BY Aisoon Srikum
9 Jul 21 5:34 pm

รีวิว : Resident Evil: Infinite Darkness เมื่อความหล่อเท่ของลีออนไม่อาจแบกซีรีส์ทั้ง 4 ตอนได้

139 Views

รอคอยกันมาอย่างยาวนาน สำหรับแฟน ๆ Resident Evil ที่มีการประกาศร่วมทุนสร้างกับทาง Netflix ทำเป็นซีรีส์อนิเมชั่นอย่าง Resident Evil: Infinite Darkness ซึ่งมีขวัญใจแฟน ๆ อย่างลีออนเป็นหนึ่งในตัวละครหลักหลังจากหายหน้าหายตาไปนาน แต่ดูเหมือนความหล่อเท่ของลีออนก็ไม่อาจแบกซีรีส์ทั้ง 4 ตอนนี้ได้ เพราะอะไร มาดูกันกับรีวิว Resident Evil: Infinite Darkness

**มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของซีรีส์**

เหตุการณ์ในภาคนี้เกี่ยวกับอะไร ?

Resident Evil: Infinite Darkness จะเล่าเรื่องราวสองช่วงเวลาที่เชื่อมต่อกัน นั่นคือสงครามของเปนัมสถาน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี 2000 ที่มีเรื่องราวของเจสัน ทหารที่ได้รับสมญานามว่า “วีรบุรุษแห่งเปนัมสถาน” เล่าคู่ไปกับปี 2006 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ 2 ปีหลังจากตัวเกม Resident Evil 4 เหตุการณ์ใน Infinite Darkness จะเริ่มที่แคลร์ เรดฟิลด์ ไปเป็นอาสาสมัครที่ประเทศเปนัมสถาน และพบรูกวาดอันลึกลับที่ทำให้เธอนึกถึงเหตุการณ์ในแรคคูนซิตี้ ทางด้านลีออนถูกเรียกตัวมาอารักขาประธานาธิบดี เพราะเซิร์ฟเวอร์ถูกเจาะ ก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อซอมบี้บุกเข้าไปที่ทำเนียบขาว และากรสืบสวนของแคลร์ก็พาให้เธอมาเจอกับลีออน และเชื่อมโยงเหตุการณ์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน

การปูเรื่องทุกอย่างเหมือนจะดี แต่หากเราจับสังเกตและพิจารณาให้ดี ทุกอย่าง ทุกที่มาที่ไปกลัวไม่ค่อยจะมีน้ำหนักหรือความสมเหตุสมผลเท่าใดนัก และการหยิบเอาเรื่องหลังภาค 4 มาเล่า ก็ทำให้เราได้เห็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับเกมหลักอยู่บ้าง เช่นประธานาธิชดีที่ในห้องมีรูปถ่ายของ Ashley แต่ปัจจุบันก็ไม่รู้ว่าเธอไปใช้ชีวิตอยู่แห่งหนใดแล้ว ซึ่งหากจะว่ากันตรง ๆ อาจจะมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เชื่อมต่อซีรีส์ชุดนี้ไปกับวิดีโอเกมได้

เมื่อซีรีส์ถึงเวลาออนแอร์ เราพบว่ามีความยาวเพียงแค่ 4 ตอน และมีความยาวประมาณตอนละ 20 นาทีเท่านั้น หากรวมฉาก Intro และ Outro คำถามแรกคือ มันจะเล่าเรื่องยังไงให้กระชับ และจบได้ภายในเวลา่ 4 ตอน เพราะหากนับรวมเวลาของซีรีส์ทั้ง 4 ตอนรวมกันแล้ว ความยาวมันยังอาจจะสู้ภาค Degeneration ไม่ได้ด้วยซ้ำไป และปัญหาที่เรากังวลตั้งแต่เห็นระยะเวลาต่อตอนก็เป็นจริง

เลือกเซ็ตติ้งผิด ทำให้เล่าเรื่องยาก แถมยังเล่าได้ไม่ดีอีกด้วย

ฉากหลังของเรื่องนี้คือ 2 ปีหลังจากตัวเกมภาค 4 ซึ่งก็มี CG Animated อีกเรื่องได้ทำไปก่อนหน้านี้แล้วคือภาค Degeneration ทำให้การเล่าเรื่องจะค่อนข้างยุ่งยาก ทั้งการสร้างตัวละคร การคิดพล็อต ลองคิดเล่น ๆ ดูว่าถ้าหากเป็นการเล่าเรื่องหลังตัวเกมภาค Village หรือระหว่างภาค 7 กับภาค Village โดยมีลีออนเป็นตัวละครหลัก ทีมงานและทีมสร้างคงมีอิสระในการสร้างเนื้อเรื่องมากกว่านี่ แต่ภาคนี้คือการยัดเนื้อเรื่องลงไปตรงกลางอีกที ทำให้การคิดตัวละคร คิดพล็อต คิดสถานที่ ถูกจำกัดด้วยเนื้อหาอื่น ๆ ที่เคยสร้างมาแล้ว

ลำพังการเลือกฉากหลังของเนื้อเรื่องว่ายากแล้ว แต่การเล่าเรื่องก็ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ด้วยความสั้นของระยะเวลาต่อตอน ทำให้ทุกอย่างต้องเล่าแบบรวบรัดตัดความอย่างมาก ชนิดที่ว่าแม้จะดูพากย์ไทย แต่ถ้าละสายตาไปนิดหนึ่ง อาจจะต้องกดกรอย้อนไปดูว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง แต่ก็อาจจะพบว่าย้อนเสียเปล่า เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ข้ามไปก็อาจจะไม่ส่งผลกระทบอะไรนักอยู่ดี

แถมบางอย่างยังเหมือนถูกมองข้ามแม้จะทำมาน่าสนใจ เช่นเหล่าหนูติดไวรัสที่ดูน่ากลัวอย่างมากในช่วงตอนที่ 2 ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีการสานต่อใด ๆ ทั้งที่มันคืออาวุธชีวภาพ รวมไปถึงความไม่เมคเซนส์ชนิดที่ทำใจได้ยากจริง ๆ เช่นตัวร้ายที่มีอุดมการณ์ขัดแย้งกันเองอย่างเห็นได้ชัด หรือแม้แต่การเลือกปฏิบัติ กับตัวละครอื่น ฆ่าแหลก แต่กับพระเอกลีออน กลับปล่อยให้รอดด้วยการขว้างทิ้ง จนทำให้ลีออนสบโอกาส และขอบอกว่านี่คือตัวร้ายหลักของซีรีส์ Resident Evil ที่ตายได้ง่อยที่สุดเลยก็ว่าได้

เมื่อความหล่อเท่ของลีออน แบกซีรีส์ 4 ตอนไว้ไม่ได้

ลีออนถือเป็นตัวละครยอดนิยมของซีรีส์ Resident Evil ไม่แพ้ Chris Redfield แต่ดูเหมือนว่าในซีรีส์นี้ ความหล่อเท่ของลีออนก็ยังแบกซีรีส์ไว้ไม่ไหว และความสวยน่ารักของตัวละครหญิงอย่างแคลร์และเฉินเหมยก็เช่นกัน สาเหตุเพราะนอกจากตัวบทและการเล่าเรื่องจะมีปัญหาอย่างมากแล้ว มันยังมีน้อยซีนเหลือเกินที่ลีออนของเราจะได้โชว์ทักษะความสามารถ ซึ่งหลายคนลงความเห็นว่า ตัวละครลีออนที่เพิ่งผ่านศึกช่วยชีวิต Ashley มาได้ 2 ปี กลับไม่ค่อยมีฉากโชว์ความโหด ความเก่งในซีรีส์สักเท่าไร เพราะบทไม่ได้เอื้อขนาดนั้น ฉากแอ็คชั่นจึงออกมาแบบธรรมดา กลาง ๆ และไม่ได้มีซีนให้ลีออนของเราได้ฉายแววสักเท่าไร

และที่หลายคนบ่นยับกันยิ่งกว่าคือบทของแคลร์ที่แม้ว่าภาคนี้จะดีไซน์ออกมาสวยถูกใจใครหลายคน แต่เรื่องบทนั้นเป็นคนละเรื่องกันเลยทีเดียว เพราะแคลร์มีหน้าที่เปรียบเสมือนตัวละครประกอบ ที่ช่วยให้การเดินเรื่องมีน้ำหนักมากขึ้น (หรืออาจจะทำได้ดีกว่าถ้าไม่มีเธอเลย) น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เพราะเหมือนกับคนเขียนบทไม่ได้ดูวีรกรรมของเธอใน Code Veronica เลย จึงได้นำตัวละครนี้มาใช้ได้ไม่คุ้มขนาดนี้ ทำให้สิ่งที่หลายคนชื่นชมในช่วงแรก คือดีไซน์ตัวละครและซีจีที่สมยุคสมัย ก็ไม่อาจพยุงซีรีส์ 4 ตอนให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง ด้วยความยาวขนาดนี้สามารถเล่าเป็นหนังขนาดยาว 1 เรื่องได้ด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงเลือกที่จะหั่นออกเป็นตอน ๆ แบบนี้

สิ่งดีงามที่พอจะรับได้ มีอะไรบ้าง ?

ร่ายยาวไปถึง 3 หัวข้อใหญ่ก็มีแต่สับละเอียดทั้งนั้น แต่หากพิจารณาดี ๆ ข้อดีของมันก็ยังมีอยู่บ้าง ส่วนตัวผู้เขียนนั้นชื่นชอบ CG Animation ของภาคนี้มาก เพราะทำออกมาได้สวยและดูดีมาก เชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่ชอบการออกแบบแบบนี้ และอีกข้อที่อยากชมเป็นการส่วนตัวเลยคือเสียงพากย์ภาษาไทย เป็นที่รู้กันดีว่า ในช่วงหลังมานี้ ผู้ใช้งาน Netflix ในประเทศไทยมีอยู่มหาศาล ดังนั้นเกือบทุกเรื่องของซีรีส์และภาพยนตร์ใน Netflix จึงมีเสียงพากย์ไทยด้วย รวมถึง Resident Evil: Infinite Darkness นี้ด้วย

ทีมเสียงพากย์ภาษาไทย ทำออกมาได้ดีตามมาตรฐานและเลือกเสียงที่เหมาะสมกับทุกตัวละครเป็นอย่างดี และทำให้การดูซีรีส์เรื่องนี้ที่ลำพังเนื้อเรื่องก็ง่ายอยู่แล้ว ยิ่งดูง่ายเข้าไปอีก ใครที่อยากเปิดดูกับเพื่อน หรือครอบครัว มีเสียงพากย์ภาษาไทยรองรับ

และหากมองในแง่ดี อย่างน้อยเราก็ยังได้เห็นความพยายามในการเชื่อมต่อจักรวาลของอนิเมะและตัวเกมเข้าไว้ด้วยกัน แม้ว่ามันจะล้มเหลวก็ตาม

ควรค่าแก่การดูหรือไม่ ?

ต้องบอกว่าแม้จะสับแหลกขนาดนี้ แต่ส่วนตัวผู้เขียนมองว่า มันไม่ได้แย่ หรือห่วยจนทนดูไม่ได้ เพราะสิ่งที่เราได้เห็นตลอดช่วงเวลาการดู คืออนิเมชั่น การเคลื่อนไหว เสียงพากย์ ซึ่งมันคือสิ่งที่น่าจะดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว ปัญหาหลัก ๆ ของมันคือการถูกเล่าแบบรวบรัด และเนื้อเรื่องที่วางโครงมาไม่ค่อยดีเท่าไรนัก สำหรับแฟน ๆ Resident Evil ที่อยากจะเห็นลีออนกับแคลร์ซักที ก็ถือว่ามาดูให้หายคิดถึงกันได้ แต่แฟนเกมทุกคนอาจจะผิดหวังไปตาม ๆ กัน เพราะซีรีส์เรื่องนี้ใช้เวลาสร้างกันมาอย่างยาวนานมาก แต่มันกลับมาพร้อมงานเผาในบางส่วน การเล่าเรื่องที่มีปัญหาหนัก จนกลายเป็นสิ่งที่น่าผิดหวังไปในที่สุด

Score 5/10

SHARE

Aisoon Srikum

Back to top