BY StolenHeart
22 May 19 11:56 am

ย้อนรอย Rage เกม FPS ที่มีดีแค่ระบบการยิง

21 Views

วางจำหน่ายมาได้สักพักแล้วสำหรับ Rage 2 เกมเดินหน้ายิงภาคต่อของ id Software ที่น่าจะถูกใจคนชอบยิงอย่างสะใจ ซึ่งรูปแบบการเล่นหลายอย่างก็ยังคงไว้เหมือนเดิม แต่สำหรับคนที่ลืมเลือนกันไปแล้วว่าภาคแรกนั้นเป็นอย่างไร แตกต่างจากภาคสองมากน้อยแค่ไหน วันนี้เราจะมาคุยเรื่องนี้กัน

Rageย้อนกลับไปในปี 2011 id Software วางจำหน่ายเกม Rage เกมเดินหน้ายิงเกมใหม่ ที่พวกเขากล้าการันตีว่าเป็นเกมเดินหน้ายิงที่สนุกสุดมันแบบเดียวกับที่ Doom หรือ Quake เคยทำเอาไว้ได้ และจะมีความแปลกใหม่มากกว่าเกมก่อนหน้านี้ของเขาด้วย ซึ่งในตอนเปิดตัวนั้นก็ถือเป็นเกมที่หลายคนให้ความสนใจ เพราะชื่อชั้นของ id Software ในการสร้างเกม DOOM นั้นยังคงขายได้เสมอ

ซึ่ง Rage ได้ Tim Willits มาเป็นผู้กำกับเกม โดยเขาก็มีส่วนร่วมในผลงานเกมเดินหน้ายิงระดับโลกอย่าง Quake และ DOOM มายาวนานตั้งแต่ปี 1995 เรียกว่าเรื่องฝีมือนั้นหายห่วง เป็นชื่อที่แฟนเกมหลายคนให้ความไว้วางใจ ว่าจะต้องทำเกมออกมาได้ดีอย่างแน่นอน

Tim Willits ผู้กำกับเกม Rage ที่มีประสบการณ์ในการเสร้างเกมเดินหน้ายิงมาอย่างยาวนาน

แน่นอนว่า id Software ทุ่มสุดตัวกับโปรเจคนี้ ถึงขนาดเปิดตัวเอนจิ้นใหม่อย่าง id Tech 5 ที่รังสรรค์โดย John Carmack โปรแกรมเมอร์อัจฉริยะที่อยู่เบื้องหลังเกมดังมากมาย และยังถูกประเดินใช้ในเกมนี้เป็นเกมแรก หลังจากที่เดินสายโปรโมทมาอย่างยาวนาน จนทำให้เหล่าเกมเมอร์เชื่อว่า เกมจะต้องออกมาเทพแน่นอน

แต่กลายเป็นว่า เมื่อตัวเกมออกมานั้น กระแสของผู้เล่นกลับเป็นไปในทางที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก แม้คะแนนวิจารณ์จากสื่อต่าง ๆ จะอยู่ในเกณฑ์ที่สูงก็ตาม เนื่องมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน

ซึ่งเรื่องนี้ถ้าให้แยกกันเป็นประเด็นถึงสิ่งที่เกิด ก็คงสามารถแยกไว้ได้ดังนี้

ปัญหาทางด้านกราฟฟิกในวันที่เกมเปิดตัว

Rage มีปัญหาทางด้านกราฟฟิกตั้งแต่วันแรกที่เกมวางจำหน่าย ไม่ว่าจะทั้งบน PC หรือคอนโซล ซึ่งปัญหาแรกที่เจอกันก็คือการโหลด Texture ไม่ทันในฉากเปิดกว้างใหญ่ ๆ จนทำให้อารมณ์ร่วมของเกมหดหายลงไปอย่างมาก หรือบางทีก็ไม่โหลดวัตถุขึ้นมาจนทำให้เดินติดหรือขับรถชนสิ่งของในฉากแบบงง ๆ ซึ่งกว่าจะแก้ไขได้ก็ใช้เวลาไปพักใหญ่ จนทำให้เหล่าผู้เล่นไม่ปลื้มอย่างมาก

ที่สำคัญคือตัวเกมดูแล้วก็ไม่ได้สวยมากอย่างที่ผู้พัฒนาเคลมเอาไว้ มันเต็มไปด้วยบรรยากาศในทะเลทรายที่มีแต่สีน้ำตาลตุ่น ๆ ดูแล้วไม่ชวนให้เจริญหูเจริญตาเลยแม้แต่น้อย และงานศิลป์เองก็มีการออกแบบที่ธรรมดา จนทำให้การเล่นนั้นลดอารมณ์ร่วมลงไปโข

เนื้อเรื่องของเกมที่กลวงโบ๋

จุดด้อยที่สุดของ Rage ในภาคแรกคือเนื้อเรื่องที่ไม่ค่อยมีอะไรเลย (ใครที่ยังไม่รู้ว่าเรื่องราวของตัวเกมเกี่ยวกับอะไร ไปอ่านกันได้ ที่นี่) เพราะทุกอย่างในเกมเหมือนถูกสร้างมาเพื่อปูบทให้ตัวเอกได้ออกไปยิง ๆ ทุกสิ่งที่ขวางหน้าเท่านั้น

มันเลยทำให้เรารู้สึกไม่ได้ผูกพันใด ๆ กับโลกของเกม, ตัวละคร NPC ผู้ให้เควส หรือหน่วยต่อต้านทั้งหลายเลยแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาเหล่านี้มีหน้าที่เพียงแค่มอบเควส รางวัล และบ่นด่าตัวร้ายหรือเล่าเรื่องของตัวเองเพียงแค่นั้น แม้แต่ศัตรูที่เรายิงตายไปก็ไม่ได้รู้สึกถึงความมีมิติใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นเกมที่เราเล่นจบแล้วก็จบกันไป ไม่ได้มีอะไรน่านึกถึงแม้แต่น้อย

การยิงคือจุดดีเพียงอย่างเดียว

แต่ถ้าให้ว่ากันตามตรง Gameplay ของ Rage ภาคแรกนั้นจัดว่าเข้มข้นเอาเรื่อง ไม่ว่าจะด้วยการยิงที่ได้ความรู้สึกอันยอดเยี่ยมที่ไม่ค่อยมีเกมไหนทำมาก่อน อาวุธที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้ดีและมีหลายโหมดการยิง ส่วนเหล่าศัตรูก็มีรูปแบบการโจมตีและจำนวนที่เอาไว้ให้ยิงอย่างท้าทายและสะใจ

ซึ่งก็ตอกย้ำสิ่งที่ผู้เขียนว่าไว้ก็คือ ตัวเกมนั้นเหมือนกับถูกสร้างขึ้นมาโดยยึดเอาระบบการเล่นที่เน้นยิงเข้าว่าเอาไว้ขึ้นมาก่อน แล้วใส่องค์ประกอบอื่น ๆ อย่างเนื้อเรื่อง งานประกอบศิลป์ และเหตุผลที่พอจะฟังขึ้นให้ผู้เล่นได้ออกไปจับปืนยิงพวกศัตรูในเกมให้ด้าวดิ้นจนหมด

และเชื่อเถอะว่าในเกมนี้นั้นมันเป็นแบบนี้จริง ๆ และถ้าใครไม่ชอบเล่นเกม FPS แบบเข้มข้นที่ยิงกันแบบหูดับตับไหม้ก็น่าจะไม่ชอบเกมนี้ไปเลย เพราะมันแทบไม่มีอะไรนอกจากการยิง ขับรถไปที่นู้น แล้วยิงต่อ กลับมารับงาน แล้วไปยิงต่อ วนเวียนแบบนี้เรื่อย ๆ จนจบเกม

จบแบบค้างคา แต่ไม่น่าจดจำ

สิ่งสุดท้ายที่ตัวองผู้เขียนนึกออกหลังเล่นภาคแรกจนจบก็คือการที่ตัวเกมมีฉากจบที่เหมือนกับตัดจบไปเสียเฉย ๆ เหมือนกับว่านึกอะไรไม่ออกแล้วว่าจะหาเหตุอะไรให้ผู้เล่นออกไปยิงอีกดี แล้วก็ตัดจบแบบทิ้งเชื้อให้มีภาคสองไปแบบงง ๆ แถมด้วยฉากสุดท้ายที่ไม่น่าจดจำแม้แต่น้อย และปืนสุดเทพอย่าง BFG ที่มีให้ใช้น้อยโคตร ๆ กลายเป็นความจืดชืดในตอนจบ ที่เหมือนกับความราบเรียบที่เข้ามาอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งเกม แล้วโดนตัดจบไปแบบหน้าตาเฉยอย่างไรอย่างงั้น

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า Rage 2 นั้นก็ดูจะมีภาษีและศักยภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิม ด้วย Gameplay ที่พัฒนาขึ้นมาตามยุคสมัย และระบบการเล่นแบบเปิดที่เข้าท่าเข้าทางมากกว่าภาคแรก รวมไปถึงเนื้อเรื่องที่ดูจะมีเนื้อมีหนังมากกว่าเก่า ซึ่งก็ได้ทีมงานผู้สร้าง Mad Max มาเติมเต็มให้ตัวเกมมีความสมบรูณ์มากขึ้น จนกลายเป็นเกมที่พอจะมีความน่าสนใจและศักยภาพมากขึ้นกว่าเดิมและเป็นเกมที่ดีได้ในอนาคต

สุดท้ายนี้แม้ Rage จะเป็นซีรีส์ที่ได้มีภาคต่อออกมาแบบงง ๆ โดยที่หลายคนอาจจะไม่ได้เรียกร้องเลยด้วยซ้ำ แต่มันก็เหมือนกับเป็นเกมที่สร้างมาเพื่อให้ทีมงาน id Software ได้ปลดปล่อยความอยากของพวกเขาออกมา เรียกว่าเป็นเกมที่อาจจะไม่ได้ดีเด่นนัก แต่ก็เต็มไปด้วยความกระหายและอยากที่จะทำออกมาสนองตัณหาของตน และเราก็สัมผัสได้ผ่านการเล่นว่าทางทีมงานมีความอยากในการทำเกมเดินหน้ายิงที่บ้าคลั่งขนาดนี้มากขนาดไหน

แต่บางครั้งความอยากและพยายามอย่างเต็มที่ก็ไม่ได้มีผลทำให้คนอื่นหรือสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ดีที่สุดได้ เหมือนอย่างที่ Rage เป็นในภาคแรกนั่นเองครับ

Putinart Wongprajan

เค้ก - Content Writer

Back to top