ผ่านมาได้สักพักสำหรับการเปิดให้บริการของ MOBA ระดับโลกที่ย่อมาอยู่บนจอมือถืออย่าง League of Legends: Wild Rift สร้างกระแสและดึงดูดความน่าสนใจจากทั้งผู้เล่นหน้าใหม่ และผู้เล่นมือเก๋าที่รอคอยการมาของเกมนี้ไม่น้อย
หลายคนคงจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ในแบบของตน เลือกหยิบเอา Champion ที่น่าสนใจมาลองเล่นกันไปเยอะแล้ว ซึ่งในระหว่างที่ Champion ใหม่ ๆ ยังไม่มีการอัปเดตเข้ามา ก็อาจทำให้เรายังต้องหยิบเลือกตัวเดิมที่คุ้นมือมาเล่นซ้ำไปซ้ำมา เล่นไปนานเข้าก็เกิดความเบื่อหน่ายอยู่บ้าง โดยเฉพาะยิ่งถ้าเล่นกับเพื่อนฝูง ไม่วายจะโดนเพื่อนบ่นว่า “เลือกตัวนี้อีกแล้วเหรอ” อยู่เหมือนกัน
วันนี้เราจะมาแนะนำแนวทางการเล่นแบบแปลก ๆ ที่จะเปลี่ยนให้แต่ละแมตช์ของคุณนั้นไม่เหมือนเดิม เพิ่มสีสันให้กับเกมด้วยการสร้างความประหลาดใจกับทีมตรงข้าม หรือทำให้เพื่อนในทีมได้เอนจอยไปกับเรา ช่วยให้คุณสามารถจะยืนระยะไปกับเกมนี้ได้อีก จนกว่าจะมีการอัปเดตแพทช์ นำ Champion ใหม่ ๆ เข้ามา
สำคัญที่สุด ! คือเราอยากให้ลองแนวทางเหล่านี้กับเพื่อน หรือคนกันเองก่อน เพราะการเล่นครั้งแรกมักเจ็บตัวเสมอ และเวลาหยิบอะไรที่เป็นครั้งแรก ไปเล่นในโหมดจัดอันดับ (Ranked) นั้นเสี่ยงจะทำให้คนในทีมต้องปวดหัวไปตาม ๆ กัน
เรามาเริ่มต้นกันที่
1. เอา Champion สายอื่น มาเล่นเป็นนักเวทย์แทน
ความยากในการเล่น : 2/5
ความสนุก : 5/5
ต้องการ Teamwork : 2/5
น่าจะเป็นความแหวกแนวที่บางคนเคยลองมาแล้ว และมันสนุกอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะความแรงที่ได้คือของจริง สามารถทำให้ศัตรูตกใจเล่น ๆ ได้ในครั้งแรกที่เจอ เมื่อพวกเขาไม่ได้ส่องดูว่าเราออกไอเทมสายอะไรอยู่
โดยปกติ LoL ไม่ว่าจะเป็นตัวเกมดั้งเดิมหรือ Wild Rift นั้น จะแบ่งสายดาเมจออกเป็น 2 แบบ คือ AD (Attack Damage) และ AP (Ability Power) และตัว Champion จะมีสกิลที่มีความแรงขึ้นอยู่กับค่าใดค่าหนึ่ง แต่ว่าในบาง Champion ก็มีการคิดตัวเลขของสกิลมาจากหลายค่ารวมกันอยู่ด้วย อีกทั้งอัตราการคำนวณที่เป็นเปอร์เซ็นต์ก็แตกต่างกันไป (หรือที่เรียกว่า Ratio)
ซึ่ง Champion ต่อไปนี้เป็นตัวอย่าง ที่สามารถใช้ประโยชน์จาก AP Ratio ที่สูงมาก เพื่อเล่นสายเวทย์ได้
Malphite
- เฉิดฉายกับการเป็นนักเวทย์มาก เพราะสกิลอัลติเมทคิดเปอร์เซ็นต์จาก AP สูงถึง 90% (Ratio 0.9) นั่นหมายความว่าถ้าคุณมี AP อยู่ 300 ความรุนแรงจะถูกคิดเพิ่มขึ้นถึง 270 ซึ่งยังไม่นับรวมความเสียหายพื้นฐาน
- หากออกไอเทมเป็นนักเวทย์เต็มตัว การชนหนึ่งครั้งจะเจ็บมาก ในกรณีที่ ‘เกิด’ สุด ๆ บางครั้งก็อาจทำให้ Champion บาง ๆ ปางตายได้เลย
- ถ้าคุณ Setting การล็อคเป้าให้เหมาะสม เราจะแทบไม่ต้องเล็ง พอมั่นใจว่าระยะได้ปุ๊บ ก็กดตูม ! เป็นสิบล้อชนวงแตกได้ทันที
- นอกจากอัลติเมทที่รุนแรงแล้ว สกิลอื่น ๆ ก็เป็นเวทย์ด้วย เรียกว่าสามารถใช้ค่า AP ได้อย่างคุ้มค่า
- ไอเทมที่เราแนะนำให้ออกสำหรับสายนี้คือ Lich Bane เพื่อเพิ่มดาเมจขึ้นอีก 1 Hit สำหรับการ Burst ให้ตาย และไอเทมเร่งพลังเวทย์อื่น ๆ ตามความเหมาะสม โดยเน้นที่การลดคูลดาวน์ (Ability Haste) เพื่อให้ใช้อัลติเมทได้บ่อยที่สุดเป็นหลัก
- การเปลี่ยนสายมาเล่นเป็นเวทย์อาจทำให้ศัตรูถอยหนีได้ แต่อย่าลืมว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ศัตรูประเมินแล้วว่าสู้กลับไหว เราก็จะโดนสวนและตายได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน จากความบางของสายนี้ที่ไม่ได้ออกไอเทมเป็น Tank เหมือนเดิม
Ezreal
- เป็นอีกหนึ่ง Champion ที่ Ratio โกงมาก ๆ ทั้งสกิล Essence Flux (ยิงกระสุนไปติดตัวศัตรู) และ Arcane Shift (วาร์ป) ที่คิดดาเมจเวทย์ถึง 75% และอัลติเมทที่ 90% นั่นทำให้ยอดชาย Carry ประจำ Wild Rift ขณะนี้ ก็สามารถเล่นเป็นนักเวทย์ได้อย่างดุดันเช่นกัน
- สไตล์การเล่นจะเน้นที่การยิง Essence Flux ให้โดนก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อยตามด้วยสกิลอื่น ๆ เข้าไปเพื่อให้สกิลดังกล่าวแตกออกและสร้างความเสียหาย
- ถ้าไอเทมดีพอ รับรองว่าสามารถทำให้เลือดศัตรูหมดหลอดได้โดยยังไม่ต้องใช้อัลติเมทด้วยซ้ำ แต่ก็นับเป็นข้อเสียได้ด้วย เพราะหากเรา Burst ไม่สำเร็จ ก็จะไม่มีดาเมจอะไรเหลือและต้องรอคูลดาวน์เพียงอย่างเดียว จึงควรประเมินดาเมจและบริหารสกิลให้ดีก่อนจะเข้าไฟต์ในแต่ละครั้ง (ใช้ Lich Bane เพื่อช่วยทำดาเมจได้เช่นเดียวกัน)
.
2. ออกไอเทมสำหรับตีป้อมและดันเลนเป็นหลัก
ความยากในการเล่น : 3/5
ความสนุก : 4/5
ต้องการ Teamwork : 4/5
มาถึงแนวทางระทึกใจ ที่จะสนุกได้ยามเล่นกับเพื่อนฝูง คือการเน้นตีป้อมและผละหนีอย่างรวดเร็วไปดันเลนอื่นต่อเมื่อมีศัตรูมาไล่ หรือบางครั้งก็แค่หนีไปชั่วคราว พอสลัดหลุดแล้วค่อยวกกลับมาตีป้อมเดิมเหมือนคนย้ำคิดย้ำทำ ซึ่งความสนุกของสายนี้คือ ยิ่งคุณทำตัวให้ศัตรูรำคาญจนตกเป็นเป้าได้มากเท่าไหร่ ตอนที่เราหนีรอดได้มันก็สะใจขึ้นมากเท่านั้น
วิธีนี้จะใช้ได้ผลกับ Champion ที่มีสกิลเคลียร์ฝูง Minion ไว ๆ หรือเคลื่อนที่ผ่านแมพได้เร็ว (มี Mobility สูง) เพราะเราจะไม่เน้นเข้าไฟต์เลย ดังนั้นเลนที่เหมาะที่สุดสำหรับการเล่นแนวนี้ คือ Baron Lane
คุณจะต้องนัดแนะกับเพื่อนให้ดีว่าตัวเองจะเป็นคนดันป้อม เพื่อให้เพื่อนไม่ต้องพะวงกับการช่วยเหลือเรา และถ้าหากคุณทำได้เฟี้ยวมากพอ จะสร้างปัญหาให้ศัตรูชนิดกุมขมับ ว่าต้องแบ่งกำลังมาจัดการเรา ซึ่งถ้าส่งคนมาน้อยไปก็อาจฆ่าไม่ตาย แต่ถ้าส่งมาเยอะไป ก็จะทำให้มีโอกาสแพ้ทีมไฟต์ที่ส่วนอื่นของแมพมากขึ้น
Champion ที่จะสามารถป่วนป้อมไปทั่ว และหลบลี้เอาตัวรอดออกมาได้ เราแนะนำไว้ดังนี้
Lee Sin
- ความดีงามของ Lee Sin ใน Wild Rift คือคุณสามารถพุ่งตัวได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องปัก Ward ก่อนแล้ว ดังนั้นมันจึงใช้หนีได้ทรงประสิทธิภาพมาก
- สกิล Sonic Wave (ปล่อยพลังแล้วพุ่งตัวไปหาเป้าหมาย) ที่สามารถใช้เพื่อ ‘Juke’ ศัตรูด้วยการปล่อยใส่ Minion รอไว้แล้วหนีไปทางนึง จากนั้นค่อยกดตอนศัตรูไล่เรามาได้
- ขณะที่อัลติเมทนั้น ก็เอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน เพื่อเตะศัตรูให้กระเด็นออกไป แทนการเตะเพื่อเริ่มไฟต์
- ไอเทมที่ออก จะเน้นความเร็วการโจมตี และลดคูลดาวน์ (Ability Haste) เพื่อให้ใช้สกิลพุ่งได้บ่อย ซึ่งอาจเลือกชิ้นหลักเป็น Trinity Force เพื่อเอาดาเมจเสริมมาใช้ทำให้ตีป้อมได้แรงขึ้น
Fizz
- มือสังหารที่มีสกิลเพียบพร้อมสำหรับการหนีมาก !
- สไตล์การเล่นนั้นเข้าใจง่าย คือเปลี่ยน Mindset จากใช้สกิลเพื่อเข้าหาและฆ่าศัตรู เป็นใช้เพื่อหนี
- ทุกสกิลของ Fizz มีประโยชน์กับสายนี้หมด ไม่ว่าจะเป็น Urchin Strike ที่ใช้พุ่งหา Minions / พุ่งสวนหน้าศัตรูที่เข้ามาไล่แล้วหนีต่อได้, Rending Wave สามารถกดหลังการโจมตีปกติ เพื่อตีครั้งต่อไปอย่างรวดเร็ว เร่งสปีดให้การตีป้อมเร็วขึ้นเล็กน้อย, Playful/Trickster ใช้กระโดดหลบผ่านกำแพงได้ และสุดท้ายอัลติเมทเอง ก็ใช้ปล่อยใส่คนที่จะเข้ามาไล่ เพื่อชะลอความเร็วได้เป็นอย่างดี
น่าเสียดายนิดหน่อย ที่ไอเทมอย่าง Guinsoo’s Rageblade ที่เป็นมิตรแท้สายตีเร็ว และ Ravenous Hydra ที่เป็นมิตรแท้สายเคลียร์ Minion นั้น ยังไม่มีใน Wild Rift
เสริมท้ายให้ว่า ถ้าคุณลองเล่นแล้วชื่นชอบ ให้จับตา Shaco ไว้ให้ดี เพราะหากมันได้ถูกอัปเดตมาลงในเกมเมื่อไหร่ ด้วยสกิลเซ็ตที่เพียบพร้อมที่สุด จะทำให้คุณสามารถปั่นศัตรูได้แบบ Non-stop และเป็น Champion ที่เหมาะสำหรับสายดันป้อมนี้มากที่สุดอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว (หากสกิลไม่มีเปลี่ยนแปลงไปมากนัก)
.
3. เลือกใช้ Exhaust กับศัตรูที่แข็งแกร่ง
ความยากในการเล่น : 1/5
ความสนุก : 3/5
ต้องการ Teamwork : 1/5
โดยปกติแล้วแต่ละตำแหน่งก็มักมี Spell ประจำที่จะพกพากันไป เช่น Heal สำหรับ AD Carry หรือ Ignite สำหรับมือสังหาร เป็นต้น ส่วน Exhaust นั้นเรามักจะได้เห็นกับ Support มากกว่า เพื่อช่วยเหลือไฟต์ในยามที่ ADC ของตนตกทุกข์ได้ยาก
แต่สำหรับบางกรณี เช่นการเล่นในโหมดจัดอันดับ เราจะทราบว่าศัตรูฝั่งตรงข้ามนั้นเลือก Champion อะไรก่อนเริ่มเกม ซึ่งหากเราเห็นว่าศัตรูในเลนเดียวกับเรา มีแนวโน้มว่าจะ ‘กด’ ให้เล่นได้ลำบากแล้วล่ะก็ การเลือก Exhaust มาถือเป็นแนวทางที่ดี เพราะเมื่อใช้อัดใส่หน้าศัตรูไปแล้ว ดาเมจที่ตามมาจะน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด และใช้เอาตัวรอดได้ กลับมาตั้งรับเพื่อฟาร์มต่อไป รอโอกาสเอาคืนตอนทีมไฟต์ช่วงท้ายเกม
หรือถ้าหากจะไม่ตั้งรับ ? ก็ใช้มันในการเข้าสู้แบบ 1-1 ได้เหมือนกัน สำหรับคนที่อยู่เลน Baron หรือเลนกลาง การสู้กับมือสังหารจะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นเมื่อเรากด Exhaust ได้ถูกจังหวะ จนสามารถพลิกกลับมาชนะได้
ทั้งนี้แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะพก Exhaust อันเดียวไปเที่ยวทั่วไทยได้แต่อย่างไร หลาย ๆ การเผชิญหน้าก็มี Spell อื่นที่ทรงประสิทธิภาพกว่า เช่นการสู้กับ Tryndamere ที่จะง่ายมากหากเราเอา Ignite ไป และเตรียมกดเผาใส่ตอนที่อัลติเมทของเขากำลังจะหมด เป็นต้น แถมบางโอกาส Exhaust ก็ไม่มีประโยชน์ เช่นการสู้กับ Champion ที่ทำดาเมจได้ต่อเนื่องจากการโจมตีปกติ อย่าง Jax หรือ Vayne เพราะ Champion เหล่านี้ก็ยังคงโจมตีคุณต่อได้ด้วยดาเมจเท่าเดิม หลังจากหมด Exhaust ไปแล้ว
.
4. นักซิ่งในตำนาน
ความยากในการเล่น : 4/5
ความสนุก : 5/5
ต้องการ Teamwork : 4/5
เรากำลังพูดถึงสไตล์การเล่นที่จะทำให้คุณได้สวมวิญญาณความเป็นครอบครัว ที่จะไม่มีวันหันหลังให้กัน ติดสปีดเข้าหาศัตรูแบบไม่มีอะไรมากั้น และเพราะวิ่งไวกว่า จึงทำอะไรได้มากกว่า
โดยผู้เล่นจะหยิบเอา Spell ทีเด็ดอย่าง Ghost มาใช้ร่วมกับไอเทมเพิ่มความเร็วการเคลื่อนที่, ไอเทมรองเท้าแบบกดใช้ และใช้ Mastery เป็น Pathfinder (วิ่งเร็วเมื่ออยู่ในป่า, พุ่ม หรือแม่น้ำ) ซึ่งจะส่งผลให้เมื่อกดทุก ๆ อย่างพร้อมกันแล้ว ความเร็วการเคลื่อนที่ของคุณจะไวขึ้นสุด ๆ แบบเห็นได้ชัด ชนิดที่ว่าไม่ต้องมีสกิลพุ่งใด ๆ ขอแค่วิ่งอย่างเดียวก็เข้าไปเปิดจังหวะไฟต์ได้ หรือจะใช้จับตายดุจจรวดนำวิถี กับ Champion บาง ๆ ของศัตรูก็ได้เช่นเดียวกัน
สำหรับตัวอย่าง Champion ที่เหมาะกับสไตล์นี้ คือ
Blitzcrank
- แน่นอนว่าสกิลพระเอกก็คือ Overdrive ที่จะเร่งความเร็วขึ้นอย่างมากในระยะเวลาหนึ่ง เมื่อรวมเข้ากับไอเทมกดใช้ และ Ghost แล้ว ทำให้คุณสามารถเปิดจังหวะไฟต์ให้เพื่อนได้ทันที และเก็บสกิลอื่นอย่าง Power Fist (ต่อยให้ลอย) หรือทีเด็ดอย่าง Rocket Grab (ดึง) ไว้ใช้ในจังหวะสองได้ เผื่อเป้าหมายหลบด้วยการ Flash
- แน่นอนว่าการออกไอเทมแบบเน้นวิ่ง จะทำให้ Blitzcrank บางกว่าเดิม แต่ก็ยังมีไอเทมที่เวิร์คในสายเดียวกันอยู่ อย่าง Dead Man’s Plate ที่ตอบโจทย์ ส่วนชิ้นอื่น ๆ นั้นคุณอาจจะพิจารณาได้ตามความเหมาะสม ว่าต้องการจะซิ่งขึ้นมากเพียงใด
Lee Sin
- แนวทางการเล่นแทบจะไม่ต่างกันกับ Blitzcrank คือเก็บสกิลที่ปกติจะใช้เข้าหาศัตรูไว้ แล้วเน้นวิ่งเข้าไปแทน
- ถ้าคุณสามารถทำความเร็วได้มาก ก็สามารถที่จะวิ่งอ้อมหลังศัตรูไปเพื่อกดอัลติเมทเตะย้อนกลับมาอย่างสบาย ๆ ขณะที่เก็บเอาสกิลอื่นไว้ใช้ในจังหวะที่ 2 ได้
น่าเสียดายที่ Wild Rift ออกแบบให้ไอเทมกดใช้สามารถมีได้สูงสุดแค่เพียง 1 ชิ้น ทำให้ไม่สามารถกดไอเทมเพิ่มความเร็วติด ๆ กันเพื่อกลายเป็นนักซิ่งตีนผีตัวจริงได้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ขอให้จับตามอง Champion ตัวหนึ่งเอาไว้ก่อน ที่จะสามารถใช้ประโยชน์จากการวิ่งได้อย่างเต็มที่ เร็วกันชนิดวิ่งเลยป้าย เร็วจนเพื่อนตามไม่ทัน และเร็วจนไม่รู้ว่ามาอยู่บนมือถือแล้วคุณจะตาลายไปก่อนไหม
ใช่แล้ว. เรากำลังพูดถึง Hecarim นั่นเอง
.
5. เอา Champion ที่มีสกิลหยุดการเคลื่อนที่ มาเล่นเป็น ADC
ความยากในการเล่น : 3 – 5/5
ความสนุก : 4/5
ต้องการ Teamwork : 3/5
แนวทางนี้มีความยากขึ้นอยู่กับ Champion ที่เลือกเล่นเป็นหลัก ยิ่งผิดแนวไปจากเดิมมาก ก็ยิ่งเสี่ยงจะแป้กมาก และเราไม่แนะนำหากมันเสี่ยงมากจนเกินไป
โดยไอเดียคือคุณสามารถที่จะเป็นทั้งคนทำดาเมจ และช่วยหยุดการเคลื่อนที่ของศัตรูไปด้วยได้ในเวลาเดียวกัน ทำให้ยามขับคันก็หนีเอาตัวรอดได้ ยามต้องการจะ Solo Kill ก็สามารถทำได้สบาย
ไอเทมที่ออกนั้นจะเป็นสาย AD ล้วน เน้นคริติคอลด้วย Infinity Edge รวมกับ 2 ใน 4 ชิ้นหลักที่เลือกไปออกตามความเหมาะสม ประกอบด้วย Statikk Shiv, Rapid Firecannon, Runaan’s Hurricane และ Phantom Dancer
สำหรับ Champion ที่เหมาะกับแนวนี้ คือ
Twisted Fate
- จักรกลคนเล่นไพ่ ที่เดิมทีก็มีความเป็น Hybrid อยู่แล้ว แต่คุณสามารถเปลี่ยนมาเป็นยอด AD Carry ที่มีความเร็วโจมตีระดับทะลุนรกได้เช่นเดียวกัน โดยอาศัยประโยชน์จากการอัปสกิล Stacked Deck เป็นหลัก (กดเพื่อเร่งความเร็วโจมตี)
- Stacked Deck เพิ่มความเร็วโจมตีได้อย่างมหาศาลในระยะเวลาพอสมควร แถมยังได้ดาเมจเพิ่มเติมจากทุก ๆ การโจมตี 4 ครั้ง
- อีกสกิลที่มีประโยชน์คือ Pick a Card (เลือกไพ่) ที่ก็ยังทรงพลังอยู่ เพราะเราอาศัยผลหยุดการเคลื่อนที่อย่าง Slow หรือ Stun ได้
- ข้อเสียของแนวนี้คือสกิล Wild Cards (ปาไพ่เป็น 3 ทิศ) จะแทบหมดประโยชน์ลงทันที เพราะความเสียหายของสกิลนี้จะมาจากค่า AP และสายนี้ไม่ได้เน้นเลยแม้แต่น้อย
Ahri
- ความเวิร์คของการเล่น Ahri สายนี้คือคุณจะมีทั้งสกิลหยุดความเคลื่อนที่อย่าง Charm (ส่งหัวใจ) และ Spirit Rush ที่เป็นไม้ตาย สำหรับพุ่งเข้าหาเพื่อไฟต์หรือพุ่งหนีจากการล้วงก็ยังได้
- ขณะที่อีกสองสกิลที่เหลือ จะมีประโยชน์น้อยลงเรื่อย ๆ จากช่วงต้นเกม ดังนั้นคุณจำเป็นจะต้องตั้งใจฟาร์มในระดับหนึ่ง เพื่อออกไอเทมให้พร้อมสำหรับการระดมโจมตีปกติ
สำหรับแนวทางนี้ อย่าลืมตั้ง Mastery ให้เหมาะกับการเป็น AD Carry ซึ่งอาจจะเน้นไปที่ Fleet Footwork เป็นหลัก เพื่อให้สามารถยืนเลนได้นานขึ้น
.
6. นักฟาร์มผู้รักสงบ
ความยากในการเล่น : 4/5
ความสนุก : 3/5
ต้องการ Teamwork : 5/5
สำหรับแพทช์ปัจจุบันของเกม คงจะเป็น Champion ไหนไปไม่ได้อีกนอกเสียจาก Nasus ผู้ที่สามารถเก่งขึ้นได้ตามกาลเวลา (และความขยัน)
คุณจะเน้นการตั้งรับมากขึ้นกว่าเดิม และไม่เป็นฝ่ายเปิดศัตรูก่อนไม่ว่าจะกรณีใด ให้มุ่งไปที่การใช้ Siphoning Strike (ทุบด้วยขวาน) เพื่อเก็บ Stack ความรุนแรงกับ Minion เท่านั้น
ทั้งนี้เรื่องล็อคเป้าอาจจะยากนิดหนึ่ง เพราะศัตรูบางคนจะรู้ทางและพยายามมาก่อกวนคุณด้วยการเดินมาบัง ๆ ตรง Minion ที่คุณกำลังพยายามจะ Last Shot ซึ่งแก้ได้ด้วยการกดล็อคเป้ากับ Minion ตัวนั้นรอไว้ก่อน แล้วค่อยเดินเข้าไปทุบขวานทีหลัง ไม่อย่างนั้นก็ใช้วิธีกดปุ่มโจมตี Minion ย้ำ ๆ แทน (ปุ่มที่อยู่ถัดมาทางซ้ายของปุ่มโจมตี)
สไตล์การเล่นนี้จะหลอกล่อให้ศัตรูอยากจะบูลลี่คุณให้หนัก ซึ่งหากเราเก็บ Stack มาเยอะแล้วระดับหนึ่ง เมื่ออีกฝ่ายประเมินความเสียหายไม่ดีพอ ในการสวนกลับครั้งแรกหลังจากอดทนมานาน อาจเซอร์ไพรส์ว่ามันแรงมาก จนศัตรูเปลี่ยนเป็นคิดจะหนีแทน
อย่างไรก็ตาม สายนี้ต้องการพลัง Teamwork สูงมากถึงมากที่สุด คุณอาจจะต้องขอให้เพื่อนในทีมมาช่วยรุมศัตรูเป็นการเฉพาะกิจ (Stomp เลน) สักรอบเพื่อสร้างความได้เปรียบ และเปิดโอกาสให้ได้ฟาร์มง่ายขึ้น รวมไปถึงว่าทีมคุณเองก็ต้องรับรู้ได้ ว่าคุณจะไม่เข้ามาช่วยไฟต์มากเท่าที่ควร แต่จะอยู่ฟาร์มไปเรื่อย ๆ ให้ทีมคอยแวะมาหาเลนบารอนที่คุณอยู่แทน
ทั้งนี้ในอนาคตอาจมีการนำ Champion ที่มีลักษณะเดียวกันอย่าง Veigar เข้ามา แต่ด้วยความที่ Veigar เหมาะเป็นนักเวทย์อยู่เลนกลาง จึงทำให้มีคนแวะมาหาได้บ่อยกว่า และไม่มีโอกาสจะฟาร์มได้เยอะเท่า Nasus เพราะต้องคอยไฟต์ไปด้วยในหลายครั้ง
.
7. เปลี่ยน Champion ที่บอบบาง ให้ถึกขึ้นกว่าเดิม
ความยากในการเล่น : 3/5
ความสนุก : 3/5
ต้องการ Teamwork : 4/5
สำหรับสไตล์สุดท้าย คือการเลือกจะออกไอเทมเพื่อทำให้ ADC หรือนักเวทย์มีความถึกขึ้นในระดับเป็น Fighter ได้ และอยู่สู้กับทีมได้นานกว่าเดิม แน่นอนว่าการเล่นแนวนี้ต้องนัดแนะกับทีมเพื่อให้คนอื่น ๆ ประเมินว่าตำแหน่งทำดาเมจมีพอไหม จะให้ใครมาเป็นดาเมจแทนคุณหรือไม่
เหตุผลหลักที่ทำให้แนวนี้น่าเล่น คือเพื่อดักศัตรูในคราวแรกว่าตัวคุณนั้นบอบบาง น่าเข้ามาจัดการให้ตายก่อน แต่แท้จริงแล้วคุณสามารถจะอยู่สู้ได้นาน พร้อมทั้งยังมี Slow จากไอเทมที่ออกเพิ่มเข้ามาด้วย
ตัวอย่างของ Champion ที่ทำได้ คือ
Ezreal
- เลือกจะเปลี่ยนไอเทมหลักที่ออก จากปกติ Trinity Force สายดาเมจจัด มาเป็น Iceborn Gauntlet แทน ที่ช่วยเพิ่มเกราะให้ แถมได้ผล Slow เมื่อคุณยิงสกิลออกไปด้วย และมันน่ารำคาญมาก ๆ เมื่อเป็น Ezreal
- Item อื่น ๆ สามารถจัดให้เป็น Fighter สายกายภาพได้เลย เน้นไปที่ความรุนแรงและเลือดเป็นหลัก เพื่อทำให้ศัตรูลังเลว่าจะฆ่าก่อนหรือไม่ฆ่าก่อนดีเพราะเราถึกขึ้น
นักเวทย์เลนกลางเกือบทุกคน
- เพียงแค่เปลี่ยนไอเทมเวทย์ที่ออกปกติ มาเป็นไอเทมที่เพิ่มทั้งพลังเวทย์และพลังชีวิตด้วย
- ชิ้นที่เราแนะนำที่สุดคือ Rylai’s Crystal Scepter เพื่อเอาผล Slow มาใช้ คอมโบได้ดีกับ Liandry’s Torment
- ชิ้นอื่น ๆ ที่น่าออก ก็คือ Morellonomicon และ Rod of Ages โดยเลือกเอาตามความเหมาะสม
- สไตล์นี้จะเปลี่ยนให้นักเวทย์ที่ทำความเสียหายได้สูง กลายเป็นลดลงมาปานกลาง แต่แลกด้วยความน่ารำคาญแบบจัดหนัก ที่จะมาจากการสแปมสกิลของคุณ โดนทีก็ติด Slow ที แถมยังไม่ถูก Burst ตายง่าย ๆ
- ยิ่งถ้าจะออกไอเทมจบ ส่วนของรองเท้าเป็น Zhonya’s Hourglass ก็ยิ่งน่ารำคาญเข้าไปอีก
เช่นเดียวกัน พระเอกของสายนี้ยังไม่มีให้เล่นใน Wild Rift. ซึ่งเรากำลังหมายถึง Vel’Koz สิ่งมีชีวิตประหลาด มาพร้อมกับสกิลพีทากอรัสที่ต้องลุ้นกันตัวโก่งให้ยิงโดน และอัลติเมทเป็นเลเซอร์ล้างโลกที่กดใช้กี่ทีก็สะใจ เหมาะกับการสแปมสกิลทุกภาคส่วนให้ติด Slow แบบไม่มีหยุดยั้งอย่างยิ่ง
.
สรุปส่งท้าย
จากแนวทางทั้งหมดนี้ จะสังเกตได้ว่าทุกข้อนั้นต้องการ Teamwork เสมอไม่มากก็น้อย ซึ่งการนัดแนะกับเพื่อนนั้นเป็นเรื่องสำคัญ และนี่ก็เป็นเพียงการเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อไม่ให้น่าเบื่อเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไร การเล่นสไตล์ที่เรานิยมกันก็เล่นได้ง่ายกว่า รีดเอาศักยภาพของตัว Champion ออกมาได้มากกว่าอยู่ดี
สำคัญที่สุด อย่าลืมเคารพต่อผู้อื่นเสมอเมื่อต้องได้เล่นกับคนแปลกหน้า ร่วมมือกันสร้าง Teamwork ที่ดี เพื่อให้สังคมของ Wild Rift ออกมาน่าอยู่ และยังเนืองแน่นไปด้วยเหล่าซัมมอนเนอร์มากหน้าหลายตาต่อไป