BY StolenHeart
21 Jan 19 11:49 am

ดำดิ่งสู่เส้นทางนักซิ่งกลางแสงสี กับ Need For Speed Underground

92 Views

ถ้าหากพูดถึงซีรีส์เกมแข่งรถที่มีฐานแฟนที่ติดตามอยู่อย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะแฟน ๆ ที่ชื่นชอบการแข่งรถแบบอาร์เคด ก็ต้องคิดถึงซีรีส์ Need For Speed กันก่อนแน่ ๆ ด้วยความหลากหลายของรถที่มีอยู่ในเกม ระบบการขับแข่งและการออกแบบสนามก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม และเชื่อว่าภาคที่แฟน ๆ ทุกคนชื่นขอบก็คงหนีไม่พ้นภาค Underground กันอย่างแน่นอน ซึ่งวันนี้เราจะมาย้อนอดีตระลึกถึงซีรีส์นี้กัน

ย้อนเวลากลับไปในช่วงยุคก่อนปี 90 ไปจนถึงช่วงต้น 2000 Need For Speed คือเกมรถแข่งที่เน้นไปที่รถสปอร์ตพันธุ์แรงทั้งหลาย ขับแข่งไปยังสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก แต่ก็ยังไม่มีระบบการปรับแต่งรถหรือตัวเลือกอื่น ๆ มากนักนอกจากเลือกสีของตัวถัง และรวมไปถึงการไล่ล่าระหว่างผู้ขับแข่งและตำรวจที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาของซีรีส์ในยุคแรกโดยเฉพาะในภาค Hot Pursuit ที่ทำได้อย่างถึงอกถึงใจ เรียกว่าถ้าหากแฟนเกม PlayStation มี Ridge Racer กับ Gran Turismo แล้ว ชาว PC ก็มี Need For Speed นี่แหละที่เป็นเกมแข่งรถที่คอยเป็นหน้าตาให้กับเหล่าเกมเมอร์มาโดยตลอด

จนกระทั่งในปี 2001 ภาพยนตร์เรื่อง The Fast And Furious ได้ออกฉายทั่วโลก ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการซิ่งรถในแบบ Street Race เอารถแบบบ้าน ๆ ที่ไม่ได้หรูหรามาก มาดัดแปลงเพิ่มประสิทธิภาพทั้งเครื่องยนต์และตัวถังให้เร็วยิ่งกว่าเดิม เป็นการจุดกระแสให้หลายคนหันมาสนใจรถแต่งในแบบ Street Race กันมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และก็ประจวบเหมาะกับที่ทาง EA ได้วางจำหน่ายเกม Need For Speed ภาคใหม่ในปีเดียวกันกับที่ภาพยนตร์ภาคสองออกฉายอีกด้วย โดยใช้ชื่อว่า Underground

Need For Speed Underground เป็นเกมภาคที่เจ็ดของซีรีส์ พัฒนาโดยทีม EA Black Box ซึ่งเป็นการฉีกแนวทางของเกมในซีรีส์นี้ไปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งได้ตัดรูปแบบการไล่ล่าระหว่างนักซิ่งกับตำรวจทิ้งไป แต่เพิ่มโหมดการเล่นขึ้นมาหลายแบบนอกเหนือไปจากการแข่งขันแบบปกติ เช่นโหมด Knockout ที่เมื่อจบรอบ ผู้เล่นในอันดับสุดท้ายจะต้องออกจากการแข่งขันไป Drag Racing การแข่งขันแบบอัดทางตรงรวดเดียว วัดกันว่าใครบริหารการใช้ความเร็วได้ดีกว่ากัน และทีเด็ดที่สุดคือโหมด Drift ที่ผู้เล่นจะต้องเก็บคะแนนจากการดริฟต์ให้ออกมาสวยงามได้คะแนนดี ๆ โดยที่ไม่พลาดเลย ใครที่ได้คะแนนสูงสุดก็จะเป็นผู้ชนะไป จัดเป็นโหมดที่ผู้เล่นชื่นชอบมากที่สุดโหมดหนึ่งของภาคนี้ เพราะการดริฟต์แบบรวดเดียวไม่พลาดเลยนั้นเป็นอะไรที่เท่มากแบบสุด ๆ เลยทีเดียว และที่ลืมไม่ได้คือระบบใหม่ของเกมอย่างการกด Nitrous เพื่อเพิ่มความเร็วขึ้นในระยะสั้น ๆ เหมือนกับการกดปุ่ม Turbo เร่งความเร็วเพื่อพลิกสถานการณ์ให้กลับมาได้เปรียบนั่นเอง

นอกจากโหมดการแข่งอันสุดมันและออกแบบสนามมาได้เป็นอย่างดีแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือระบบการปรับแต่งรถยนต์ที่ทำออกมาได้อิสระอย่างมาก ทั้งลวดลายต่าง ๆ ชิ้นส่วนเสริมประสิทธิภาพรถ ฝากระโปรงรถ และอื่น ๆ อีกมากมายที่ผู้เล่นจะสามารถเติมเต็มด้วยจินตนาการของตัวเองได้ ทำให้มีการถ่ายรูปรถสุดที่รักของตัวเองออกมาประชันกันมากมายในเว็บบอร์ดเกมในสมัยนั้นเต็มไปหมด

และในปี 2004 ภาคต่ออย่าง Underground 2 ก็วางจำหน่าย ที่คราวนี้นอกจากเกมจะมีกราฟฟิกที่ดีขึ้นแล้ว จำนวนรถที่มีให้เลือกใช้ก็ถูกใจคนชอบรถสาย Street Car อยู่มากมายยิ่งกว่าเดิม เช่น Toyota Corolla 86, Nissan Skyline GT-R และอื่นๆ อีกมากมาย และก็ไม่ได้มีแต่รถเก๋งเท่านั้น ยังมีรถแบบ SUV คันใหญ่ ๆ ที่จะมาสนองความต้องการของคนที่อยากแต่งรถซิ่งคันใหญ่ ๆ เพื่อเอาไว้เชยชม แถมยังยกระดับระบบการปรับแต่งรถยนต์ขึ้นไปอีกขั้นด้วยการจับเข้า Dyno Tuning System ลองปรับค่าต่าง ๆ ของระบบกล่อง ECU และระบบเบรกต่าง ๆ เสมือนในชีวิตจริง เป็นระบบที่ทำหลายคนลืมวันลืมคืนเพราะมัวแต่ปรับแต่งรถกันเลย

แน่นอนว่าถึง Underground จะแหวกกรอบออกมาจาก Need For Speed ภาคดั้งเดิมไปไกลลิบ แต่มันก็ได้สร้างฐานแฟนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบ Street Race ขึ้นมา ด้วยรถแต่งสุดเท่ที่ปรับแต่งได้อิสระ ระบบการเล่นที่ไม่ยากจนเกินเข้าใจ และโหมดการเล่นที่หลากหลายมีสไตล์อย่างมาก ด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้นมากทำให้มันถูกเลือกนำไปใช้แข่งขันในงานเกมหลายงานในยุคนั้นเช่น WCG หรือ World Cyber Games ที่เป็นที่ฮือฮาอย่างมาก และแน่นอนว่าก็มีผู้เล่นชาวไทยที่เข้าร่วมการแข่งขันอย่างมากมายด้วย

น่าเสียดายที่ปัจจุบันนี้ EA ไม่ได้เข็นเกมแข่งรถในแบบเดียวกับภาค Underground ออกมาอีกเลย จะมีก็แค่ใกล้เคียงเท่านั้น และก็แทบไม่มีภาคไหนอีกเลยที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้ปรับแต่งรถได้อย่างมากมายเท่าภาคนี้ แถมด้วยธีมแบบ Street Race ก็ไม่ได้รับความนิยมเหมือนสมัยก่อนแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า Need For Speed Underground นั้นได้สร้างความทรงจำที่ดีให้กับเหล่าเกมเมอร์ยอดนักซิ่งในยุคต้นปี 2000 ได้อย่างน่าจดจำที่สุดเกมหนึ่งเลยทีเดียวครับ

Putinart Wongprajan

เค้ก - Content Writer

Back to top