BY Nuttawut Apiratwarakul
20 Aug 21 12:49 am

รายละเอียดแรกแบบเจาะลึก Call of Duty: Vanguard

162 Views

หวนคืนสู่สงครามโลกครั้งที่สองผ่านมุมมองและการนำเสนอใหม่ใน Call of Duty ภาคล่าสุด

สงครามโลกครั้งที่สองดูจะเป็นพื้นหลังในเกมยิงที่เกมเมอร์เข้าไปเยี่ยมชมกันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เรียกได้ว่าหลายคนถึงกับเกิดอาการ “เบื่อ” เมื่อได้ยินคำว่าเกมยิงในสงครามโลกครั้งที่สอง และเมื่อ Call of Duty : Vanguard ภาคใหม่ล่าสุดของซีรีส์เกมยิงชื่อดังประกาศเปิดตัวว่าจะใช้สงครามโลกครั้งที่สองเป็น “ธีม” หลักในภาคนี้ก็ทำให้เกมเมอร์หลายคนเกิดความกังวลว่าตัวเกมอาจจะไม่ได้นำเสนออะไรใหม่ ๆ หรือมีอะไรน่าสนใจมาปล่อยของโชว์ให้เกมเมอร์ได้ชม

แต่จากการพูดคุยเบื้องหลังและการเปิดเผยเกมการเล่นที่ทาง Activision และทีมงาน Sledgehammer ผู้พัฒนาตัวเกมภาคนี้ได้มานั่งคุยแบบเปิดอกกับเราก็เผยให้เห็นว่า Call of Duty: Vanguard มีอะไรหลายอย่างที่เป็นมากกว่าเกมยิงสงครามโลกครั้งที่สองทั่ว ๆ ไป และจากที่เราเห็นมาก็ทำให้เราเชื่อได้ว่า Vanguard ถือเป็นอีกภาคที่แฟน ๆ Call of Duty ยังไม่ควรมองข้ามในตอนนี้

ไฟสงครามที่กระจายไปทั่วโลก 

เริ่มกันที่เนื้อหาพื้นฐานของ Call of Duty: Vanguard กันก่อน อย่างที่เราบอกกันไปข้างต้น ตัวเกมภาคนี้จะใช้สงครามโลกครั้งที่สองเป็นฉากหลัง อย่างไรก็ตาม Vanguard จะนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบใหม่ทำให้นี่จะกลายเป็นเกมยิงสงครามโลกในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ตัวเกมจะอิงประวัติศาสตร์จริง ๆ แต่เนื้อหาภายในเกมจะไม่ได้จำลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และตัวเกมก็สวมใส่อารมณ์ความเป็น “แฟนตาซี” เข้าไปในส่วนของการนำเสนอ

จุดเด่นแรกของเกมภาคนี้คือการพาเราไปสำรวจเหตุการณ์ในแนวรบสำคัญ ๆ ของสงครามโลกครั้งที่สองในทุกแนวรบ ต่างจากเกมยิงอื่น ๆ ในอดีตที่มักจะหยิบเอาเนื้อหาในแนวเดียวมานำเสนอเป็นแกนหลักสำคัญ โดยผู้เล่นจะได้พบกับเหตุการณ์ทั้งในทุก ๆ แนวรบผ่านตัวละครหลักทั้ง 4 ตัวที่จะเป็นผู้ขับเคลื่อนเนื้อหาหลักของ Vanguard

ได้แก่ Polina Petrova (โปลินา เปโตรวา) จากกองทัพรัสเซียในแนวรบฝั่งตะวันออก, มี Wade Jackson (เวด แจ็กสัน) อยู่ที่บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก, มี Lucas Riggs (ลูคัส ริกส์) ซึ่งเป็นนักรบชาวออสเตรเลียอยู่ในแอฟริกาเหนือ และ Arthur Kingsley (อาร์เทอร์ คิงส์ลีย์) ซึ่งเป็นพลร่มชาวอังกฤษ

จุดเด่นที่สองก็คือเรื่องราวในโหมดเนื้อเรื่องจะเกี่ยวข้องกับการก่อตั้ง “หน่วยรบพิเศษ” ที่มีสมาชิกเป็นตัวเอกทั้งสี่คนของเรา ซึ่งเป้าหมายของการรวมทีมเฉพาะกิจครั้งนี้ก็คือการหยุดยั้งโครงการลับของเหล่านาซีที่หวังจะผลิกกลับมาได้รับชัยชนะในช่วงสุดท้ายของสงครามโลก

เราได้เห็นวีดีโอการเล่นของภารกิจในโหมด Campaign ที่พาเราไปชมภารกิจกระโดดร่มลงหลังแนวข้าศึกของ Arthur Kingsley สมาชิกหน่วยรพลร่มกองทัพอังกฤษ ตัวเกมนำเสนอฉากสุดตื่นเต้นตั้งแต่วินาทีเปิดเรื่องและให้อารมณ์แบบเกม Call of Duty ที่เราคุ้นเคย กับภาพการต่อสู้อันดุเดือดที่ฉาบท้องฟ้ายามค่ำคืนให้กลายเป็นสีแดง

ตัวกราฟฟิกของ Vanguard เรียกได้ว่าสวยงามด้วยรายละเอียดของพื้นผิวรวมไปถึงเทคโนโลยีการจำลองแสงเงา ซึ่งตัวเกมภาคนี้จะใช้ขุมพลังเอนจิ้นตัวเดียวกับตัวเกมในภาค Modern Warfare ฉบับ Remake ทำให้งานภาพนั้นเรียกได้ว่ากระโดดกลับมาในมาตรฐานยุคใหม่หลังจากหลายคนผิดหวังในกราฟฟิกของภาพ Black Ops Cold War เมื่อปีที่แล้ว

การต่อสู้ในเดโมนั้นเต็มไปด้วยความดุเดือดและให้ความรู้สึกที่ดุดันมากกว่า Call of Duty ในภาคอื่น ๆ เราได้เห็น Kingsley ต่อสู้และพยายามหลบหนีทหารนาซีแบบดุเดือด จุดเด่นที่เห็นได้ชัดก็คือหน้าตา UI ที่มีความเรียบง่ายไม่มีรายละเอียดอะไรขึ้นมาบดบังดึงอารมณ์ร่วมของผู้เล่น และแรงดีดรวมไปถึงอนิเมชั่นของปืนในภาคนี้ก็มีการจำลองให้ดูทรงพลังยิ่งกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้นสภาพแวดล้อมบางส่วนในฉากก็ถูกยิงทำลายได้แบบชัดเจนประตูไม้หรือฉากกั้นต่าง ๆ ที่ศัตรูหรือเราไปหลบอยู่สามารถถูกยิงทำลายลงได้ เพิ่มความรู้สึกในการต้องหลบหนีเอาตัวรอดไปอีกขั้น

โดยรวมแล้วโทนของโหมดเนื้อเรื่องนั้นมีความดุดัน ติดดิน กัดฟันสู้กันซึ่งหน้า ๆ แตกต่างจากตัวเกมในภาคหลัง ๆ ที่เป็นการรบของกองกำลังพิเศษที่อาศัยความแม่นยำหรือการเข้าโจมตีทำภารกิจแบบฉับไวรวดเร็ว ทางทีมงาน Sledgehammer ก็ให้คำอธิบายเอาไว้ว่าพวกเขาต้องการให้ “อารมณ์” การเล่นในภาคนี้แตกต่างจากภาคก่อน ๆ และผู้เล่นจะได้รู้สึกถึงความสับสนและการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดของทหารในสงคราม  ส่วนความยาวของโหมด Campaign นั้นทีมงานก็ยืนยันมาว่า Vanguard จะมีความยาวเทียบเท่ากับเกม Call of Duty ภาคอื่น ๆ และก็มีการยืนยันแบบแน่นอนแล้วว่าเนื้อหาใน Vanguard จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผลงานชิ้นที่แล้วของทีม Sledgehammer อย่างภาค WWII ซึ่งวางจำหน่ายในปี 2017 แต่อย่างใด

บอกได้เลยว่าใครที่เป็นแฟนโหมดเนื้อเรื่องหลังที่ให้อารมณ์เหมือนการชมภาพยนตร์น่าจะถูกใจกับประสบการณ์ที่ Call of Duty : Vanguard จะมอบให้ในปีนี้

ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในหลายจุด

ในขณะที่โหมด Campaign จะพาเราไปดูเรื่องราวต้นกำเนิดของ “หน่วยรบพิเศษ” ฝั่งโหมด Multiplayer ก็ถึงเวลาที่เราจะได้รับบทเป็นหน่วยรบพิเศษเข้าต่อสู้กับผู้เล่นคนอื่นกันบ้าง ในแง่ของเกมการเล่นนั้นเราได้รับการยืนยันออกมาแล้วว่าระบบที่เป็นจุดเด่นและเอกลักษณ์ของ Call of Duty จะยังคงถูกหยิบกลับมา ไม่ว่าจะเป็นระบบ Perk หรือระบบ Kill Streak ด้านการแต่งปืนนั้นระบบ Gunsmith ก็ถูกนำกลับมาพัฒนาไปอีก โดยภาคนี้เราจะสามารถปรับแต่งปืนได้ละเอียดยิ่งขึ้นกว่าเดิม

สำหรับ Gun Play หรือเกมการยิงนั้นก็มีการปรับปรุงในหลายจุด ส่วนที่เด่นชัดมากที่สุดก็คือระบบวางปืนกับสภาพแวดล้อมในฉากหรือการ Mount นั้นจะกลับมาในภาคนี้และมีการปรับปรุงใหม่ โดยระบบใหม่นี้มีชื่อว่า Moving mount หรือการเคลื่อนที่ระหว่างการวางปืน ผู้เล่นแนบตัวไปกับพื้นผิวแนวราบและเคลื่อนตัวไปมาแล้วยิง หรือแนบตัวกับพื้นผิวแนวตั้งและสามารถแอบมองและยิงอ้อมออกไปได้

อีกจุดที่น่าจะเป็นส่วนสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงการเล่นแบบเดิม ๆ ของ Call of Duty ก็คือการที่สภาพแวดล้อมในฉากภาคนี้สามารถถูกยิงทำลายลงได้บางส่วน กระจก ไม้ หรือวัสดุอื่น ๆ บางส่วนสามารถถูกยิงทำลายทิ้งได้และเปิดโอกาสให้ผู้เล่นมีช่องทางหรือเทคนิคใหม่ ๆ ในการเข้าโจมตีศัตรูหรือยึดเป้าหมาย

สำหรับโหมด Multiplayer นั้นก็มีการยืนยันออกมาแล้วว่านอกจากโหมด VS ระหว่างสองทีมแบบทั่วไป ตัวเกมภาคนี้จะกลับมาพร้อมกับโหมดซอมบี้โดยได้ทีมงาน Treyarch กลับมาเป็นผู้ดูแลอีกด้วย และสุดท้ายตัวเกม Vanguard ก็จะถูกผนวกรวมเข้ากับโหมด Warzone ด้วยเช่นกัน ซึ่งรูปแบบการอัพเดทและการรวมเข้ากับ Warzone และก็จะมีการอัพเดทเนื้อหาใหม่ ๆ ควบคู่ไปทุก ๆ โหมดเช่นเคย

อีกข้อมูลหนึ่งที่เราแปลกใจอย่างมากก็คือเรื่องของแผนที่ หลังจากในภาคที่ผ่านมา ๆ จำนวนแผนที่ที่น้อยนั้นถือเป็นจุดที่แฟนเกม “ตำหนิ” กันอย่างมากในช่วงแรก   แต่ครั้งนี้ทีมงานน่าจะเล็งเห็นปัญหาดังกล่าวโลยจะส่งแผนที่ชุดใหญ่ออกมาในวันแรกของตัวเกม

Vanguard จะมาพร้อมแผนที่ 20 แผนที่ในวันแรกของการวางจำหน่ายโดยเป็น 16 แผนที่ในโหมดหลักและ 4 แผนที่ในโหมด 2 VS 2

และสุดท้ายอีกข้อมูลที่หลายคนน่าจะดีใจนั้นก็คือข่าวการอัพเดทระบบป้องกันการโกง ตัวเกมจะมีการปล่อยอัพเดทระบบป้องกันการโกงตัวใหม่ออกมาโดยจะอัพเดทลงให้ทั้งโหมด Multiplayer และโหมด Warzone ในวันแรกที่เกม Call of Duty Vanguard วางจำหน่ายนั่นเอง ซึ่งจุดนี้ก็ยังไม่มีรายละเอียดถูกปล่อยออกมาว่าจะมีการปรับปรุงในส่วนไหนบ้าง แต่การโกงก็ถือเป็นปัญหาสำคัญของ Warzone ในตอนนี้และเชื่อว่าทีมงานน่าจะจริงจังกับการยกระดับเครื่องมือป้องกันเหล่า Cheater ให้ดียิ่งขึ้น

ในด้านประสบการณ์การเล่นอื่น ๆ นั้นทีมงานก็สัญญาเอาไว้ว่าตัวเกมจะนำเสนอภาพแบบ 60 FPS บนเครื่อง Console ในทุกรุ่นไม่ว่าจะเป็น PS5/XSX|S หรือ PS4 และ XB1 ส่วนจอย DualSense ของ PS5 ก็จะได้รับการออกแบบเป็นพิเศษให้เรียกใช้ลูกเล่นต่าง ๆ ของตัวจอยเช่นเดียวกับในภาคก่อน ๆ

5 พฤศจิกายน 2564 เกมเมอร์ทั่วโลกเตรียมสัมผัส Call of Duty : Vanguard 

จากสิ่งที่เราได้เห็นมา Vanguard ถือได้ว่าเป็นการพัฒนาอีกก้าวที่น่าสนใจของ Call of Duty แม้ว่าธีมหลักของเกมที่ย้อนไปเป็นสงครามโลกครั้งที่สองอาจทำให้หลายคนมีความสนใจในตัวเกมภาคนี้น้อยลง แต่ในด้านของระบบการเล่นและการเปลี่ยนแปลงด้านการนำเสนอแล้ว Vanguard มีหลายอย่างที่น่าสนใจ

สำหรับใครที่เป็นแฟนเกม Call of Duty ก็รอติดตามกันให้ดีสำหรับรายละเอียดใหม่ ๆ ที่เราจะนำมาเสนอกันในครั้งต่อไป

 

 

Nuttawut Apiratwarakul

โน้ต - Co-Founder / Editor-in-chief

Back to top