ออกฉายกันไปแล้วสำหรับตอนแรกของสุดยอดซีรีส์ที่ดัดแปลงมาจากสุดยอดวิดีโอเกมเช่นกันอย่าง The Last of Us ความยอดเยี่ยมของทั้งตัวเกมและตัวซีรีส์เราคงไม่ต้องบรรยายอะไรกันมากหลายคนน่าจะได้ยินและสัมผัสด้วยตัวเองกันไปแล้ว
แต่วันนี้เราจะมาขอพูดถึงการมองเนื้อหาของซีรีส์ในอีกมุมที่ต่างออกไปกับการแกะ “สัญญะ” ของตัวซีรีส์โดยใช้ตัวเอกของซีรีส์นี้อย่างเหล่า Infected ผู้ติดเชื้อ หรือ ซอมบี้ หยิบมาแยกองค์ประกอบพูดถึงเบื้องลึกกันดู
*คำเตือนเนื้อหาในบทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของซีรีส์ The Last of Us ในตอนแรก*
The Last of Us เปิดเนื้อหาในตอนแรกมาในชื่อ “When You’re Lost in the Darkness” ตัวซีรีส์พาเราไปดูชีวิตของตัวเอกอย่าง Joel ผ่านสองช่วงเวลาทั้งก่อนและหลังการแพร่ระบาดของเชื้อราปรสิตมรณะที่พาโลกเข้าสู่การล่มสลาย
ตัวซีรีส์ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าปูปมต่าง ๆ วางโครงสร้างพื้นฐานของโลกในซีรีส์อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าโดยรวมแล้วผู้ชมก็จะได้รับรู้ว่าเนื้อหาหลังจากตอนที่หนึ่งจะมุ่งหน้าไปทิศทางใดแบบคร่าว ๆ และใครที่เป็นแฟนซีรีส์แนวซอมบี้ก็คงคาดเดากันได้ว่าการผจญภัยของ Joel และ Ellie จะต้องผ่านอุปสรรคแบบไหนบ้าง
แน่นอนว่าหนังหรือซีรีส์แนวซอมบี้ในโลกหลังการล่มสลายไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด และ The Last of Us ก็ไม่ได้พยายามฉีกเนื้อหาของตัวเอกจากเค้าโครงแบบนั้นแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม The Last of Us ทั้งฉบับเกมและซีรีส์เลือกใช้เนื้อหาพื้น ๆ แบบซอมบี้ในการเล่าเรื่องราวที่มีความซับซ้อนและน่าสนใจในด้านเบื้องลึกและเบื้องหลังกันแทน
ในฉากเปิดของซีรีส์เราจะได้ฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ตอกย้ำว่าในโลกยุคปัจจุบันการที่สังคมมนุษย์เชื่อมต่อกันแบบทั่วถึง จึงเป็นโอกาสชั้นดีในการแพร่กระจายของโรคระบาด (และในโลกจริง ๆ ของเรา ทุกคนก็คงเห็นผลลัพธ์นี้กันอยู่แล้ว) และสิ่งที่แพร่ระบาดใน The Last of Us ก็ไม่ใช่เชื้อไวรัสในแบบหนังซอมบี้เรื่องอื่น ๆ แต่มันคือ “เชื้อรา” สิ่งความสำคัญและสัญญะของตัวเชื้อรานี่เองที่เป็นสิ่งที่น่าสนใจ
เชื้อราที่เป็นต้นแบบราใน The Last of Us ก็คือ ‘Ophiocordyceps’ เชื้อราปรสิต ที่มีอยู่ในโลกของเราจริง ๆ โดยมันจะเข้าไปฝังอยู่ในตัวมดและแมลงเล็ก ๆ กัดกินพวกมันจากภายในก่อนจะเจาะผ่านสมองและกระจายเชื้อเพื่อแพร่ขยายตัวเองออกไปเรื่อย ๆ (ตัวเกม The Last of Us ได้เชิญนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญเจ้าราชนิดนี้มาให้คำปรึกษาในการออกแบบตัวเกมภาคแรก ดังนั้นก็ไม่น่าแปลกใจที่เนื้อหาหลายอย่างของตัวเกมจะอิงกับวิทยาศาสตร์จริง ๆ จนได้รับคำชมจากผู้เชี่ยวชาญหลายคน)
ที่ผ่านมาในสื่อบันเทิงรูปแบบต่าง ๆ ซอมบี้ก็มักถูกใช้เป็นตัวแทนในการเปรียบเปรยวิจารณ์แง่มุมต่าง ๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมของผู้บริโภค สังคมทุนนิยม หรือ ความอันตรายของการใช้สื่อชวนเชื่อ แต่ซอมบี้จาก The Last of Us กลับเป็นตัวแทนของการพูดถึงแง่มุมที่น่าสนใจอย่างเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน
แม้แต่ฉากเปิดของฉบับซีรีส์ที่เป็นกราฟฟิกการกระจายตัวของเชื้อรา ภาพที่เราได้เห็นก็ทำให้เรารู้สึกถึงสังคมมนุษย์โดยรวม ไม่ว่าจะเป็นตึกระฟ้า แผนที่ของประเทศอเมริกา หรือช็อตสุดท้ายที่เป็นการจำลองการยืนข้างกันของคนสองคน
เนื้อหาในซีรีส์ (และในเกม) พาเราไปสำรวจความสัมพันธ์ของเหล่าผู้คนที่อิงอาศัยอยู่กันแบบปรสิต อาจจะไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ทั้งสองฝ่ายเท่าเทียมเสมอกันหรือได้สิ่งดี ๆ ด้วยกันทั้งคู่ แต่ก็เหมือนขาดจากกันไม่ได้และต้องพึ่งพาอยู่อาศัยติดกันต่อไป เช่น Joel และ Tommy
ตอกย้ำด้วยบทสนทนาตอนที่ Tommy มาเยี่ยมตอนวันเกิดและ Sarah บอกว่า Tommy รัก Joel แต่ตัว Joel กลับตอบว่า Tommy พึ่งพิงเขานั่นไม่ใช่ความรัก
หรือความสัมพันธ์ขององค์กร FEDRA กับเหล่าผู้รอดชีวิตที่เหมือนเป็นเหมือนปรสิตเผด็จการ ควบคุมชีวิตของผู้คนตามใจตนเอง ไปจนถึงความสัมพันธ์ระหว่าง Joel และ Sarah, ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครอื่น ๆ ในเรื่อง และสุดท้ายก็คือความสัมพันธ์ระหว่าง Joel และ Ellie อันเป็นหัวใจหลักสำคัญของเนื้อหาใน The Last of Us
แน่นอนว่าเนื้อหาของซีรีส์หลังจากนี้ก็จะเป็นการเจาะลึกการเดินทางของ Joel และ Ellie ขณะที่ทั้งสองคนก็ต้องค่อย ๆ เรียนรู้ที่จะพึ่งพาอาศัยกัน ในรูปแบบที่อาจจะไม่ได้ประโยชน์เท่าเทียมกันทั้งคู่และเป็นสัมพันธ์ที่บอบช้ำจากแผลเก่าในจิตใจ
ก็เหมือนกับตัวเราและผู้คนและสังคมรอบกาย แน่นอนว่าเราไม่สามารถมีความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมได้กับทุก ๆ คนรอบตัว และเราเองก็อาจจะอยู่ในสถานะ “ปรสิต” สำหรับคนบางคนเสียด้วยซ้ำ แต่ธรรมชาติของสรรพสิ่งและชีวิตก็คือการเรียนรู้ในการรักษาสมดุลของความสัมพันธ์ดังกล่าวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ถึงฉากหน้าของ The Last of Us จะถูกฉาบไปด้วยความสยอง ความตื่นเต้นกับเรื่องราวในการเอาชีวิตรอด แต่เมื่อมองลึกลงไปความแข็งแกร่งและความดีงามที่แท้จริงของซีรีส์ (และเกมตระกูลนี้) ก็คือการพาเราไปสำรวจรายละเอียดเล็ก ๆ ที่แฝงอยู่นี่เอง
“When you’re lost in the darkness, look for the light” ยามที่หลงในความมืดจงมองหาแสงสว่าง และท่ามกลางเนื้อหาอันโหดร้ายและฉากอันสยดสยอง หัวใจสำคัญของ The Last of Us ก็คือเรื่องราวของความหวังในความสัมพันธ์ที่อาจจะไม่ปกติเป็นปรสิตที่ฝังอยู่กับร่างต้นแต่ก็งดงามและกินใจนั่นเอง