ซีรีส์ Call of Duty: Modern Warfare เป็นหนึ่งเกมใน FPS ที่มีเนื้อเรื่องตราตรึงใจ ลุ้นระทึก และแน่นอนว่าเกมได้ฝากโมเมนต์ดี ๆ มากมายที่ทำให้เกมเมอร์หลายท่านต้องน้ำตาคลอเบ้า ดั่งกับการรับชมภาพยนตร์ Action-Drama น้ำดีเรื่องหนึ่ง
แล้วโมเมนต์อะไรบ้างที่น่าจดจำและมีความสำคัญต่อเนื้อหาหลัก เราจะมาย้อนเหตุการณ์สำคัญของ Call of Duty: Modern Warfare ทุกภาคกันครับ
ต้นกำเนิดของ Modern Warfare
จุดเริ่มต้นของเนื้อเรื่อง Modern Warfare ทั้งหมด เริ่มต้นจาก Imran Zakhaev นักค้าอาวุธเถื่อนรายใหญ่ มีมุมมองว่าประเทศรัสเซีย เปรียบเสมือนเป็นขี้ข้าของฝั่งตะวันตกที่พรากทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่มหาอำนาจ, วัฒนธรรม, เกียรติยศ และเศรษฐกิจ
เขาจึงทำการลักลอบค้าขายแท่งเชื้อเพลิงยูเรเนียมที่เก็บจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เก่า Chernobyl ผ่านตลาดมืด แล้วนำงบประมาณไปสร้างกองทัพของตนเอง
ช่วงปี 1996 ทางรัฐบาลอังกฤษ เริ่มไม่นิ่งนอนใจกับ Zakhaev มีการเคลื่อนไหวอาชญากรรมรวดเร็วผิดปกติ ฝ่ายรัฐบาลอังกฤษจึงมอบหมายภารกิจให้ส่งตัวกัปตัน MacMillan กับร้อยโท John Price ทหารหน่วย SAS ไปที่ Pripyat ประเทศยูเครน เพื่อลอบสังหาร Zakhaev ระหว่างการค้าขายอาวุธ และพวกเขาสามารถทำภารกิจสำเร็จลุล่วงแบบหวุดหวิด
แต่เมื่อเวลาผ่านไป 11 ปี ปรากฏว่า Zakhaev ยังไม่ตาย รวมถึงกลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของกลุ่มนักการเมืองอนุรักษนิยมขวาจัดของประเทศรัสเซีย เขาจึงเริ่มแผนการ “กวาดล้างอำนาจตะวันตก” ด้วยการก่อตั้งกลุ่ม The Four Horsemen โดยสมาชิกประกอบด้วย Imran Zakhaev, Vladimir Makarov, Khaled Al-Asad, Victor Zakhaev โดยจุดประสงค์คือ ต้องการให้ประเทศกลับมาเป็นมหาอำนาจระดับโลก และแย่งชิงของอำนาจสหรัฐฯ เป็นของตน
หลังจาก Zakhaev ขึ้นมีอำนาจ ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองรัสเซียครั้งที่สอง ซึ่งเป็นการปะทะระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรที่ภักดีต่อรัฐบาลรัสเซีย และกองทัพ Ultranationalists ติดอาวุธหัวรุนแรง นำโดยกลุ่ม The Four Horsemen
เปิดตัว SAS หน่วยรบพิเศษอังกฤษที่เก่งกาจที่สุด
ก่อนที่จะเริ่มเกมหลัก มีทหารหน้าใหม่ไฟแรงนายหนึ่งมีชื่อแปลกว่า John “Soap” MacTavish หรือเรียกชื่อสั้น ๆ ว่าสบู่ ซึ่งแน่นอนว่าชื่อนั้นสร้างความสบประมาทแก่กัปตัน Price กับ Gaz ด้วยวลีเด็ดอันโด่งดังว่า “คนบ้าอะไรชื่อว่า Soap? ” แต่หลังจากการฝึกฝนภาคสนามหลายครั้ง ทำให้เขาบรรจุเป็นหนึ่งในทีมของ Price เพื่อทำภารกิจขโมยข้อมูลการลักลอบขนขีปนาวุธที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฝ่าย Ultranationalists และพวกเขาทำมิชชั่นได้สำเร็จลุล่วง
ระเบิดปรมาณูพรากชีวิต USMC มากกว่า 30,000 นาย
ประเทศหนึ่งของฝั่งตะวันออกกลาง – Khaled Al-Asad หนึ่งในหัวหน้า The Four Horsemen เริ่มก่อรัฐประหาร และประหารประธานาธิบดี Al-Fulani ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนฝั่งตะวันตก พร้อมประกาศเป็นปริปักษ์กับสหรัฐฯ เพื่อนำพาประเทศกลับคืนสู่มหาอำนาจอีกครั้ง
การรัฐประหารโดยฝีมือ Al-Asad ทำให้ฝั่งประเทศตะวันออกกลางต้องสั่นคลอนและเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทางรัฐบาลสหรัฐฯ จึงส่งทหารหน่วย USMC เพื่อออกล่าจับตัว Al-Asad โดยทันที
ทว่าทั้งหมดเป็นกับดักของ The Four Horsemen – หน่วยทหาร USMC ไม่พบวี่แววของ Al-Asad แต่พบระเบิดนิวเคลียร์ของฝั่งรัสเซีย และปะทุขึ้นโดยฝีมือของ Al-Asad (สั่งการโดย Makarov) จนเป็นเหตุให้หน่วยทหาร USMC มีผู้เสียชีวิตทั้งหมดมากกว่า 30,000 ราย รวมถึงกลายเป็นปมฝังใจแก่นายพล Shepherd อีกด้วย
จุดจบของ Zakhaev
หลังจากหน่วย SAS สามารถสอบสวนจนพบแหล่งกบด่านของ Al-Asad (พร้อมสังหารทิ้ง) จึงรับรู้ว่าเหตุการณ์ปะทุระเบิดนิวเคลียร์ในฝั่งตะวันออกกลาง มีผู้เบื้องหลังโดยฝีมือของ Zakhaev
หน่วยทหาร USMC กับ SAS จึงจับมือร่วมมือกันเพื่อจับเป็น Viktor Zakhaev แล้วคลายความลับทั้งหมดของแผนการ รวมถึงที่อยู่ของ Zakhaev แต่ Viktor กลับชิงฆ่าตัวตายซะก่อน
Zakhaev รู้สึกโกรธแค้นมาก เขาจึงสั่งยิงขีปนาวุธทั้งหมดโดยพุ่งใส่เป้าหมายที่ประเทศอังกฤษกับสหรัฐฯ หลายแห่ง แต่โชคดีที่หน่วย SAS x USMC สามารถยับยั้งทันเวลาก่อนที่จะสายเกินแก้
ทว่าระหว่าง SAS x USMC พยายามหลบหนีจากฝ่ายข้าศึก แต่พวกเขาถูกกลุ่ม Ultranationalists ไล่ต้อนจนมุม จนเป็นเหตุให้ Griggs ถูกสังหารหลังจากช่วย Soap และ Zakhaev ออกมาปรากฏตัวต่อหน้าหน่วย SAS x USMC เพื่อหวังล้างแค้นให้ลูกชาย พร้อมสังหาร Gaz ทิ้งอย่างเลือดเย็น
ก่อนที่ Zakhaev จะสังหาร Price, Soap แต่แล้วก็มีกองทัพรัฐบาลรัสเซียเข้ามาช่วยเหลือทันพอดี ระหว่าง Zakhaev กำลังต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาล กัปตัน Price ใช้แรงเฮือกสุดท้าย ส่งปืนพกประจำตัวให้แก่ Soap และสามารถปลิดชีพ Zakhaev ได้สำเร็จ
(อัปเดต) Operation Kingfish
ก่อนเหตุการณ์ No Russian หลังจาก Soap กับ Price รักษาตัวสำเร็จ นายพล Shepherd ได้ก่อตั้งกลุ่มหน่วยรบพิเศษ Task Force 141 ที่จัดขึ้นเพื่อจับเป็นหรือตาย Vladimir Makarov สมาชิกคนสุดท้ายของ The Four Horsemen
Task Force 141 จับมือกับ Delta Force และถือกำเนิดปฏิบัติการ Kingfish เพื่อหาเบาะแสที่อยู่และจับกุม Makarov ทว่าเมื่อไปถึงเป้าหมาย พบว่าแผนการของ Makarov ได้เริ่มหมายหัวสมาชิกของ Price ทั้งหมด เพื่อหวังล้างแค้นให้ Zakhaev แต่ไม่ทันใด ก็พบว่ามีกับดักระเบิด C4 ติดตั้งไว้อยู่ ทุกคนสามารถรอดจากการโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว แต่หลักฐานทั้งหมดถูกทำลายสิ้น และเหล่า Inner Circle เริ่มบุกเข้าหาทีม Price เป็นจำนวนมาก
ถึงแม้ Soap บาดเจ็บจากแรงระเบิดและทีม Price ทุกคนสามารถไปถึงจุดอพยพเฮลิคอปเตอร์สำเร็จ แต่ยกเว้น Price ที่ยอมสละตัวเอง เพื่อคุ้มกันให้เพื่อนร่วมหลบหนีอย่างปลอดภัย โดยปล่อย Price ต่อสู้อยู่คนเดียวจนตัวตาย ถึงจุดนี้ทำให้หลายคนคิดว่า Price เสียชีวิตในหน้าที่ (K.I.A.) หรือหายสาบสูญระหว่างรบ (M.I.A.)
No Russian จุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งใหม่
แม้การตายของ Zakhaev ทำให้อำนาจของ Ultranationalists สั่นคลอน แต่เนื่องจากความสามารถของผู้นำสมาชิก The Four Horsemen คนที่เหลือ Vladimir Makarov สามารถทำให้ฝ่าย Ultranationalists เป็นผู้ชนะสงคราม และมีการสร้างรูปปั้น Zakhaev กับตั้งชื่อสนามบิน เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาในฐานะ “ฮีโร่แห่งรัสเซียยุคใหม่” พร้อมแต่งตั้งให้ Boris Vorshevsky เป็นประธานาธิบดีรัสเซียคนต่อไป
แต่ดูเหมือนว่า “ยุคสมัยใหม่แห่งรัสเซีย” ไม่เป็นไปตามฝันซะเท่าไหร่นัก Boris สั่งปลดประจำการ Makarov ออกจากรัฐบาล เพราะเชื่อว่าเขามีความคิดหัวรุนแรงเกินไป ซึ่งอาจนำพาประเทศกลับสู่ยุคแห่งความรุนแรงและน่าหวาดกลัวจากสงครามกลางเมืองอีกครั้ง
การตัดสินใจของ Boris ทำให้ Makarov รู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก จึงสัญญาว่าจะทำลายรัฐบาลให้สิ้นซาก พร้อมฟื้นฟูอำนาจของประเทศรัสเซียให้กลับมายิ่งใหญ่กว่าที่เคย ไม่ว่าวิธีใดก็ตาม
Makarov เริ่มวางแผนก่อการร้ายครั้งใหญ่ในประเทศรัสเซียแบบอย่างต่อเนื่อง หลังเหตุการณ์ OP Kingfish – Makarov กับพรรคพวกทำการก่อวินาศกรรม กราดยิงสนามบิน Zakhaev International Airport เพื่อโยนความผิดให้ฝ่ายสหรัฐฯ โดยใช้ศพของ Joseph Allen (ใช้ชื่อปลอมว่า Alexei Borodin) ซึ่งเป็น Spy ของ Task Force 141 ที่ Makarov รู้ตั้งแต่แรกแล้ว เป็นเครื่องมือช่วยให้แผนการป้ายสีสำเร็จสมบูรณ์
เหตุการณ์โศกนาฏกรรมของ Zakhaev International Airport ทำให้ประธานาธิบดี Boris Vorshevsky รู้สึกโกรธแค้นฝ่ายสหรัฐฯ อย่างมาก จนส่งทหารกำลังพลทั้งหมดบุกเข้าประเทศสหรัฐฯ แบบเต็มอัตราศึกโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เป็นการจุดชนวนของสงครามโลกครั้งที่สาม โดยไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังทั้งหมดเป็นฝีมือของกลุ่ม Inner Circle
การกลับมาของ Price และการทรยศที่คาดไม่ถึง
หน่วย Task Force 141 สืบหาเบาะแสที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Makarov ทั้งหมด ตั้งแต่ล่าตัว Alejandro Rojas ในประเทศบราซิลจนพบว่า นักโทษหมายเลข #627 ซึ่งถูกขังที่คุกรัสเซีย Gulag ซึ่งสามารถช่วยไปถึงตัว Makarov แต่ปรากฏว่านักโทษคนนั้น ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเหนือจากกัปตัน Price ที่คาดควรตายไปแล้วจาก Operation Kingfish
หลังจาก Price ถูกช่วยเหลือจาก Gulag เขาจึงเริ่มปฏิบัติการหยุดยั้งสงครามกับสหรัฐฯ โดยไม่สนใจคำเตือนของนายพล Shepherd ทีมงาน TF 141 จึงมุ่งหน้าที่ฐานทัพเรือ Rybachiy แต่ทว่าแผนของ Price คือการยิงขีปนาวุธใส่ International Space Station เพื่อให้ประเทศสหรัฐฯ เกิดปรากฏการณ์ไฟฟ้าดับทั่วภูมิภาค EMP (Electro Magnetic Pulse) ซึ่งสร้างสับสนทั้งฝ่ายรัสเซียกับสหรัฐฯ
แต่ผลการระเบิด EMP ทำให้ Rangers ได้เปรียบขึ้นเล็กน้อย เพราะยานพาหนะรบของรัสเซียไม่สามารถใช้งานต่อได้ จึงเป็นโอกาสดีที่ช่วยให้สหรัฐฯ จะโต้กลับอีกครั้ง จนควบคุมสถานการณ์และป้องกันการรุกรานของ Washington D.C. สำเร็จ
หลังฝ่ายสหรัฐฯ กอบกู้ Washington D.C. สำเร็จ ฝั่ง TF 141 สืบพบว่ามีความเป็นไปได้ที่ Makarov อาจกบด่านอยู่สถานที่ใดที่หนึ่งระหว่าง Safe House ส่วนตัว หรือ โรงสุสานเครื่องบินในประเทศอัฟกานิสถาน โดยฝ่ายทีมบุก Safe House – Ghost, Roach พบข้อมูลสำคัญจาก ACS module ที่สามารถเปิดโปงความจริงของเหตุการณ์กราดยิงที่สนามบิน Zakhaev
แต่เมื่อไปถึงจุดนัดรวมพล นายพล Shepherd กลับทรยศพวกเขาด้วยการสังหาร Ghost, Roach ทิ้ง พร้อมขโมย ACS module เพื่อไม่ให้ความลับ ซึ่งเป็นข้อมูลถูกเปิดโปงว่า Shepherd อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก่อการร้าย และยืดเวลาสงครามระหว่างสหรัฐฯ – รัสเซียต่อไป เพื่อล้างแค้นให้ทหารของตน พร้อมสถาปนาตัวเองเป็น “วีรบุรุษสงคราม”
The Enemy of my Enemy
Soap / Price ทราบว่าแผนร้ายของนายพล Shepherd คือต้องการกำจัด Task Force 141 และกลุ่ม Inner Circle ในเวลาเดียวกัน รวมถึงโยนความผิดให้หน่วย Task Force 141 จนกลายเป็นอาชญากรรมระดับโลก ทำให้กัปตัน Price จึงติดต่อ Makarov เป็นการส่วนตัว แล้วขอพิกัดสถานที่ Shepherd เพื่อดำเนินการภารกิจฆ่าตัวตาย “กำจัด Shepherd”
หลังจาก Soap และ Price ฝ่าดงกลุ่มทหารรับจ้าง Shadow Company จนไล่ต้อนนายพล Shepherd จนมุม แต่ทว่าสภาพร่างกายระหว่าง Soap กับ Shepherd ยังคงห่างชั้นกันหลายขุม เขาจึงใช้มีดเสียบเข้าที่หน้าท้อง Soap จนรับบาดเจ็บสาหัส
Shepherd เผยแรงจูงใจออกมาว่า เขาสูญเสียทหารมากกว่า 30,000 ชีวิต จากเหตุการณ์ขีปนาวุธที่ประเทศตะวันออกกลาง ทำให้เขารู้สึกกระหายสงคราม แต่ก่อนที่เขาจะปลิดชีพ Soap สำเร็จ กัปตัน Price สามารถเข้ามาขัดขวางได้ทันพอเวลา แล้วปะทะซึ่งกันและกัน
ทว่าร่างกายของ Shepherd แทบไร้อาการบาดเจ็บ ทำให้กัปตัน Price ไม่สามารถต่อกรกับเขาได้ ระหว่างที่ Shepherd กำลังทำร้ายกัปตัน Price จนเกือบปางตาย Soap ฉวยโอกาสด้วยการดึงมีด แล้วปามีดเข้าใส่ที่หน้าของ Shepherd ทำให้เขาเสียชีวิตทันที
กัปตัน Price สามารถลุกขึ้นมาช่วยเหลือ Soap จากอาการบาดเจ็บสาหัส พร้อมขึ้นเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ของ Nikolai เพื่อนำตัวไปรักษาและตั้งหลักอีกครั้งหนึ่ง
แย่งชิง Boris ท่ามกลางสายลม
แม้ว่านายพล Shepherd ถูกสังหาร แต่สงครามโลกครั้งที่สามยังปะทุรุนแรงต่อเนื่อง ฝ่ายประธานาธิบดีรัสเซีย Boris Vorshevsky จึงเริ่มไตร่ตรองหาทางเจรจาขอสันติภาพหรือหยุดสงครามกับสหรัฐฯ เพราะเชื่อว่าสามารถสร้างพันธมิตรใหม่ และรับผลประโยชน์ในระยะยาว
แต่ระหว่างการเดินทางยังประเทศเยอรมนี เครื่องบินส่วนตัวของ Boris ถูกโจมตีโดยกลุ่ม Inner Circle จนทำให้เครื่องบินเสียการทรงตัว และเครื่องบินตกชนบนลานบินแถบยุโรปฝั่งตะวันออก
แม้หน่วย FSO สามารถช่วยเหลือ Boris กับลูกสาว แต่สุดท้าย Makarov สามารถแย่งชิงประธานาธิบดีได้สำเร็จ พร้อมบังคับให้มอบรหัสยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ แต่เขาปฏิเสธอย่างเด็ดขาด Makarov จึงตามล่าหาตัวลูกสาวของ Boris ต่อไป และการเจรจาสงบสุขไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้
Yuri เผยตัวตนที่แท้จริง
สงครามทวีความรุนแรงจนลุกลามไปทั่วยุโรป และเริ่มมีการใช้อาวุธเคมี หลังจาก Soap ฟื้นฟูจากบาดแผลแล้ว และได้ Yuri มาเป็นพรรคพวก การไล่ล่า Makarov แบบพลิกแผ่นดินจึงต้องรีบจบโดยเร็ว ก่อนที่สงครามจะสร้างความเสียหายมากกว่านี้
ด้วยความร่วมมือของ Kamarov (ทหารที่เคยช่วยเหลือทีม SAS จาก Zakhaev) กับ Price จึงสามารถตามสืบหาตามตัว Makarov อีกครั้ง ว่าล่าสุดอยู่ที่สาธารณรัฐเช็ก และพร้อมปลิดชีพลอบสังหาร
แต่แผนกลับโป๊ะแตกขึ้น เมื่อ Makarov สามารถจับตัว Kamarov จนรู้ว่า Soap กับ Yuri แอบซุ่มยิงจากตำแหน่งไหน และเป็นกับดักระเบิดจนเป็นเหตุให้ Soap บาดเจ็บสาหัส
นอกจากการลอบสังหาร Makarov ไม่เป็นไปตามแผนแล้ว กัปตัน Price ได้สูญเสียคู่หูเพื่อนรักอย่าง Soap McTavish เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหวจากการปกป้อง Yuri ที่ “Makarov รู้จักเป็นอย่างดี”
การสูญเสียของ Soap ทำให้ Price แค้น Makarov ยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า รวมถึงตั้งคำถามว่า Yuri เป็นฝ่ายศัตรูหรือมิตรกันแน่ ? เขาจึงเฉลยว่า Yuri กับ Makarov เคยเป็นอดีตเคยทหารเพื่อนร่วมรบของฝ่าย Ultranationalists และต่อสู้เคียงข้าง Zakhaev มาก่อน
แต่หลังจากเหตุการณ์ระเบิดปรมาณูโดยมี Makarov เป็นผู้สั่งการอยู่เบื้องหลัง ทำให้วิสัยทัศน์ของ Yuri เปลี่ยนไปและเริ่มไม่เห็นด้วยกับวิธีการของ Ultranationalists ซึ่งก่อนเหตุการณ์ No Russian – Makarov ตัดสินใจฆ่า Yuri ทิ้ง หลังพยายามปล่อยแผนรั่วไหล เพื่อขัดขวางโศกนาฏกรรมครั้งนี้
ด้วยความโชคดีที่ Yuri ยังมีลมหายใจ และแม้พยายามจะหยุดโศกนาฏกรรม แต่ด้วยพิษของบาดแผล ทำให้เขาไม่สามารถทำได้สำเร็จ หลังจากการรักษาตัว นับตรงนั้นมา Yuri ตัดสินใจเป็นปรปักษ์และแค้น Makarov มากกว่าใครคนอื่น
Dubai คือทางเดินสายสุดท้าย
ภารกิจการเสียสละของหน่วยทหาร Delta Force เพื่อช่วยเหลือประธานาธิบดี Boris กับลูกสาวจนรอดปลอดภัย ทำให้สงครามโลกครั้งที่สามจบลงโดยทันที ผลจากการเจรจาสงบศึก แต่สงครามระหว่าง Price และ Makarov ยังคงมีเรื่องสะสางกันอีกมากมาย
หลังจาก Price กับ Yuri สืบรู้ว่า Makarov แอบกบด่านอยู่ที่ตึก Burj Al Arab ประเทศดูไบ โดยมีการรักษาความปลอดภัยอย่างหนาแน่น เพื่อเป็นการปิดศึก ทั้งคู่จัดอาวุธแบบเต็มอัตราศึกด้วยการสวมเกราะ Juggernaut พร้อมปืนกลหนัก บุกถึงสถานที่โดยทันที
เมื่อ Price กับ Yuri เข้าถึงตัว Makarov จนทำให้เฮลิคอปเตอร์โดยสารตกลงมา ทำให้ทั้งสามคนบาดเจ็บ ก่อนที่ Makarov จะเหนี่ยวไกปืนใส่ Price – Yuri เข้ามาขัดขวางได้ทัน แต่ก็พลาดท่าเป็นเหตุให้ Yuri เสียชีวิตในเวลาต่อมาด้วยฝีมือของ Makarov
Price ฉวยโอกาสครั้งนั้น สังหาร Makarov ด้วยการใช้เชือกในการแขวนคอ The Four Horsemen คนสุดท้ายถูกสังหาร, สงครามโลกครั้งที่สามจบลง, ประธานาธิบดี Boris ไม่ต้องการสงครามอีกต่อไป Price เฉลิมฉลองชัยชนะด้วยการสูบซิการ์มองดูศพของ Makarov ในสภาพที่น่าอนาถอย่างสงบ
เนื้อเรื่อง Call of Duty: Modern Warfare จบบริบูรณ์เพียงเท่านี้