างที่เนื้อหาสลับปรับเกียร์ผ่อนคันเร่งลงมาหรือมีจุดที่ผู้เล่นอาจจะรู้สึกว่ามีความยืดยาวมากจนเกินไป แต่ทั้งหมดทั้งปวงก็ช่วยสนับสนุนในการสร้างโลกของเกมให้น่าสนใจ เป็นโลกที่เรารู้สึกว่ามีอยู่จริงและดำเนินไปด้วยกฎกติกาของตัวมันเอง 

ระบบการต่อสู้: 

หัวใจของ Metaphor: ReFantazio ยังคงเป็นระบบการต่อสู้แบบเทิร์นเบส แต่มีการใส่รสชาติใหม่เพิ่มชั้นของการต่อสู้แบบเรียลไทม์เข้ามาด้วย 

การต่อสู้แบบเรียลไทม์นั้นพูดง่าย ๆ ก็เหมือนเป็นการหยิบเอาระบบโจมตีก่อนใน Persona มาขยายให้มีความสนุกมีลูกเล่นมากขึ้นกว่าเดิม  โดยระหว่างที่ตัวละครของเราเดินใน Field ภายในดันเจี้ยน เราจะสามารถโจมตีตัวละครศัตรูได้แบบอิสระ 

หากศัตรูตัวดังกล่าวอ่อนแอกว่าเรามาก ๆ มันก็จะถูกกำจัดทิ้งไปโดยทันที แต่หากมันแข็งแกร่งเท่า ๆ กับเราหรือแกร่งกว่าเราการโจมตีใน Field เพื่อทำลายเกจการป้องกันของพวกมันจนหมดจะทำให้เราได้โจมตีเปิดฉากก่อน ก่อนเข้าสู่การต่อสู้แบบเทิร์นเบส 

และเช่นเดียวกันหากเราดันถูกศัตรูโจมตีใน Field เราจะถูกตัดเข้าสู่การต่อสู้ในแบบเทิร์นเบสแบบเสียเปรียบอย่างหนักแทน ในความยากระดับ Normal ขึ้นไปนั่นอาจจะหมายถึงการโดนตบดับทั้ง Party เลยก็อาจจะเป็นไปได้

นอกจากนั้นตัวศัตรูใน Field ยังมีอนิเมชั่นการโจมตีที่แตกต่างกันไป และแม้แต่ Archetype หรือ Class ของตัวละครหลักของเราก็มี Skill ที่ส่งผลช่วยเหลือในการต่อสู้กับศัตรูบน Field เช่นฟื้น MP หรือ HP เมื่อจัดการกับศัตรูได้ในการต่อสู้แบบเรียลไทม์  

แต่น่าเสียดายนิดหน่อยที่การบังคับในฝั่งการต่อสู้แบบเรียลไทม์นั้นยังไม่ค่อยลื่นไหลเท่าที่ควร โดยเฉพาะในช่วงแรกเชื่อได้ว่าหลายคนจะต้องอาศัยการฝึกฝนอยู่สักพักกว่าจะคุ้นชินการบังคับ 

อย่างที่ย้ำกันในข้างต้นสุดท้ายแล้วหัวใจของ Metaphor: ReFantazio ยังคงเป็นระบบการต่อสู้แบบเทิร์นเบส ผู้เล่นยังคงต้องใช้กลยุทธ์ วางแผนในการออกคำสั่ง บริหารทรัพยากร และโจมตีศัตรูที่มีจุดอ่อนต่างๆ 

ในส่วนของระบบการต่อสู้นั้นใครที่เคยสัมผัสกับ Persona หรือ Megami Tensei มาแล้วก็จะเข้าใจการต่อสู้ภายในเกมได้แบบทันที กล่าวคือตัวเกมนั้นเน้นหนักไปที่การโจมตีจุดอ่อนของศัตรูรวมไปถึงการใช้ Skill ต่าง ๆ เพื่อสร้างความได้เปรียบในระหว่างการต่อสู้

แน่นอนว่า  Metaphor: ReFantazio ก็ใส่ระบบใหม่ ๆ เข้าไปให้มีความหลากหลายและน่าสนใจ เช่นระบบ Row ที่ตัวละครมีตำแหน่งการยืนในแถวหน้าแถวหลัง ระบบ Half Turn และระบบการพัฒนาตัวละครอย่าง Archetype

จุดที่มีการพัฒนาปรับปรุงก็น่าจะเป็นเรื่องของความรวดเร็ว โดยรวมแล้วการต่อสู้ใน Metaphor: ReFantazio ค่อนข้างจะมีความเร็วสูงกว่าในสองเกมข้างต้นที่ว่ามา ยิ่งไปกว่านั้นตัวเกมยังใส่ระบบ Retry ที่ทำให้เราสามารถ “ย้อนเวลา” กลับไป Turn ที่ 1 ของการต่อสู้ได้เลยทันทีผ่านการกดปุ่มแค่ปุ่มเดียว เป็นการอำนวยความสะดวกให้การต่อสู้ในเกมลื่นไหลมากขึ้นกว่าเดิม

การปรับแต่งตัวละครผ่านระบบ Archetype :

ในขณะที่ Persona 5 เน้นไปที่การรวบรวมและฟิวชั่น Persona ที่มีความสามารถและจุดแข็งที่แตกต่างกัน Metaphor: ReFantazio ย้อนกลับไปใช้ระบบแบบเดียวกับเกม JRPG ที่หลายคนคุ้นเคยอย่างระบบอาชีพ แทน 

อาชีพภายในเกมนี้จะถูกเรียกว่า Archetype ซึ่งผู้เล่นสามารถปรับแต่งตัวละครในทีมได้อย่างเต็มที่เต็มรูปแบบ เราสามารถสลับสับเปลี่ยน Archetype ที่เราปลดล็อกมาแล้วให้ตัวละครในทีมได้อย่างอิสระ อยากให้ทีมมี Mage 2 คนก็ทำได้ อยากให้ทีมเป็นทีมสมดุลมี Warrior มี Healer มี Knight ก็ทำได้อีกเช่นกัน

ระบบนี้เปิดโอกาสให้ผู้เล่นมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการออกแบบตัวละคร ซึ่งเหนือกว่าระบบฟิวชั่น Persona ของเกมตระกูล Persona ที่เพื่อนร่วมทีมของเราถูกจำกัด Skill เฉพาะตัวเอาไว้ และมีเพียงตัวละครเอกเท่านั้นที่ปรับแต่ง Skill ได้อย่างอิสระ

Archetype ภายในเกมนั้นมีให้เลือกใช้หลากหลายแบบ โดยมี Archetype พื้นฐาน 12 ชนิดและมี Archetype ระดับสูงให้เราไล่ปลดอีก ชนิดละ 2 ระดับ โดยรวม ๆ แล้วก็มี Archetype ให้ไล่ล่ากันกว่า 30 แบบเลยทีเดียว 

เราสามารถปลดล็อก Skill ของ Archetype ต่าง ๆ และนำไปติดตั้งใส่ Archetype อื่นได้ผ่านระบบ Inherit ดังนั้นจะปั้นสุดยอดนักดาบที่มี Skill Passive โจมตีแรง หรือจะปรับให้นักดาบเรามีการฟื้น MP หรือหลบการโจมตีบางอย่างได้ดีก็สามารถทำได้ตามใจ 

ยิ่งไปกว่านั้นการจัดทีมยังส่งผลต่อ Bonus ของ Skill Passive บางอย่างและเป็นตัวกำหนดท่าโจมตีขั้นสูงหรือที่ตัวเกมเรียกว่า Synthesis Skill อีกด้วย โดย Synthesis Skill เป็นการผสมการโจมตีของ Archetype 2 ตัวภายในทีมเพื่อสร้างการโจมตีที่รุนแรงยิ่งขึ้น 

ยกตัวอย่างเช่น การมีตัวละครอาชีพ Mage สองคนในทีม จะทำให้สามารถร่ายคาถาไฟหรือน้ำแข็งที่รุนแรงหรือโจมตีเป็นวงกว้างได้  คอมโบ Warrior และ Knight สามารถผสานการโจมตีพิเศษให้รุนแรงยิ่งขึ้นและทำให้ศัตรูติด Debuff ได้เป็นต้น

ตัวเกมนั้นผลักดันให้ผู้เล่นสลับ Archetype ไปมาตามความเหมาะสม เพราะศัตรูภายในเกมมีการแพ้ทางที่แตกต่างกันไป ซึ่งตัวเกมก็แนะนำผ่านระบบหลายอย่างทั้งการสามารถกดตรวจเช็กได้ว่าผู้เล่นคนอื่น ๆ ผ่านดันเจี้ยนที่เราอยู่ด้วยตัวละครระดับไหน ใช้ Archetype ใดบ้างในทีม หรือการซื้อข่าวผ่านนายหน้าข้อมูลที่จะบอกใบ้จุดอ่อนจุดแข็งของบอสหรือมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนต่าง ๆ 

ส่วนตัวแล้วผมสนุกกับการเก็บเลเวล Rank ของ Archetype เพื่อปลดล็อกคอมโบใหม่ ๆ และตื่นเต้นทุกครั้งเวลาตัวเกมแนะนำ Archetype ใหม่ ๆ มาให้ใช้งาน ยิ่งในช่วงหลังของเกมเราจะมี Archetype ล้ำ ๆ ที่มีสไตล์การเล่นแตกต่างจากรูปแบบการเล่นพื้นฐานอย่าง Mage Healer หรือ Warrior ทำให้การผสม Skill ใหม่ ๆ ยิ่งสนุกมากขึ้นกว่าเดิม Archetype จึงจัดเป็นระบบไม้เด็ดและอีกจุดเด่นของเกมเลยก็ว่าได้

ใครที่ชื่นชอบการปลุกปั้นตัวละครจะสนุกกับตัวเกมตั้งแต่ช่วงแรกไปจนถึงช่วงท้ายเกมกันเลยทีเดียว

การจัดการเวลาและความสัมพันธ์: 

หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของเกม Persona 5 ก็คือระบบ Social Links ที่ผู้เล่นสามารถพัฒนาสร้างความสัมพันธ์กับตัวละครต่างๆ และปลดล็อคความสามารถใหม่ ๆ

สำหรับเกม Metaphor: ReFantazio ระบบนี้ก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิมแต่มีการปรับปรุงในบางส่วน อย่างแรกก็คือการเลือกตอบคำถามในสถานการณ์ต่าง ๆ จะไม่ได้ส่งผลต่อค่าความชอบอีกต่อไปแล้ว พูดง่าย ๆ ว่าเราไม่ต้องมานั่งเปิดไกด์ดูแล้วว่าจะต้องตอบยังไงให้โดนใจเพื่อน ๆ มากที่สุด 

ความสัมพันธ์ของเพื่อนและตัวเอกจะพัฒนาไปเรื่อย ๆ โดยอัตโนมัติผ่านการใช้เวลากับพวกเขา  แต่การตอบคำถามให้โดนใจจะเป็นการได้แต้ม MAG ซึ่งเป็นทรัพยากรในการพัฒนาตัวละครในระบบ Archetype มาแทน ซึ่งจริง ๆ เราสามารถได้ MAG ผ่านช่องทางอื่น ๆ อย่างการต่อสู้กับศัตรูอยู่แล้ว การตอบคำถามให้ถูกต้องตรงเป๊ะจึงไม่มีความสำคัญมากเท่าไหร่

การพัฒนาระดับความสัมพันธ์จะเชื่อมโยงกับการพัฒนา Archetype และการปลดล็อกตัวช่วยใหม่ ๆ ทำให้เกมการเล่นในส่วนนี้เชื่อมโยงกับระบบพัฒนาตัวละครโดยตรง พูดง่าย ๆ ว่ายิ่งคุยกับเพื่อนเราก็ยิ่งเก่งขึ้น มีลูกเล่นใหม่ มีตัวช่วยใหม่ ๆ ในการผจญภัยมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

นอกจากนี้ Metaphor: ReFantazio ยังคงใช้ระบบการจัดการเวลาเหมือนใน Persona 5 แต่เปลี่ยนจากชีวิตประจำวันในโรงเรียนไปสู่การผจญภัยในโลกแฟนตาซี ซึ่งทำให้การวางแผนเวลามีความสำคัญมากเหมือนเดิม และในเกมนี้ยิ่งล้ำหน้าไปอีกเพราะการผจญภัยใน Metaphor: ReFantazio ไม่ใช่การติดอยู่ในเมืองเพียงเมืองเดียวแต่เป็นการผจญภัยไปทั่วทวีป 

นอกจากการบริหารเวลาสำหรับทำกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งการลุยดันเจี้ยน ทำภารกิจหลัก ภารกิจย่อย พัฒนาความสามารถตัวละครเอก หรือ เพิ่มความสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ เรายังต้องมีการบริหารเวลาในการเดินทางเพื่อไปยังจุดหมายต่าง ๆ เพิ่มเข้ามาอีกด้วย ยิ่งโดยเฉพาะบางภารกิจในเกมจะมีเวลากำหนดเอาไว้ว่าต้องทำให้สำเร็จก่อนวันไหน

การนำเสนออันแสนโดดเด่น: 

จุดแข็งใหญ่อีกอย่างของเกมที่เรียกได้ว่าน่าจะดึงดูดหลายคนให้หันมาสนใจ ก็คือเรื่องของสไตล์การนำเสนอ  Metaphor: ReFantazio มีการนำเสนอที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ หน้าจอเมนู UI ต่าง ๆ ถูกออกแบบมาได้งดงามสะกดสายตา  

แม้จะมีบางส่วนที่อาจจะดูรกเกินไปนิดหน่อย แต่งานออกแบบของเมนูต่าง ๆ สามารถใช้งานได้ง่าย เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว มีการออกแบบงานศิลป์ที่โดดเด่น

และก็ไม่ใช่เฉพาะแค่หน้าจอหรือฝั่งเมนูเท่านั้น งานศิลป์ในทุกภาคส่วนของเกมบอกเล่าสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของทีมออกแบบ ตัวละคร เครื่องใช้ สภาพแวดล้อม รวมไปจนถึงศัตรูภายในเกม ทุกอย่างถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีและโดดเด่นด้วยกันทุกภาคส่วน

เรียกได้ว่าใครชอบผลงานเกมที่งานออกแบบโดดเด่นจะต้องหลงรักรายละเอียดต่าง ๆ ที่ถูกใส่เอาไว้ภายในเกม 

เพลงประกอบก็ยอดเยี่ยมตามมาตรฐานของทีมงาน โดยขณะที่ Persona ใช้เพลงสมัยใหม่สะท้อนอารมณ์รวมของเกมออกมา ฝั่ง  Metaphor: ReFantazio ก็มีบทเพลงที่ฟังแล้วทำให้รู้สึกถึงความแฟนตาซีได้แบบชัดเจน ช่วยขับเน้นความรู้สึกของการออกผจญภัยไปยังโลกอันห่างไกลได้เป็นอย่างดี

 

ตัวเกมยังมีการบอกเล่าเรื่องราวผ่านการใช้อนิเมชั่น ซึ่งครั้งนี้ทีมงานจัดเต็มใส่อนิเมชั่นเข้ามาให้เราได้ชมตลอดทั้งเกม เรียกได้ว่ามีจำนวนอนิเมชั่นให้ได้ชมกันแบบเต็มอิ่มเลยทีเดียว 

และอีกอันที่เป็นพัฒนาการสำคัญมากของเกมก็คือคราวนี้ตัวเอกของเรามีเสียงพากย์ มีบทพูดภายในเกมแบบเต็มตัวเสียที จุดนี่ช่วยเพิ่มอารมณ์และน้ำหนักในการเล่าเรื่องได้อย่างชัดเจน

หากจะมีจุดติที่ต้องพูดถึงก็น่าจะเป็นเรื่องของตัวงานภาพในแง่ของเทคนิค ถ้าเทียบกับเกมยุคปัจจุบันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่างานภาพโดยรวมของ  Metaphor: ReFantazio แม้จะโดดเด่นในด้านการออกแบบ แต่เทคโนโลยีการแสดงผลก็เริ่มดูเก่าไปบ้างแล้ว 

ตัวละครไม่ได้มีรายละเอียดจำนวนมากและถูกแสดงผลด้วยกราฟิกแบบง่าย ๆ ด้านสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะในดันเจี้ยนต่าง ๆ แม้จะมีความหลากหลายในฝั่งสภาพแวดล้อมแต่ก็ปิดจุดด้อยในเรื่องของรายละเอียดพื้นผิวและแสงเงาไม่สำเร็จ และในบางครั้งบางมุมผลงานเกมที่เก่ากว่าที่ออกไปแล้วอย่าง Persona 3 Remake หรือ Shin Megami Tensei V ก็ดูมีความสวยงามด้านเทคโนโลยีเหนือกว่าด้วยซ้ำ

ดังนั้นใครที่คาดหวังจะเห็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดดจาก Persona 5 ก็อาจจะผิดหวังในส่วนนี้กันได้ อีกจุดที่ต้องพูดถึงเล็กน้อยก็คือตัวเลือกในการปรับแต่งการแสดงผลบน PC ที่ค่อนข้างจำกัดมาก ๆ ซึ่งเราก็อยากจะให้ ATLUS ปรับปรุงพัฒนาในส่วนนี้กันด้วย

 

สรุป: 

Metaphor: ReFantazio คือผลงานที่ทีมงานใส่ประสบการณ์ทุกอย่างที่ผ่านมาเข้าไปและพยายามขัดเกลาสูตรสำเร็จเดิมให้พัฒนาไปอีกขั้น 

แม้โดยรวมตัวเกมจะมีความเหมือนกับผลงานที่ผ่านมาของค่ายอย่าง Persona ในหลาย ๆ จุดจนใครที่มองหาอะไรที่แปลกใหม่หรือคาดหวังว่าทีมงานจะนำเสนอสิ่งที่แตกต่างจากเดิมมาก ๆ อาจจะผิดหวังเพราะถ้าเปรียบเป็นอาหารก็ต้องบอกว่าเป็นเมนูเดิมที่ปรุงด้วยสูตรใหม่แทนที่จะเป็นเมนูใหม่ด้วยวัตถุดิบใหม่ทั้งหมด

แต่ด้วยเนื้อหาที่ตื่นเต้นเร้าใจตั้งแต่ต้นจนจบ ธีมหลักของเรื่องที่แข็งแกร่ง  การนำเสนอที่โดดเด่นแบบไม่อาจหาใครมาเทียบด้วยความมั่นใจแบบเต็มที่ของทีมงาน และระบบการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบ ส่งให้ Metaphor: ReFantazio เป็นสุดยอดผลงานเกม JRPG ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบหลายปี แฟนเกมคนรัก JRPG ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

ตัวเกมวางจำหน่ายแล้วบน STEAM : https://bit.ly/4dALesk

Metaphor: ReFantazio

9 / 10 คะแนน

9

ข้อดี

  • เนื้อเรื่องยอดเยี่ยมลึกล้ำน่าติดตาม
  • ระบบการเล่นสนุก มีอะไรใหม่ ๆ ให้ตื่นเต้นเสมอ
  • เสียงพากย์และดนตรีประกอบคุณภาพสูง
  • งานออกแบบที่เหนือล้ำสะกดสายตา

ข้อเสีย

  • เทคโนโลยีด้านกราฟิกที่เริ่มดูเก่าโดยเฉพาะรายละเอียดพื้นผิวและสภาพแวดล้อมบางฉาก
  • UI มีการเคลื่อนที่และกระพริบตลอดเวลา

Nuttawut Apiratwarakul

โน้ต - Co-Founder / Editor-in-chief

Back to top