หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าผู้เขียนบทเกม Call of Duty: Ghosts นั้นมาจากแวดวงภาพยนตร์ระดับ Hollywood วันนี้เราจะมาอ่านบทสัมภาษณ์ของ Stephen Gaghan นักเขียนบทมือฉมังระดับโลกกันครับ
ใน Call of Duty: Ghosts นั้น Activision ได้ทำการว่าจ้างมือโปรด้านการเขียนบทอย่าง Stephen Gaghan เจ้าของผลงานการเขียนบทภาพยนตร์อย่าง Traffic และ Syriana ให้มารับตำแหน่ง Writer / Director ในการดูแลส่วนของโหมด Singleplayer
เมื่อตัวเกมออกวางจำหน่าย Stephen Gaghan ได้หมดสัญญาฉบับเดิมกับทาง Activision ( ยังไม่มีข่าวคราวใดถึงการร่วมมือกันอีกในอนาคต ) เว็บไซต์ต่างประเทศอย่าง Paulsemel.com ได้ติดต่อขอทำการสัมภาษณ์ถึงความรู้สึกและประสบการณ์ในการร่วมงานในวงการเกมเป็นครั้งแรกกับทาง Stephen Gaghan ซึ่งทาง GamingDose.com ได้นำมาแปลเผื่อว่ามีเกมเมอร์คนไหนสนใจครับผม
Paulsemel: มาเริ่มกันที่คำถามง่ายๆก่อนเลยละกัน คุณเข้ามารับตำแหน่งผู้เขียนบทให้กับเกม Call of Duty: Ghosts ได้อย่างไร ?
Stephen Gaghan: การที่คนเขียนบทหนังจะถูกติดต่อให้มาเขียนบทในเกมนี่มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นกันบ่อยๆนะ ผมมีเพื่อนที่รู้จักกับ Thomas Tippl ผู้ดำรงตำแหน่ง COO ให้กับ Activision เราเคยเจอกันสองสามครั้งแต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากเท่าไหร่ จนมาวันหนึ่งเราแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำวงการเกมกับวงการภาพยนตร์ Hollywood แล้วก็ภาพยนตร์อีกสามสี่เรื่อง
หลังจากนั้นสามสัปดาห์ เพื่อนผมก็เข้ามาถามว่าผมพอจะแบ่งเวลาไปกินอาหารกลางวันร่วมกับ Eric Hirshberg ประธานบริษัทของ Activision ได้หรือไม่ ผมก็ตอบตกลงและไปกินข้าวกับพวกเขา หลังจากนั้นผมก็ได้รับอีเมล์จาก Eric อีกครั้งว่าผมสามารถไปร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับ Dave Stohl ผู้ดำรงตำแหน่งประธาน Activision Worldwide Studio ได้มั้ย ผมก็ตอบตกลงไปอีกซึ่งทำให้ผมได้เจอกับ Scott Pease ผู้อำนวยการสร้างทีม Neversoft ด้วย หลังจากนั้นไปๆมาๆผมก็ได้กลายมาเป็นผู้เขียนบท Call of Duty: Ghosts นี่แหละ
ต่อมาผมก็ได้รับเมล์ให้เดินทางไปที่ Woodland Hills ที่ตั้งขอทีม Infinity Wards เขาส่งผมให้ไปพบปะพูดคุยกับทีมงานหัวกะทิของ IW แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นฝั่งออกแบบซะมากกว่านะ พวกเขาเอาฉาก เอาการออกแบบต่างๆมาให้ผมดูแล้วพวกเขาก็ถามว่าผมเซ็นสัญญาว่าจะไม่นำข้อมูลไปเผยแพร่ต่อได้มั้ย ผมก็เซ็นรับไปเพราะมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว พอผมเซ็นพวกเขาก็ทยอยส่งการออกแบบและความคิดที่พวกเขามีต่อเกม Call of Duty: Ghosts มาให้ผมดูเรื่อยๆ แต่ตอนนั้นยังไม่มีใครพูดถึงการว่าจ้างผมหรอกนะ ผมทำไปก็เพราะผมอยากรู้ว่าพวกเขาทำงานกันยังไงเท่านั้นแหละ ผมชอบ Call of Duty: Black Ops ผมเลยอยากรู้อะไรที่มันเกี่ยวกับ Call of Duty: Ghosts
ผมกลับไปพบพวกเขาอีกครั้งพร้อมกับความคิดเห็นที่ผมมีต่อสิ่งที่พวกเขาทำ ผมลงรายละเอียดไปเลยว่ามันควรเป็นอะไรยังไงเพราะว่าอะไร พวกเขาเลยคิดกันว่างั้นให้ผมมาดูแลโครงการนี้ไปเลยละกัน พวกเขาถามผมว่าผมต้องการอะไรแค่ไหน จากนั้นก็จบเป็นอันว่าผมตกลง
Paulsemel: ผมเคยสัมภาษณ์ Mark Rubin ไปเมื่อนานมาแล้วเขาได้กล่าวไว้ว่า “นี่ไม่เหมือนการจ้างคนจาก Hollywood ครั้งก่อนๆ Stephen Gaghan มาดูแลงานเราอย่างละเอียด เขาเข้ามาที่ออฟฟิศเราแทบทุกวัน”
Stephen Gaghan: จริงๆในสัญญามันมีข้อนึงเขียนไว้ว่าผมต้องเข้าออฟฟิศอาทิตย์ละครั้งนะ แต่ผมรู้สึกไปอีกแบบ ผมเข้ามาครั้งแรกแล้วผมประทับใจทีมงาน Infinity Wards และ Neversoft ผมก็เลยบอกเขาไปว่า “เตรียมออฟฟิศให้ผมหน่อยละกัน ผมจะเข้าไปทุกวันนั่นแหละ” พวกเขาก็ตอบกลับมาทันทีว่า “ได้เลย ไม่มีปัญหา” ผมเขาเตรียมออฟฟิศให้ผมอย่างดี มีกาแฟชั้นยอดให้ผมแบบไม่อั้น ผมเริ่มเข้าไปทุกวันจนกลายเป็นว่าผมกลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมไปแล้ว
ผมมีหลายสิ่งที่ผมสงสัยเกี่ยวกับกระบวนการทำงานของพวกเขา วัฒนธรรมของพวกเขาเป็นอย่างไร ผมชอบผู้คนที่ผมทำงานด้วยมากเลยนะ พวกเขาต่างมีความสามารถและชาญฉลาดมาก สำหรับผมแล้วถ้าผมไปทำงานแล้วพบว่าคนที่ผมต้องร่วมงานด้วยนี่มันมีแต่พวกโง่เง่าไร้สาระ ผมจะไม่ทน ผมจะไม่ทำต่อ ผมจะเดินออกมาเลยเพราะผมมีอีกหลายอย่างที่ผมสามารถทำได้
Paulsemel: ทำไมคุณถึงไม่รับผิดชอบแค่ให้คำปรึกษาล่ะ ? แบบว่าคุณก็ดูสิ่งที่พวกเขาทำแล้วก็บอกว่าต้องทำอย่างไร ไม่ต้องลงมาทำเอง
Stephen Gaghan: ผมไม่เคยคิดจะทำแบบนั้นหรอกนะ ผมเข้าออฟฟิศมา นอกห้องของผมฝั่งหนึ่งเป็นทีมงานสำหรับการทำ Coding อีกฝั่งกำลังออกแบบฉาก ผมว่ามันต่างจากวงการภาพยนตร์จริงๆ นี่เป็นธุรกิจที่จะเสกเงินพันล้านภายใน 24 ชั่วโมงแรกที่วางจำหน่าย ผมอยากติดตามการทำงานของมัน และผมมีความสุขที่จะทำแบบนี้
Paulsemel: คุณคิดว่าทำงานในวงการเกมครั้งนี้จะส่งผลถึงการเขียนบทหรือการทำงานในแวดวงภาพยนตร์ในอนาคตของคุณหรือไม่ ?
Stephen Gaghan: แน่นอน มันต้องส่งผลกระทบมากมายแน่นอน
อย่างแรกเลยก็คือในการทำงานวงการภาพยนตร์ ผู้กำกับคือราชา มันเป็นธรรมเนียมในการทำภาพยนตร์ แต่ในการทำเกมร่วมกับ Activision วิธีการที่เขาทำงานกันในเกม Call of Duty: Ghosts ทุกสายงานต่างก็มีหัวหน้าทีมของตนเอง พวกเขาไม่ก้าวก่ายกัน อย่างฝ่ายออกแบบฉาก คนไหนออกแบบฉากไหนก็ต้องรับผิดชอบในฉากนั้นๆไปเลย และวัฒนธรรมการทำงานที่แตกต่างกันทำให้ทีมงานแต่ละคนกล้าที่จะพูดความคิดของตนออกมาได้แบบไม่ต้องกลัวอะไร ทำให้การทำงานมันได้ผลดีขึ้นและผลลัพท์ออกมาดียิ่งขึ้น
ผมกำลังจะเริ่มงานภาพยนตร์ชิ้นใหม่ในปีหน้า ผมกำลังคิดว่าผมจะทำงานกับช่างภาพ ทำงานกับช่างกล้องให้ได้แบบใน Activision ยังไง ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบเดิมที่ผู้กำกับคนเดียวชี้นิ้วสั่งทุกอย่างอีกแล้ว ผมพยายามหาวิธีการใหม่ๆเข้าไปใช้กับการทำงานในวงการภาพยนตร์ เพื่อผลตอบรับที่ดีมากขึ้น เพื่อประสิทธิภาพที่เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น
Paulsemel: คุณคิดว่าสิ่งที่ผู้เล่นประทับใจที่สุดใน Call of Duty: Ghosts คืออะไร ?
Stephen Gaghan: ผมคิดว่าผู้เล่นต่างพูดถึงฉากจบของมันนะ อารมณ์ที่พวกเขารู้สึกตอนจบเกมมันน่าจะไม่ต่างกัน ผมใช้ลูกเล่นในการผสมผสานอารมณ์ที่หลากหลายระหว่างพ่อกับลูก พี่กับน้อง พระเอกกับตัวร้าย เรามีองค์ประกอบสำคัญอย่างครบถ้วน ดราม่า , วีรบุรุษ , ศัตรูตัวฉกาจ
ผมว่าสิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมคือการที่ผมมีความสุขกับการสร้างสรรค์ดราม่าในรูปแบบใหม่ ผมคิดว่ามันจะต้องเจ๋ง แต่พอผมเอามันไปใส่ในเกมจริง ผมยืนดูมันเป็นไปในฉาก ดูมันขับเคลื่อนไปด้วยการเล่นจริงภายในเกมแล้วมันกลับไม่น่าสนใจ
ผมกลับมาถามตัวเองอีกครั้งว่าทำยังไงมันถึงจะออกมาดูดี ทำยังไงผมถึงจะใส่ที่ผมต้องการลงไปในวิดีโอเกมส์ได้นะ เราจะทำยังไงให้มันกระทบต่อความรู้สึกของผู้เล่นมากยิ่งขึ้น และเราเหลือพื้นที่ในการใส่มันลงไปอีกแค่ไหน ผมว่าตรงนี้นี่แหละเป็นสิ่งที่ผมประทับใจซึ่งผมเชื่อว่ามันทำให้ผู้เล่นประทับใจเหมือนกัน
Paulsemel: จากตอนจบของเกม ผลตอบรับกลับแตกออกเป็นหลายเสียง เสียงวิพากษ์วิจารณ์มันส่งผลกระทบต่อคุณมั้ย ? เพราะผมเชื่อว่าตอนจบมันทำให้ผู้เล่นหลายคนหันกลับมาด่าเกมนี้
Stephen Gaghan: ผมเข้าใจความเสี่ยงของการทำตอนจบแบบนี้ดี ผมไม่ได้ใส่บทสรุปแห่งชัยชนะให้กับตัวละครหลัก ในการทำภาพยนตร์มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำแบบนี้เพราะมันส่งผลกระทบกับความรู้สึกของผู้ชม มันมีฉากจบปลายเปิดมากมายซึ่งมันทำให้สังคมตีความไปได้ต่างๆนาๆ ว่ากันตามตรงผมว่าการทำแบบนี้ทำให้มันน่าสนใจมากกว่าภาพยนตร์จากฮอลลีวูดด้วยซ้ำ แต่แน่นอนว่าผมระมัดระวังอย่างมากในการทำฉากจบแบบนี้
ผู้คนที่ทำงานในเกมนี้ต่างก็เป็นคนรักในการเล่นเกม พวกเขาคงไม่ใช่แบบ”โอ้ เรามาทำให้เกมเมอร์ผิดหวังกันเถอะ มาทำให้พวกมันโกรธกันดีกว่า !” แต่มันเป็นแบบว่า “มันมีตัวเลือกอื่นที่น่าสนใจกว่านี้มั้ย ? อันนี้เป็นฉากจบที่ดีที่สุดแล้วเหรอ ? ไอ้หมอนี่มันเจ๋งที่สุด…ถ้ามันไม่ตายล่ะ ถ้ามันรอดมาได้ล่ะจะเป็นยังไง ?”
Paulsemel: จากบทสัมภาษณ์กับ Mark Rubin ครั้งก่อนเขาบอกไว้อีกว่า “ตอนที่ Stephen Gaghan เริ่มทำการหาคนมารับบทและพากษ์เสียงในเกม เขามีไอเดียสนุกๆมากมาย” คุณพอจะบอกเราได้บ้างมั้ย ?
Stephen Gaghan: มันก็แค่คนที่ผมเคยร่วมงานด้วยแล้วผมคิดว่ามันเจ๋งมากก็แค่นั้นเอง ผมเคยร่วมงานกับ Mark Strong ในภาพยนตร์เรื่อง Syriana ผมคิดว่าเขาเป็นอีกหนึ่งนักแสดงชายที่ดีมากๆ เขาเหมาะกับการรับบทสุดยอดตัวร้าย ผมเลยบอกเขาไปว่า “ถ้าหากเขาว่าง และหากคุณนำเขามาร่วมงานกับเราได้ คุณควรจะรีบทำซะ เขาจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง เขาจะทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้นและทำให้คุณรู้สึกว่าคุณเป็นอัจฉริยะ”
ผมกำลังจะเริ่มโครงการภาพยนตร์ใหม่กับ Jason Clarke จากภาพยนตร์ Zero Dark Thirty แต่ก็อย่างที่เราเข้าใจนั่นแหละ ไม่ใช่ทุกคนจะว่างตลอดเวลา ผมก็แค่มองหาว่าใครที่ยังว่างอยู่บ้างก็เท่านั้นเอง
Paulsemel: แล้ว George Clooney ล่ะ อยู่ในความคิดคุณบ้างหรือเปล่า ?
Stephen Gaghan: ไม่เลย แต่เขาเจ๋งนะ ผมพึ่งดู The Fantastic Mr. Fox กับลูกผม เขาพากษ์เสียงในเรื่องนี้ซึ่งมันก็เจ๋งดี
Paulsemel: คุณน่าจะเอาเขามาพากษ์เสียงนักบินอวกาศในเกม
Stephen Gaghan: โอ้ เราพึ่งมาคิดแบบนั้นก็ตอนที่เราได้ยินข่าวลือภาพยนตร์ Gravity นี่แหละแต่หลังจากที่ผมได้ดู Gravity แล้วก็คงต้องบอกว่าเห็นด้วยเลยนะ
Paulsemel: Jesse Stern ผู้เขียนบท Call of Duty 4: Modern Warfare , Call of Duty: Modern Warfare 2 และ Battlefield 4 ได้มองว่า Cutscene เป็นตัวเลือกที่ไม่ดีในการที่จะทำให้ผู้เล่นออกห่างจากการเล่นเกม ใน Call of Duty: Ghosts เอง Cutscene ก็มีน้อยมาก นั่นหมายความว่าคุณเห็นด้วยกับเขาจริงมั้ย ?
Stephen Gaghan: ผมว่ามันก็เป็นมุมมองมาตรฐานสำหรับคนที่ทำงานเกี่ยวกับบทหรือเนื้อหานะ การที่คุณทำให้ผู้เล่นถอดอารมณ์ร่วมจากการเล่นเกมไปสู่การรับชมมันทำให้พวกเขาหลุดสมาธิในการให้ความสนใจหรือการทำให้จังหวะมันช้าลงมันเป็นอะไรที่ไม่น่าสนใจเอามากๆ ผมต้องบอกเลยว่าถ้าคุณทำเกมคุณก็ไม่ควรจะทำอะไรแบบนั้น
เวลาที่เราจะสร้างสิ่งอะไรขึ้นมาแล้วโยนให้ผู้เล่นได้สัมผัส มันต้องเป็นอะไรที่สมจริงและใกล้เคียงกับชีวิตพวกเขามากที่สุด โอเค การยิงกันมันก็เท่ดี แต่มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นเช่นคุณเลือกที่จะทำนั่นทำนี่ เลือกใช้อาวุธปืนนั้นปืนนี้
ผมไม่คิดว่าเกมกับภาพยนตร์มันเหมือนกันซะทีเดียวหรอกนะ แต่ประเด็นอารมณ์ร่วมของผู้เล่นกับสื่อบันเทิงมันยังเหมือนกันอยู่ ดังนั้นผมเลยนำประเด็นนี้มาใช้อย่างจริงจังมาก ตอนแรกที่ผมเริ่มทำงานกับเกม ผมมีความคิดมากมายที่จะนำมาใช้กับเกม จากนั้นผมก็ลองนำมันมาใช้แล้วก็นั่งดูมันจริงๆซึ่งหลายครั้งมันก็ไม่เหมาะกับการใช้ในเกมเท่าไหร่นัก นี่มันเกมไม่ใช่หนัง มันต้องสนุกและมันต้องสนุกตลอดเวลาไม่ว่าจะเริ่มต้นหรือใกล้จบ
สำหรับผมแล้วความท้าทายมันอยู่ที่ว่าเราจะใส่สิ่งที่เราชอบลงไปอย่างไรให้มันเหมาะสมกับตัวเกมแต่ทำให้เรายังรู้สึกว่าเราได้ทำตามใจอยู่บ้าง
ดังนั้นผมเห็นด้วยกับเขา แต่ในขณะเดียวกันเราต้องมอบความรู้สึกของการเลือกให้อยู่ในมือของผู้เล่นเกม มันไม่ใช่แค่ว่ายิงๆกันไปแล้วจบลง มันต้องมีผลมากกว่านั้นแต่มันต้องไม่ใช่แค่การนั่งดูเพียงอย่างเดียว ซึ่งผมว่านี่แหละเป็นสิ่งที่น่าสนใจ
Paulsemel: คุณมีแผนในการทำเกมต่อไปแล้วหรือยัง ?
Stephen Gaghan: เอาจริงๆผมก็ยังไม่รู้หรอกนะว่าผมจะได้ทำงานในวงการเกมอีกหรือเปล่าและผมก็ยังไม่มีแผนการสำหรับมัน ผมยังเปิดรับโอกาสสำหรับวงการนี้อยู่ ผมคิดว่าเราคงได้พูดคุยกันอีกภายในอนาคตเกี่ยวกับประเด็นการเขียนบทในวงการเกม
Paulsemel: จากการสัมภาษณ์ครั้งนี้ ผมบอกได้เลยว่าคุณเองก็เป็นเกมเมอร์เหมือนกัน
Stephen Gaghan: ใช่ !
Paulsemel: หากคุณมีโอกาสในการทำงานวงการเกมอีกครั้ง คุณอยากร่วมงานกับเกมไหน ?
Stephen Gaghan: ผมไม่ขอตอบส่วนนี้ดีกว่า แต่ผมภูมิใจมากกับเกม Call of Duty: Ghosts แต่ว่ามันก็ยังมีเกมที่ดีอีกมากมายในตลาด