เรียกว่าเป็นงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่แหวกแนวและไม่เหมือนใครจริง ๆ สำหรับ Google ที่จัดงานประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของตนแบบรัว ๆ เมื่อคืนที่ผ่านมานอกเหนือไปจากโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ Pixel 4 ตามที่มีข้อมูลหลุดออกมามากมาย วันนี้เราจะมาสรุปกันอีกครั้งว่าในคืนที่ผ่านมานั้น Google ได้เปิดตัวอะไรไปในงานนี้และมีความน่าสนใจอย่างไรบ้างครับ
Google Stadia
https://www.youtube.com/watch?v=Pwb6d2wK3Qw
ในที่สุดก็เปิดเผยวันที่เปิดให้บงริการกันเสียทีสำหรับ Google Stadia ที่เหล่าเกมเมอร์รอคอย ซึ่งวันเปิดให้บริการวันแรกสำหรับผู้ที่สมัคร Founder Edition ก็คือ 19 พฤศจิกายนนี้ โดยมีราคาค่าบริการรายเดือนอยู่ที่ $9.99 หรือ 320 บาท และต้องซื้อเกมแยกต่างหาก(แต่มีเกมเล่นฟรีให้บริการอยู่ด้วย เช่น Destiny 2 ) ส่วนใครที่รออยากเล่นเกมอย่างเดียวแบบไม่ต้องจ่ายค่าบริการเพิ่ม ก็คงต้องรอไปจนถึงปี 2020 ซึ่งผู้เล่นแบบฟรีจะสามารถเล่นเกมได้ในความละเอียดที่ 1080p เท่านั้น ส่วนผู้ที่จ่ายค่าบริการรายเดือนจะได้เล่นกันที่ความละเอียดสูงสุด 4K 60FPS และจะเปิดให้บริการในบางประเทศก่อนเท่านั้น
Pixel Buds
https://www.youtube.com/watch?v=2MmAbDJK8YY
อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีข่าวหลุดลือออกมาบ้างในช่วงที่ผ่านมา กับหูฟังไร้สายตัวใหม่จาก Google ที่ถูกเคลมว่าเป็นหูฟังแบบ True Wireless ที่แท้จริง แม้รูปทรงจะดูโค้งมนจนเกรงว่าจะหลุดออกมาจากหูได้ แต่พวกเขาก็ยืนยันว่าไม่หลุดเลื่อนง่าย ๆ แน่นอน มาพร้อมกับฟังก์ชั่นที่น่าสนใจในด้านการจัดการเสียงให้เข้ากับสภาพแวดล้อมรอบตัวของผู้ใช้งานแบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรอยู่ก็ตาม เช่นการปรับระดับเสียงในระหว่างที่มีเสียงแทรกเข้ามา เสียงแจ้งเตือนการโทรเข้า(กดรับสายได้จากการกดปุ่มตรงตัวหูฟัง)
และที่น่าสนใจมากก็คือการแปลภาษาแบบ Real-time Translation ที่น่าจะช่วยให้ชีวิตในต่างแดนสะดวกสบายมากขึ้น และยังทำงานร่วมกับ Google Assistant ได้อย่างดี ช่วยให้สื่อสารหรือเชื่อมต่อกับสิ่งรอบตัวได้ดีขึ้นไปด้วย
Pixel Buds ยังมีระบบ Accelerometer สำหรับตรวจจับการสั่นสะเทือนของขากรรไกร ที่จะทำงานร่วมกับไมโครโฟนอีกสองตัวคอยจับเสียงพูดพร้อมกับตัดเสียงไปด้วย และสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 5 ชั่วโมง พร้อมรองรับการชาร์จแบบไร้สายได้อีก
ส่วนราคานั้นอยู่ที่ประมาณ $179 หรือประมาณ 5,800 บาทไทย และจะวางจำหน่ายภายในปี 2020 ช่วงฤดูใบไม้ผลิ
Nest Wifi
https://www.youtube.com/watch?v=WsdUJ9sM78k
หากรูปทรงของตัวขยายสัญญาณ Wifi ที่คุณรู้จักไม่สวยงามหรือใช้งานยากเกินไป Google Nest จะเข้ามาอุดช่องโหว่นี้ให้ ด้วยรูปทรงเรียบง่ายสวยงาม และทาง Google ก็ยืนยันว่าจะช่วยให้การส่งสัญญาณ Wifi แรงขึ้นกว่าเดิม 25% และไม้เด็ดก็คือการเชื่อมต่อกับ Google Assistant จนสามารถกลายร่างเป็น Google Home ขนาดย่อม ๆ ช่วยจัดการระบบ Wifi ในบ้านได้อย่างสะดวกสบายทันที มีวางขายทั้งหมดสามสีในราคา $269 หรือประมาณ 8,800 บาท โดยมีตัวส่งสัญญาณหลักและจุดขยายสัญญาณติดมาให้ด้วย
Pixelbook Go
อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีข่าวหลุดออกมามากมายไม่แพ้ Pixel Phone 4 ในช่วงที่ผ่านมา กับ Chromebook ตัวใหม่ที่แม้จะมีการออกแบบที่โดดเด่นน้อยกว่าเดิมจนคล้ายกับ MacBook Pro แต่ด้วยน้ำหนักที่เบากว่าเดิมไม่ถึง 1 กิโลกรัม และบางเฉียบเพียง 13 มิลลิเมตรก็ทำให้มันดูน่าสนใจมากขึ้น
Pixelbook Go มีหน้าจอแบบ Touchscreen ขนาด 13.3 นิ้วที่ความละเอียด 4K หรือ 1080p ได้ ส่วนสเปกคเรื่องนั้นก็ตรงกับที่หลุดมาคือ CPU Core i5 และ i7 จาก Intel ที่มาพร้อม Ram 8 และ 16GB และความจุ HDD 64,128 และ 256GB ตามลำดับ ใช้งานได้สูงสุด 12 ชั่วโมง พร้อมกับระบบชาร์จไวมาให้ด้วย(ชาร์จ 20 นาที ใช้งานได้ 2 ชั่วโมง) ส่วนสนนราคานั้นเริ่มต้นที่ $649 หรือประมาณ 21,000 บาทไทย ซึ่งถือว่าถูกกว่า Pixelbook ตัวแรกที่เปิดตัวมาในราคา $999 หรือประมาณ 32,000 บาทอย่างมาก
Nest Mini
นอกจากจะเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ในการขยายสัญญาณ Wifi แล้ว ยังมีของอีกอย่างหนึ่งในชื่อ Nest อีกตัวอย่าง Nest Mini เปิดตัวในงานนี้ด้วย ซึ่งเจ้า Nest Mini นี้คือลำโพงขนาดเล็กที่ปรับปรุงมาจาก Google Home Mini ตัวเก่าที่ดีไซน์เหมือนเดิม มีเนื้อเสียงและเบสที่ดียิ่งกว่าเก่าและเพิ่มไมโครโฟนในเครื่องเข้าไปเป็นสามตัว ช่วยให้การสั่งการด้วยเสียงทำได้ง่ายดายมากขึ้น
นอกจากเสียงและระบบไมโครโฟนจะทำได้ดีขึ้นแล้ว ตัวระบบซอฟต์แวร์เองก็ทำงานได้ดีขึ้นเช่นกัน ซึ่ง Nest Mini ฯจะตอบสนองต่อการสั่งการผ่าน Google Assistant ได้เร็วยิ่งขึ้น ด้วยชิปประมวลผลแบบใหม่ที่ใช้ Machine Learning เข้ามาช่วยอย่างลงตัวกว่าเดิม
และที่น่าสนใจคือวัสดุของตัว Nest Mini นี้จะใช้พลาสติกแบบรีไซเคิล 100% มีสีให้เลือก 4 สี และวางขายในวันที่ 22 ตุลาคมนี้ที่ราคา $49หรือประมาณ 1,600 บาท
Google Pixel 4
และแล้วก็มาถึงพระเอกของงานนี้กับ Google Pixel 4 โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ที่หลายคนรอคอย น่าเสียดายที่มีข่าวหลุดออกมากเกินไป และหลายอย่างที่ประกาศในงานนี้ก็ตรงกับที่หลุดมาเสียด้วย แต่กระนั้นในภาพรวมก็ยังคงดูดีอยู่พอตัว
จุดเด่นที่สุดของ Pixel 4 ก็คือระบบ Motion Sense หรือการควบคุมโทรศัพท์ได้ด้วยการโบกมือแทนการจิ้มที่จอ Touch Screen ที่ไม่เคยมีโทรศัพท์รุ่นไหนเคยทำมาก่อน ซึ่งเซ็นเซอร์ตัวนี้ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2015 ในขื่อ Project Soli ซึ่งมันจะตรวจจับการเคลื่อนไหวมือของผู้ใช้ เพื่อใช้ในการรับสาย เปลี่ยนเพลง หรืตั้งนาฬิกาปลุกได้
ซึ่งความฉลาดของเซ็นเซอร์ตัวนี้ก็มากพอที่จะจำแนกได้ว่ามือของผู้ใช้มีการตั้งใจปัดจริง ๆ หรือแค่แกว่างมือผ่านไปเฉย ๆ รวมไปถึงการตรวจจับใบหน้าที่ตรวจสอบอย่างดี และจะเปิดการใช้งานฟังก์ชั่นที่เหมาะสมได้ตามที่ผู้ใช้ต้องการได้อย่างไม่มีสะดุด
ส่วนกล้องและการถ่ายรูปนั้นก็เป็นอีกจุดเด่นหนึ่งที่ Pixel 4 ยังคงทำได้อย่างน่าทึ่ง กับโหมดใหม่ที่เพิ่มเข้ามาดังนี้
- Live HDR+ ที่แสดงผลให้เห็นก่อนถ่าย พร้อมให้ปรับความสว่างและเงาได้ตามต้องการเพื่อให้ได้ภาพที่ตรงใจผู้ถ่ายมากขึ้น
- Learning-base white balancing ระบบปรับภาพให้สมดุลแสงขาวออกมาในโทนที่สมจริงมากยิ่งขึ้นด้วยการใช้ Machine Learning
- Wider Range portrait mode โหมดรองรับการถ่ายภาพแบบ portrait ที่ใช้งานได้หลากหลายมากขึ้นจนสามารถถ่ายวัตถุขนาดใหญ่ให้สวยงามได้แล้ว
- และสุดท้ายคือโหมดถ่ายรูปตอนกลางคืนให้ถ่ายติดดวงดาวบนท้องฟ้าได้แล้ว พร้อมกับใช้งานซอฟต์แวร์ที่แก้ปัญหาในเรื่อง hot pixel ติดมาด้วยแบบอัตโนมัติ
อีกสื่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้คือ Google Assistant ที่ยืดหยุ่นต่อการใช้งานมากขึ้น ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องสั่งด้วยคำสั่ง Hey Google ไปตลอดแล้ว แค่ถามคำถามด้วยคำพูดที่เป็นธรรมชาติก็สามารถสื่อสารกับระบบได้แล้ว พร้อมกับการตอบคำถามที่ยังคงมีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิม
ส่วนที่เหลือก็คือสเปกเครื่องที่ตรงกับที่หลุดออกมาแทบจะทุกประการ ด้วยหน้าจอแบบ QHD+OLED ที่มี Refresh Rate สูงถึง 90Hz ขนาด 5.7นิ้วในรุ่น Pixel 4 และ 6.3 นิ้วสำหรับ Pixel 4 XL CPU Octacore Snapdragon 855 RAM6GB และแบตเตอรี่ขนาด 2,800 mAh ในรุ่น Pixel 4 และ 3,700 mAh ในรุ่น XL เรียกว่าใช้งานได้แบบเหลือ ๆ แน่นอน
ส่วนราคาของ Pixel 4 นั้นอยู่ที่ $799 หรือประมาณ 25,800 บาทไทย และ Pixel 4 XL อยู่ที่ $899 หรือประมาณ 29,000 บาท สามารถสั่งจองได้แล้ววันนี้ โดยมีสีให้เลือกทั้งหมดสามสีคือ ดำ ขาว และสีส้ม
สรุปภาพรวมของงานเปิดตัว
หากพูดถึงความประทับใจ โดยรวมแล้วยังด้อยกว่าของ Apple ในช่วงเดือนที่ผ่านมาอยู่เล็กน้อย เพราะทาง Google เน้นการบรรยายในลักษณะที่กระชับและรวดเร็วกว่ามาก แม้ข้อมูลที่ครบถ้วนจะถูกโพสเอาไว้ในเว็บไซต์ของ Google แล้วก็ตาม แต่การนำเสนอที่กระชับแบบนี้บางทีก็ทำให้มีการละเลยสิ่งที่หลายคนอยากรู้ไปบ้าง เช่นสเปกของผลิตภัณฑ์ใหม่และอื่น ๆ และที่สำคัญคือความรู้สึกอยากได้มาครอบครอง Apple ยังคงกินขาดในเรื่องนี้อยู่พอสมควร แต่อย่างไรก็ตามสำหรับสาวก Android และ Google แล้ว การมีอุปกรณ์ที่ช่วยให้ใช้ชีวิตได้สะดวกขึ้นก็เป็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจเสมอ แต่ก็ต้องมาดูกันต่อไปว่า Google จะสามารถซื้อใจผู้บริโภคให้รู้สึกอยากได้ผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้มากขึ้นได้ขนาดไหนกันต่อไปครับ