สำหรับผู้ใช้งาน iPhone น่าจะคุ้นเคยกับ iOS หรือ iPhone Operation System ระบบปฏิบัติการที่ใช้คู่กันได้เป็นอย่างดี ซึ่งหลายปีที่ผ่านมานี้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้วหลายเวอร์ขั่น ทั้งรูปร่างหน้าตาและฟังก์ชั่นเสริมต่าง ๆ วันนี้เรามาดูกันว่า iOS ในยุคแรกสุดมาจนถึงตอนนี้นั้น ผ่านการพัฒนาอะไรมาบ้างครับ
iOS 1 (2007)
iOS 1 ประกาศเปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 9 มกราคม 2007 ที่งาน MacWorld 2007 โดย CEO คนเก่าของ Apple อย่าง Steve Jobs เป็นผู้นำเสนอนวัตกรรมใหม่ของการใช้โทรศัพท์มือถือแห่งยุคนั้น โดยในตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่ามันทำงานอย่างไร แต่ Jobs ก็ได้อธิบายให้ทุกคนรู้ว่า มันคือ Software ตัวเดียวกับที่ใช้ทำงานบน OSX ของเครื่อง Mac ที่ใส่ระบบสัมผัสหน้าจอในหลายจุดเข้ามา และเพิ่มลูกเล่นหลายอย่าง เช่นการใช้ App ที่เปรียบเสมือน Software ที่ใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์
รวมไปถึงใช้ท่องเว็บไซต์ผ่าน Safari เช็คอีเมล ดูสภาพอากาศ และดู YouTube ได้อีกด้วย แต่ในยุคนั้น Apple ก็ได้ส่ง iPod Touch มาลงตลาดด้วย ซึ่งมีราคาถูกกว่า iPhone มาก แค่โทรออกไม่ได้เท่านั้นเอง
iOS 2 (2008)
ในปีถัดมา ทาง Apple ได้ปล่อยตัว SDK หรือ Software Development Kit เพื่อให้ผู้พัฒนาเจ้าต่าง ๆ สามารถสร้าง Application มาใช้งานในระบบ iOS ได้ และรวมไปถึง iOS 2 ที่มาใน iPhone รุ่น 3G โดยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ก็คือ App Store ที่เปิดให้ผู้ใช้งานสามารถหาซื้อ App จากผู้พัฒนาเจ้าอื่นมาใช้งานได้มากมาย ซึ่งก็รวมไปถึงเกมต่าง ๆ อีกด้วย
โดยการอัพเดตตัวนี้มีให้ฟรีสำหรับผู้ใช้งาน iPhone ส่วนผู้ใช้ iPod Touch นั้นต้องเสียเงินซื้อเพิ่ม (แต่ก็มีการอัพเดตให้ฟรีในภายหลัง)
iOS 3 (2009)
iPhone 3G ถือเป็นรุ่นที่ได้รับความอย่างสูงทั่วโลก และการอัพเกรดเป็น iOS 3 นั้นก็ทำให้มันใช้งานได้สะดวกและล้ำหน้าขึ้นไปอีก โดยใน iOS 3 นี้ได้เพิ่มฟังก์ชั่นในการ Cut, Copy และ Paste เข้าไป ทำให้การย้ายไฟล์ในโทรศัพท์นั้นทำได้อย่างสะดวกขึ้น เพิ่มระบบสั่งการด้วยเสียงเข้ามา รวมไปถึงระบบเข็มทิศที่ใช้งานได้ดี ซึ่งการสั่งการด้วยเสียงนี้ถือเป็นลูกเล่นสำคัญที่ทำให้หลายคนประทับใจ iPhone ขึ้นมาอย่างมากทีเดียว รวมไปถึงนำไปใช้งานกับ iPad ที่วางจำหน่ายในปีถัดมาได้อย่างลงตัวอีกด้วย
iOS 4 (2010)
เมื่อมี iPhone รุ่นใหม่ OS รุ่นใหม่ก็ตามมาแบบติด ๆ สำหรับ iOS 4 ที่มาพร้อมกับiPhone 4 นั้นได้เพิ่มฟีเจอร์การทำงานแบบ Multitasking ที่อนุญาตให้ App หลาย ๆ ตัวทำงานพร้อมกันได้ในเวลาเดียวกัน ไม่ต้องเสียเวลาเปิดปิด App ที่ใช้งานไปก่อนหรือทำงานร่วมกันพร้อม ๆ กันหลาย App หรือสลับการใช้งานได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น
และยังมีระบบ Spell Check ตรวจคำผิดที่พิมพ์ออกมาในทันทีได้ด้วย และฟังก์ชั่นใหม่ที่หลายคนรู้จักเป็นอย่างดีคือ Facetime กับมิติใหม่ในการโทรคุยกันผ่านกล้องหน้าที่สร้างความฮือฮาอย่างมากในยุคนั้นด้วย
iOS 5(2011)
แน่นอนว่า iOS 5 ก็มาพร้อมกับ AI ผู้ช่วยคนใหม่นามว่า Siri ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งาน iPhone และ iPad ได้สะดวกมากขึ้น ซึ่ง Siri จะช่วยแนะนำข้อมูลในการช่วยเหลือต่าง ๆ เช่นการใช้คำสั่งลัด จัดการสิ่งต่าง ๆ ด้วยคำสั่งเสียง แม้จะเป็นผลงานหลังจากการเสียชีวิตของ Steve Jobs แต่ก็ยังถือว่ามีนวัตกรรมที่น่าทึ่งมาให้เห็น อย่างการใช้ AI มามีส่วนร่วมในการใช้งานโทรศัพท์มือถือนั่นเอง นอกจากนั้นก็มีการเพิ่มระบบแจ้งเตือนใน Notification Center และอัพเดตระบบ Wireless ให้ใช้งานได้คล่องตัวมากขึ้น
iOS 6 (2012)
ยังคงมาแบบปีต่อปีสำหรับ iOS 6 โดยคราวนี้เพิ่ม Apple Map ระบบแผนที่นำทางที่มาแทน Google Map ในรุ่นเก่า และมีการแนะนำเส้นทางแบบโค้งต่อโค้งที่สะดวกมากขึ้น และ Clock App สำหรับ iPad รวมไปถึงรองรับการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบ LTE ได้แล้วด้วยนั่นเอง โดย iOS 6 นั้นมาพร้อมกับ iPhone 5 และ iPad Mini
iOS 7(2013)
ใน iOS 7 นี้มีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของ UI และกราฟฟิกของระบบปฏิบัติการให้ชัดเจนสวยงามมากขึ้น เปลี่ยนไอคอนต่าง ๆ ของ App พื้นฐานและการใช้งานใหม่หมดจด พร้อมเพิ่มฟังก์ชั่นใหม่อย่าง Control Center และ AirDrop ที่ช่วยให้การส่งไฟล์ต่าง ๆ นั้นไม่จำเป็นต้องส่งผ่านสายหรืออุปกรณ์อื่น ๆ เป็นตัวกลางอีกต่อไป
iOS 8(2014)
เริ่มมีฟีเจอร์ในการทำงานแบบไร้รอยต่อเพิ่มมากขึ้น เช่น Handoff ที่สามารถนำงานที่ทำจากอุปกรณ์ของ Apple ที่หนึ่ง ไปทำอีกที่หนึ่งได้ทันที เช่นดูหน้าเว็บผ่าน Safari ใน Mac แล้วนำไปดูต่อใน iPhone ได้ เป็นต้น รวมไปถึงเพิ่ม App Health เพื่อช่วยตรวจข้อมูลทางสุขภาพ รวมไปถึงความคืบหน้าในการดูแลตัวเองทางด้านต่าง ๆ ซึ่ง iOS 8 ถือเป็น iOS ตัวแรกที่มีการเปิดให้ทดสอบแบบ Beta โดยบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่ผู้พัฒนาอีกด้วย
iOS 9(2015)
iOS 9 ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับระบบ 3D Touch ใน IPhone 6S และ 6S PLUS ทำให้มีความยืดหยุ่นในการใช้งานหน้าจอสัมผัสมากขึ้น และยังรองรับการทำงานในหลาย ๆ App ที่ไม่ใช่เพียงแค่สัมผัสปุ่มไอคอนแบบเดิม
พร้อมกันนี้ก็มีฟีเจอร์ใหม่ ๆ อย่างระบบ Wallet ที่เพิ่มบัตรเครดิตต่าง ๆ เข้าไปได้ รวมไปถึงเพิ่มโหมดการใช้งานในช่วงที่มีแบตเตอรี่ต่ำ ให้ใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น หลังจากที่มีผู้ใช้งานหลายคนติมาว่าใน iOS รุ่นเก่า ๆ นั้นกินพลังงานมากเกินไป และระบบ Siri Search ที่ใช้ Siri ช่วยค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้รวดเร็วมากขึ้น
iOS 10 (2016)
ใน iOS จะมีการเปลี่ยนแปลงใน App ที่มีการใช้งานบ่อย ๆ เช่น Messages ที่มีการเพิ่มลูกเล่นของตัวอักษรเข้าไป รวมไปถึงปรับปรุงหน้า Widget Screen ให้ใช้งานได้สะดวกขึ้นจากหน้า Home Screen และทาง Apple ยังเพิ่มตัวเลือกในการปลดล็อกหน้าจอให้ทำได้สะดวกขึ้นกว่าเก่า และหน้าแจ้งเตือนแบบใหม่ที่ดูได้สะดวกขึ้น
iOS 11(2017)
เป็นอีกครั้งที่ Apple ปรับปรุงหน้าตาของ UI และไอคอนของ App ต่าง ๆ ให้สวยงามมากขึ้น ปรับปรุงระบบ Multitasking ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับผู้ใช้งานใน iPad รองรับ AR kit สำหรับเทคโนโลยี Augment Reality และการอัพเดตระบบ Drag and Drop ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถลากรูปภาพและข้อความต่าง ๆ ไปยังอีก App หนึ่งได้ทันที และสามารถรองรับการทำงานของ Apple Pencil ให้การทำลายเซ็นและเอกสารต่าง ๆ มีความรวดเร็วและยืดหยุ่นยิ่งขึ้นด้วย
นอกจากนั้นยังมีการปรับปรุงเสียงของ Siri ให้เป็นรูปแบบใหม่ กับโหมด So not Disturb เพื่อลดการรบกวนระหว่างธุระสำคัญหรือระหว่างขับรถได้ด้วย
iOS 12(2018)
เวอร์ชั่นล่าสุดของ iOS ที่ทาง Apple ประกาศว่ามีประสิทธิภาพในการใช้งานที่เร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอุปกรณ์ของ Apple รุ่นเก่าเช่น iPhone 5S โดยจุดเด่นคือระบบ Group Facetime ที่สามารถทำการ Video call พร้อมกันได้สูงสุดถึง 32 คน มีการเพิ่มทางลัดสำหรับการใช้งาน Siri ผ่านทางเสียงหรือ App ต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงปรับปรุงประสิทธิภาพของ App ต่าง ๆ ให้ใช่งานได้ดีมากขึ้น
และนี่ก็คือวิวัฒนาการของ iOS แบบสั้น ๆ ในแต่ละเวอร์ชั่นที่ผ่านมา หลายเวอร์ชั่นก็เป็นนวัตกรรมที่เรียกได้ว่าเปลี่ยนโลก แต่บางอย่างก็อาจจะเฉย ๆ เพราะมีคนทำมาก่อนแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า iOS คือระบบปฏิบัติการที่ผ่านการพัฒนามาอย่างยาวนานและมีผู้ใช้อยู่มากมายทั่วโลก น่าคิดว่าในปีนี้ ทาง Apple จะนำเสนออะไรใหม่ ๆ มาให้เราได้เห็นกันใน iOS ตัวต่อไปกันบ้างครับ