BY StolenHeart
25 Dec 18 12:23 pm

สรุปเนื้อเรื่องและเหตุการณ์ใน Hotline Miami 1 & 2 ตอนที่ 1: จุดเริ่มต้นและการล่า

135 Views

ถ้าพูดถึงเกมที่มีเนื้อเรื่องที่ชวนงงและชอบที่สุดเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนพอจะนึกออกก็คงหนีไม่พ้น Hotline Miami เกมแอคชั่นสไตล์เรโทรที่ให้ผู้เล่นตายซ้ำซากไม่ต่างจากใน Dark Souls นัก กลับกันตัวเกมเองก็มีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจชวนติดตามไม่น้อย วันนี้เรามาดูกันว่าเนื้อเรื่องเกมทั้งสองภาคนั้นมีความเข้มข้นขนาดไหนครับ

โดยในบทความนี้จะเป็นการสรุปเหตุการณ์เป็น Timeline ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกของเกมบ้างแบบเรียงเป็นปีโดยไม่ได้ลำดับภาคก่อนหลัง โดยเป็นการเรียบเรียงมาจากเกมในภาคแรก ภาคสอง และหนังสือการ์ตูนคอมิคส์ Wrong Number ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับโลกความจริง แต่ก็ต้องเตือนกันก่อนว่าบทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาทั้งหมดของเกม Hotline Miami ทั้งสองภาค ดังนั้นเพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น ควรเล่นเกมทั้งสองภาคให้จบก่อนนะครับ

อนึ่ง ในบทความนี้มีบางจุดที่อาจจะดูแล้วไม่เชื่อมโยงถึงกันเพราะเนื่องจากเกมเล่าเรื่องสลับไปมาจนเกิดความสับสนและต้องการให้ผู้เล่นตีความไปในหลายทาง ถ้าหากไม่เข้าใจเหตุการณ์ในบางจุดที่อธิบายไป ผู้เขียนก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

และต้องขออภัยที่บทความสรุปเนื้อเรื่องในครั้งนี้จะต้องขอลงแยกเป็นตอน เพื่อไม่ให้ยาวจนเกินไปนัก(เพราะต้นฉบับที่เขียนอยู่นั้นมีความยาวร่วม ๆ หมื่นคำเข้าไปแล้ว) แต่ก็สัญญาว่าจะลงให้ต่อเนื่องที่สุดเพื่อไม่ให้ขาดตอนครับ

แนะนำตัวละครหลักในเกม

Jacket – บุรุษไร้ชื่อ แต่แฟน ๆ เกมตั้งชื่อให้เขาตามเสื้อแจ็กเก็ตที่สวมใส่ ตัวเอกจากเกมภาคแรก อดีตทหารผ่านศึกผู้ฝักใฝ่ในความรุนแรง

Richard – ชายลึกลับสวมหน้ากากไก่โต้ง ผู้ที่ตัดสินความเป็นความตายของตัวละครในจักรวาลของเกม

Beard – นายหนวดเฟิ้ม ผู้หมวดแห่งหน่วย Ghost Wolves ที่ทำภารกิจในฮาวาย หัวหน้าหน่วยของ Jacket

Richter Berg – ผู้ที่ถูกบังคับให้เชื่อฟังคำสั่งของ 50 Blessing องค์กรระดับชาติที่อยู่เบื้องหลังการสังหารมาเฟียรัสเซีย อาศัยอยู่กับแม่สองคน

Girlfriend – ผู้หญิงที่ถูก Jacket ช่วยเหลือในเกมภาคแรก และคบหาเป็นแฟนกันในภายหลัง

The Fans – กลุ่มผู้คลั่งไคล้ ประกอบไปด้วย Tony(หน้ากากเสือ) Corey(หน้ากากม้าลาย) Mark(หน้ากากหมี) Alex และ Ash Davis(หน้ากากหงส์) เป็นกลุ่มคนที่บูชาวีรกรรมของ Jacket และอยากเจริญรอยตาม

The Son – ลูกชายของรองหัวหน้ามาเฟียในเกมภาคแรก เป็นหนึ่งในตัวละครที่ผู้เล่นควบคุมได้ในภาคสอง

The Father – บอสสุดท้ายในภาคแรก พ่อของ The Son

The Boss – ชื่อจริงคือ Ivan Lebedev หัวหน้ามาเฟียผู้พิการที่ถูก Jacket ปลิดชีวิตทึ้งในเกมภาคแรก

The Henchman – ลูกสมุนระดับล่างของมาเฟียรัสเซียที่อยากจะลาออก

Jake – ชายร่างอ้วนชนชั้นแรงงานที่คอยทำงานเป็นลิ่วล้อให้กับ 50 Blessing

Manny Pardo – ตำรวจเลือดร้อนแห่งไมอามี่ที่มักยิงก่อนถามทีหลังเสมอ

Evan Wright – นักเขียนและนักข่าวที่พยายามเขียนหนังสือรวมข้อมูลการฆาตกรรมต่อเนื่องในไมอามี่ในช่วงปีที่ผ่านมา

50 Blessings – องค์กรผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เกือบทั้งหมดในเกม เป็นเครือข่ายของคนรักชาติที่ต้องการกอบกู้ศักดิ์ศรีของอเมริกาคืนมาจากคนต่างชาติที่รุกรานเข้ามา

ปี 1985 ความขัดแย้งในฮาวาย

ปี 1985 สหรัฐอเมริกามีเหตุก่อสงครามกับสหภาพโซเวียตที่ยืดเยื้อมาจากความขัดแย้งมากมาย การรบพุ่งเกิดขึ้นที่เกาะฮาวายโดยมีหน่วย Ghost Wolves เข้าโจมตีฐานที่มั่นของกองทัพรัสเซีย ซึ่งหน่วย Ghost Wolves มีชายหนวดเฟิ้ม Beard เป็นผู้หมวด มีสมาชิกหลักอีกสามคนคือ Barnes, Daniel และ Jacket การลอบโจมตีในวันที่ 17 มีนาคมประสบความสำเร็จ ก่อนที่จะมีการโจมตีครั้งใหญ่ในวันที่ 25 ตุลาคม และโรงไฟฟ้าที่ถูกยึดในวันที่ 30 ตุลาคม (ซึ่งเหล่า The Fans ก็เป็นหนึ่งในทหารผ่านศึกที่เข้าร่วมรบในเกาะฮาวายแห่งนี้เช่นกัน)

ก่อนทำภารกิจ Beard ได้พบกับ Evan ที่มาทำข่าวเกี่ยวกับการรบที่ฮาวายเช่นกัน พร้อมกับขอถ่ายรูปเขากับ Jacket ซึ่ง Beard ก็ตกลง พร้อมกับบอกว่าอย่าลืมล้างรูปและส่งมาให้เขาเป็นที่ระลึกด้วย

การปฏิบัติการเข้ายึดแหล่งกบดานของทหารโซเวียตประสบความสำเร็จ ทำให้ผู้การของหน่วย Ghost Wolves ดีใจมาก และมีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายพล ซึ่งเขาก็ฉลองโดยการเมาจนหัวราน้ำ และก่อนหน้าการปฏิบัติการในวันสุดท้าย เขาได้ปรากฏตัวพร้อมกับสวมหน้ากากที่ถลกมาจากหนังหัวของเสือดำ พร้อมกับสัญลักษณ์ประหลาดบางอย่างที่สลักอยู่ตรงหน้าผาก

โดยในปฏิบัติการครั้งสุดท้ายที่โรงไฟฟ้าจากการนำของ Beard จนทำให้นายพลของรัสเซียฆ่าตัวตายและกดปุ่มระเบิดโรงไฟฟ้าทึ้ง แต่พวกเขาก็ถูกกับดักระเบิดในระหว่างหลบหนีเป็นผลให้ Barnes เสียชีวิตทันที ส่วน Jacket ได้รับบาดเจ็บสาหัส Beard ได้พาร่างของ Jacket ออกมาได้ทันเวลาก่อนที่จะส่งเขาขึ้นเฮลิคอปเตอร์กลับไปรักษาตัว พร้อมกับมอบรูปถ่ายที่ Evan ถ่ายไว้ให้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจว่าใครคือคนที่ช่วยเขาเอาไว้ และประโยคที่เขาจำได้แม่นจากปากของผู้หมวดคนสำคัญก็คือ

“เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”

1986 การระเบิดที่ซานฟรานซิสโก

วันที่ 3 เมษายนปี 1986 Beard ได้คุยกับ Jacket ทางโทรศัพท์ ถามสารทุกข์สุขดิบพร้อมกับพูดถึงรูปที่ของทั้งสองคนถ่ายคู่กันในฮาวาย ว่าให้ส่งมาให้เขาที แต่การสนทนายังไม่ทันจบลงดี Beard ก็เห็นว่ามีอะไรกำลังเกิดขึ้นด้านนอก จึงพักสายออกไปดู และนั่นก็เป็นการโทรครั้งสุดท้ายระหว่างเขาทั้งสองคน เพราะระเบิดนิวเคลียร์ที่ยิงโดยรัสเซียได้ลงมายังเมืองซานฟรานซิสโก ลบทั้งคนทั้งเมืองหายไปจากแผนที่โลกภายในเวลาเพียงอึดใจ

จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้อเมริกาและโซเวียตต้องเซ็นสัญญาสงบศึกเพื่อไม่ให้มีผู้เสียชีวิตมากไปกว่านี้ และหลังจากนั้น ชาวรัสเซียก็ได้หลั่งไหลเข้ามาสู่อเมริกาเป็นจำนวนมาก ตั้งถิ่นฐานและขยายอำนาจกลายเป็นแก็งมาเฟียควบคุมเมืองในหลายพื้นที่ ทำธุรกิจผิดกฎหมายมากมายโดยเฉพาะในไมอามี่ สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนอเมริกาเป็นอย่างมาก จนทำให้กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งจัดตั้งองค์กร 50 Blessings ขึ้นมา เพื่อแสดงออกถึงความรักชาติและไม่ยอมอ่อนข้อต่อชาวรัสเซียให้มาข่มเหงได้ง่าย ๆ อีกต่อไป

Jacket ป่วยเป็นโรค PTSD หรือความกระเทือนจิตใจจากเหตุการณ์รุนแรง และเห็นภาพหลอนของ Beard ผู้หมวดของเขาไปทั่วพร้อมประโยคที่เขาจำได้ไม่ลืม

“เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”

1989 ปีแห่งการสังหาร

50 Blessing ได้เริ่มดำเนินการอย่างเป็นเรื่องราวในปีนี้ ด้วยการใช้เครือข่ายสังเกตการณ์ที่วางอยู่ทั่วเมืองไมอามี่จับตาดูพวกมาเฟียรัสเซียที่ครองอำนาจอยู่ทั่วเมือง โดยผู้ที่เริ่มดำเนินงานให้กับ 50 Blessings ก็คือ Richter Berg ชายฉกรรจ์ผู้ที่ต้องดูแลแม่ Rosa ที่ป่วยเป็นโรคที่ไม่รู้จัก แม้จะมีความสุขดีแต่ความเป็นอยู่ก็ไม่ได้ดีกว่าที่เคยนัก จนกระทั่งในเดือนมีนาคม Richter เริ่มได้รับโทรศัพท์ที่มีข้อความขอให้เขาทำเรื่องแปลก ๆ เช่นส่งข้อความรหัสไปยังเบอร์ต่าง ๆ หรือวาดสัญลักษณ์แปลก ๆ เป็นรูปวงกลมที่มีขีดตรงกลาง ที่เหมือนกับบนหน้ากากเสือดำของผู้การหน่วย Ghost Wolves แต่เขาก็ไม่ได้สนใจที่จะทำ จนกระทั้งเขาและแม่ถูกข่มขู่จากบุคคลลึกลับ

ในวันที่ 2 เมษายน 1989 รถของเขาถูกเผาทำลาย และก็ยังมีโทรศัพท์ลึกลับโทรมาฝากข้อความไว้ คราวนี้มีการข่มขู่ถึงแม่ของเขา แม้ว่าแม่ของเขาจะไม่เป็นอะไร แต่นั่นก็ทำให้เขากลัวจนเสียขวัญ และตัดสินใจที่จะทำตามคำสั่งของข้อความเสียงที่ส่งมาหาเขา นั่นก็คือการสังหารหมู่เหล่ามาเฟียชุดขาวจากรัสเซียในบาร์ Richter สวมหน้ากากหนูแล้วสาดกระสุนไม่ยั้ง

เมื่อกลับมาบ้านเขาก็พบว่าแม่ของเขาพยายามฝืนตัวเองลงมาหาอะไรกิน แม้จะเป็นห่วง แต่เขาก็โล่งใจว่าหลังจากนี้คงไม่มีอะไรมากวนใจเขาอีก แต่แท้ที่จริงแล้วนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

ผู้ที่ถูกเลือกอีกหนึ่งคน

50 Blessings ไม่ได้เลือกแค่ Richter เท่านั้นที่ต้องทำงานนี้ให้กับพวกเขา วันที่ 3 เมษายน 1989 สามปีหลังการระเบิดในซานฟรานซิสโก ข้อความเสียงลึกลับได้ถูกส่งมาหา Jacket สมาชิกที่ยังเหลือรอดอยู่ของ Ghost Wolves โดยข้อความแจ้งว่ามีคุกกี้ที่เขาสั่งไว้ส่งมาให้แล้วหน้าประตูบ้าน แต่เมื่อเปิดมาเขาก็พบหน้ากากไก่โต้งและจดหมายที่ระบุที่อยู่แห่งหนึ่งให้เขาไปเอากระเป๋าที่อยู่ที่นั่นมา พร้อมกับกำชับว่า “งานนี้ห้ามพลาด เพราะเราจับตาดูคุณอยู่” ซึ่งที่แห่งนั้นมีการป้องกันโดยมาเฟียรัสเซียอยู่แล้ว หลังจากการฆ่าที่ทำให้เขารู้สึกสะใจ เขาก็รีบนำกระเป๋าไปส่งยังที่หมาย แต่ก็ถูกคนจรจัดขัดขวาง ซึ่ง Jacket ก็จัดการฆ่าเขาไปอย่างไม่ยาก แต่ในครั้งนี้ต่างออกไป ตรงที่มันทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้จนอาเจียนออกมา และหลังจากที่เสร็จภารกิจ วันต่อมา 50 Blessing ก็ส่งจดหมายข่าวสารมาให้กับเขา พร้อมกับข้อความเสียงแปลก ๆ ให้เขาไปสังหารเหล่ามาเฟียเช่นเคย

ด้าน Richter เริ่มสงสัยถึงความเชื่อมโยงของคำสั่งที่ส่งหาเขา เพราะเขาพบว่าสถานที่แห่งใหม่ที่ได้รับคำสั่งให้มากวาดล้างนั้นมีอาวุธสงครามแอบซ่อนอยู่ ซึ่งพวกมาเฟียโซเวียตนั้นใช้เพื่อทำธุรกิจผิดกฎหมายต่าง ๆ มากมาย แต่เขาก็ยังไม่คิดอะไรอื่น นอกจากเป็นห่วงแม่ของตนเอง ซึ่งการฆ่าก็ยังคงดำเนินต่อไป และ Jacket เองก็เจอคนที่ใส่หน้ากากรูปสัตว์เหมือนอย่างเขาในระหว่างการออกล่าสังหารเหล่ามาเฟียและได้พบเจอกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกจับตัวมา แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง Jacket ไม่ได้ฆ่าเธอ และพาตัวเธอกลับมาที่บ้านแทน

เหล่าผู้คลั่งชาติ

Jake ชายชนชั้นแรงงานผู้คลั่งชาติ หลังจากที่ได้รับใบปลิวปลุกระดมของ 50 Blessings เขาก็อยากมีส่วนร่วมทันที แน่นอนว่าเขาก็ได้รับโทรศัพท์ลึกลับจากองค์กรนี้เช่นกัน แม้เขาจะรู้สึกว่ามันแปลก ๆ แต่เขาก็ทำตามที่ข้อความเสียงนั้นสั่ง นั่นก็คือไปที่สถานีโทรทัศน์ สวมหน้ากากงู และฆ่าทุกคนในนั้น เหมือนอย่างที่ Jacket และ Richter ทำ ท้ายที่สุดหลังจากที่ฆ่าเหล่ามาเฟียในชุดขาวและนายสถานีไปแล้ว เขาก็หยิบกระเป่าเงินออกมาเพื่อเป็นค่าจ้าง และเอามันไปใช้จ่ายทำรอยสักใหม่ให้ตนเอง และประกาศกร้าวว่าไม่กลัวใครทั้งนั้น โดยเฉพาะพวกรัสเซียทั้งหลาย

ชีวิตที่ถูกเติมเต็ม

แม้การฆ่าของ Jacket จะดำเนินต่อไป แต่ชีวิตของเขาก็ไม่โดดเดี่ยวเหมือนเดิม เพราะจากการดูแลกันและกันระหว่างเขาและสาวน้อยที่เขาช่วยเหลือมาทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ค้นพบว่าในระหว่างการทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมา ก็มีกลุ่มคนที่สวมหน้ากากสัตว์แบบเดียวกับเขาออกตามฆ่าพวกมาเฟียรัสเซียยู่ด้วยเช่นกัน แต่มักจะประสบชะตากรรมที่ไม่ค่อยสวยนัก เช่นถูกทรมานหรือฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม

ผ่านไปหลายวัน Jacket ก็พบว่าข่าวสารหลายอย่างเริ่มชัดเจนขึ้น มีการลงข่าวอย่างต่อเนื่องว่ากลุ่มมาเฟียรัสเซียถูกโจมตีและฆ่าอย่างโหดเหี้ยมในหลายพื้นที่ของไมอามี่ ตำรวจสงสัยว่าเป็นการกระทำของกลุ่มศาลเตี้ยที่โกรธแค้นพวกมาเฟีย และเขาก็เริ่มสังเกตเห็นภารโรงท่าทางน่าสงสัยในบ้านของเขา และในร้านอาหารที่เขาเข้าไปทำภารกิจสังหารหมู่ เพียงแต่ยังไม่นึกเอะใจสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับพวกเขาแม้แต่น้อย

ผู้ไขปริศนา

13 พฤษภาคม 1989 วันเดียวกับที่ Jacket ออกสังหารคนในร้านอาหารที่มีภารโรงลึกลับคอยสังเกตการณ์ ชายสวมหมวกกันน็อคคนหนึ่งได้คาดคั้นเอาคำตอบบางอย่างจากชายที่สวมหน้ากากหมู ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีเหล่าคนสวมหน้ากากสัตว์เข้ามาฆ่าเขาหมายเอาชีวิตเพราะเหตุผลบางอย่าง ซึ่ง Biker หรือชายสวมหมวกกันน็อคคนนี้ต้องการที่จะหนีจากอะไรบางอย่างเพราะความเบื่อหน่าย(ตรงจุดนี้เชื่อมโยงกับโทรศัพท์ที่โทรหา Jacket ในวันเดียวกันว่ามีคนลาป่วยไปทำงานไม่ได้ ซึ่งก็คืองานที่สังหารมาเฟียในร้านอาหาร)

สุดท้ายเขาก็ได้สิ่งที่ต้องการ หลังจากที่เค้นข้อมูลจากทั้งชายสวมหน้ากากหมู และชายชาวจีนที่เป็นผู้แอบวางเครือข่ายโทรศัพท์ในเมืองไมอามี่ แต่สุดท้ายก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวเหล่านี้ แต่เขาก็พอใจในข้อมูลที่ได้รับมา

วันต่อมามีโทรศัพท์ส่งข้อความเสียงมาหา Biker ในเชิงข่มขู่ ว่าลูกค้าไม่ให้อภัยกับความล่าช้าเพียงนิดเดียว ซึ่งเชื่อมโยงกับภารกิจก่อนหน้าของ Jacket ที่เขาไปทำงานแทน Biker ที่ร้านอาหาร เพื่อซื้อเวลาให้กับตัวเองในการค้นหาความจริง เขาจึงต้องยอมทำภารกิจนี้ จนวันที่ 23 พฤษภาคม 1989 Biker ก็รู้ว่าเขาจะไปหาข้อมูลที่ว่านี้ได้ที่ไหน และมุ่งหน้าไปยังบริษัทชุมสายโทรศัพท์เพื่อค้นข้อมูลที่ต้องการ

ขณะเดียวกัน Jacket ที่กำลังรับงานสังหารตามปกติก็ได้รับสายซ้อนให้รีบมุ่งหน้าไปยังบริษัทชุมสายโทรศัพท์ที่ Biker กำลังค้นข้อมูลอยู่ เมื่อไปถึง Biker เกือบจะได้สิ่งที่ตัวเองต้องการแล้ว แต่ Jacket ก็เข้ามาขัดขวาง และการต่อสู้ของหมากสองตัวในอุ้งมือของ 50 Blessings ก็เริ่มต้นขึ้น

*ตรงจุดนี้เนื้อเรื่องในภาคแรกจะแยกย่อยออกไปสองทาง คือเนื้อเรื่องส่วนของ Jacket ที่ฆ่า Biker ได้ และ Biker เป็นคนฆ่า Jacket แล้วนำไปสู่ฉากจบลับอีกแบบ ในบทความนี้จะขอสมมติว่าทั้งสองคนเจอกันแล้วไม่มีใครเสียชีวิตจากการปะทะในครั้งนี้ เพราะสามารถเชื่อมโยงไปในเนื้อเรื่องช่วงหลังที่ถูกกล่าวถึงในภาคที่สองได้ครับ*

หลังจากการปะทะกับ Jacket เสร็จสิ้น ในวันต่อมา Biker ได้รับข้อความทางโทรศัพท์ที่ขู่เอาชีวิตของเขา เพียงแต่ในคราวนี้เขาไม่กลัวอีกต่อไป เพราะเขารู้แล้วว่าจะไปหาตัวคนบงการได้ที่ไหน เขาได้รีบไปยังสถานที่ลับที่ได้มาทันที ซึ่งหนึ่งในภารโรงคนที่สังเกตการณ์นั้นพอเจอเขาก็รีบหลบไปทันที ซึ่งภายในท่อระบายน้ำแห่งนั้นมีอุปกรณ์โทรศัพท์ และหนังกากสัตว์ต่าง ๆ มากมาย ทำให้รู้ว่าภารโรงทั้งสองคนนั้นเกี่ยวข้องกับการส่งข้อความเสียงไปให้มือสังหารในที่ต่าง ๆ

ถ้าหากในจุดนี้ผู้เล่นสามารถไขปริศนา เก็บตัวอักษรที่ซ่อนอยู่ในเกมได้ครบทั้งหมด ที่เครื่องคอมพิวเตอร์หน้าทางเข้าจะมีช่องให้ใส่รหัส ซึ่งเป็นการรวบรวมตัวอักษรทั้งหมดมาต่อเป็นคำ เราก็จะได้รหัสในการไขว่า “I was born in the USA” เมื่อไขรหัสได้ Biker ก็ทราบความจริงว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวเหล่านี้ก็คือ 50 Blessings นั่นเอง

Biker กลับไปคุยกับสองภารโรง ซึ่งพวกเขาจะทึ่งเล็กน้อยที่ Biker สามารถไขรหัสและรู้เรื่องราวทั้งหมด และได้เปิดเผยว่า 50 Blessings คือองค์กรที่ก่อตั้งมาโดยเหล่าคนรักชาติ และมีเป้าหมายที่จะสร้างอเมริกาขึ้นมาใหม่ตามที่จินตนาการเอาไว้ ซึ่งสมาชิกก็คือเหล่ามือสังหารที่ออกทำภารกิจฆ่าพวกมาเฟียรัสเซียตามใบสั่ง ซึ่งภารโรงสาวได้อ้างว่า พวกเขามี”เพื่อนผู้ทรงอำนาจ” ที่สามารถจัดการเรื่องเหล่านี้ให้ลุล่วงไปได้ และยังมีแผนอื่นซ่อนไว้อยู่อีก และต่อให้ Biker ฆ่าพวกเขาก็ไม่มีประโยชน์ เพราะแผนทุกอย่างได้เริ่มดำเนินการไปแล้วและไม่มีใครหยุดพวกเขาได้

ไม่ว่าจะฆ่าเหล่าภารโรงทึ้งหรือไม่ก็ตาม Biker ก็จะขับมอเตอร์ไซด์ออกไป หลบหนีไปจากไมอามี่ เขารู้ว่าสิ่งที่ได้เจอไปนั้นหนักหนากว่าที่คิดมาก เพราะมันคือองค์กร 50 Blessings ทั้งองค์กร เขาจึงหลบหนีออกไปจากเมืองไมอามี่เพื่อวางแผน แต่ก็สายเกินไป

เพราะเขาจะได้เจอกับสิ่งที่เปลี่ยนเขาไปตลอดกาล…

Putinart Wongprajan

เค้ก - Content Writer

Back to top