ท่ามกลางยุคสมัยแห่งหนังและซีรีส์จากวิดีโอเกมที่ประสบความสำเร็จ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่เราจะได้เห็นค่ายเกมต่าง ๆ นำเอาผลงานตัวเองมาดัดแปลงมากขึ้น ซึ่ง 2K Games และ Gearbox เองก็เช่นกัน หลังรอคอยกันมายาวนานหลายปีหนัง Borderlands ก็มาถึง แต่มันจะร้ายจะดีอย่างไร เราไปดูมาแล้ว และจะมาเล่าให้ฟัง
Borderlands ไม่ได้เอาเรื่องราวหลักต้นฉบับมาจากเกมทั้งหมดไปซะทีเดียว แถมยังปรุงแต่งลงไปเยอะพอสมควรเลยด้วย จากต้นฉบับเกมภาคแรกที่เล่าเรื่องราวของกลุ่ม Vault Hunter ถูกเปลี่ยนมาเป็นการรับมือกับมหาวายร้ายที่มีแผนจะยึดครองอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ และจะใช้พลังของสิง่ลึกลับที่อยู่ใน Vault มาเป็นตัวช่วย ตัวละครเอกของเรายังคงเป็นทีมที่คุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้างคือ Roland, Lilith แต่ตัวสมาชิกมีการเปลี่ยนแปลง เช่นในหนังจะเป็น Krieg และ Tiny Tina แทน ซึ่งเราขอไม่พูดถึงเนื้อหาหลักมาก เพราะแม้จะหนังจะเป็นสูตรสำเร็จแค่ไหน แต่เราจะไม่ขอสปอยล์ แต่เอาเป็นว่าอย่าไปคาดหวังกับเนื้อเรื่องมาก เพราะดัดแปลงจากเกมไปเยอะพอตัวเลยทีเดียว
ปัญหาด้านการแคสท์นักแสดงที่หลายคนกังวลตังแต่ตอนประกาศนั้น ต้องบอกว่าบางตัวก็รุ่ง บางตัวก็ไม่รอด โดยคนที่ดีงามจริง ๆ เลยคือ Cate Blanchett ที่ตอนแรกหลายคนมองว่าเธอไม่เข้ากับบทของ Lilith เลย เพราะอายุที่สูงเกินไปหน่อย ถ้าเทียบกับรูปลักษณ์ในเกม แต่หลังจากได้ดูหนังจริง ก็คงมีแต่เธอเท่านั้นที่พอจะทำให้หนังมันสนุกไปจนจบได้ เพราะแม้แต่ตัวละคร Tannis ที่ได้นักแสดงชื่อดังอย่าง Jamie Lee Curtis ก็ไม่อาจทำให้ตัวหนังดูสนุกขึ้นมาได้เลย กับอีกตัวละครที่ออกมาทีไรก็พอจะเรียกเสียงหัวเราะได้บ้างก็คือ Claptrap ที่ได้ Jack Black มาพากย์ อาจบอกได้ว่า Lilith + Claptrap เป็นคู่หูที่ลงตัวและทำให้หนังสนุกได้ที่สุด
ไม่ใช่ว่านักแสดงคนอื่นนั้นทำหน้าที่ได้ไม่ดี แต่บทมันไม่ได้ส่งให้นักแสดงมีออร่าหรือบทบาทที่มากพอ ต่างจากตัวละคร Lilith ของ Cate แถมตัวนักแสดงเอง พอถึงฉากแอ็คชัน โชว์การยิงปืน ปล่อยของ ระเบิดความมัน เจ้าตัวก็เอาอยู่แบบสุด ๆ ซีนไหนที่ Cate ถือปืน ซีนนั้นคืออย่างน้อยคุณจะได้รู้สึกว่ามันคุ้มค่าตั๋วที่จ่ายไปแน่นอน ส่วน Claptrap เอง ก็มีบุคลิก ความกวนประสาท และเล่นมุกตลกแบบไม่สนใจสถานการณ์ ด้วยสำเนียงการพากย์ของ Jack Black ก็บอกเลยว่าเอาอยู่ทุกซีน แต่นอกเหนือจากนี้ มันแทบจะเป็นสูตรสำเร็จหนังแอ็คชั่นธรรมดาที่ไม่มีอะไรน่าจดจำเลยแม้แต่น้อย
ฉากแอ็คชั่นแม้จะสนุกสะใจ แต่ก็ไม่ใช่ตลอดทั้งเรื่องของหนัง บางช่วงก็คือยิงกันทั่วไป แถมตัวร้ายก็โดนจัดการแบบง่อย ๆ ไม่มีอะไรน่าจดจำ ช่วงท้ายเราก็จะได้เห็นการกระทำของตัวร้ายเบิ้ม ๆ ที่สั่งการอะไรก็เข้าทางพวกพระเอกไปซะหมด หนักหน่อยก็คือการตัดสินใจของบางตัวละครที่คิดอยากจะทำอะไรก็ทำมันเดี๋ยวนั้น ตรงนั้นเลยแบบไม่มีมูลเหตุจูงใจ หรือแม้แต่แรงกระเพื่อมที่ทำให้เรารู้สึกสงสารตัวละคร
ส่วนที่เจ็บปวดมากสำหรับแฟนเกมก็คือ เอกลักษณ์หรือสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในเกมนั้น แทบจะถูกกลบจางหายไปจนหมด หรือไม่ถูกใส่มาเลยด้วยซ้ำ เราจะยกตัวอย่างเช่นระบบปืน ในเกมนี้ใครที่ตามเนื้อเรื่องของเกมจะรู้ว่า จุดเด่นคือบริษัทผลิตอาวุธปืนต่าง ๆ ที่ทำให้ปืนแต่ละกระบอกมีลูกเล่นและกลไกที่ต่างกัน บางกระบอกก็มีขาเดินได้ เดินไปไล่ยิงศัตรูเอง หรือบางกระบอกก็ปาออกไป เป็นกลไกอาวุธเพิ่มเติม ที่น่าตกใจคือหนังแทบจะไม่มีส่วนเหล่านี้อยู่เลยภายในเกม มีการเล่าเรื่องบริษัทต่าง ๆ แต่ก็น้อยและเบาบางมาก บริษัทผลิตอาวุธกลับถูกนำเสนอเป็นเหมือน Easter Egg ต่าง ๆ ภายในหนังเท่านั้น แล้วทีนี้หนังที่เปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องหลักจนแฟนเกมไม่คุ้นชิน แถมส่วนสำคัญรองลงมาก็ยังไม่ถูกนำเสนอให้ดี Borderlands จึงแทบไม่เหลืออะไรให้น่าจดจำไปกว่าหนังแอ็คชันเอามันส์ และความตลกแบบพอจะถูไถไปได้ของตัว Claptrap
น่าเสียดายที่ Borderlands นั้น แม้จะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีในการนำมาดัดแปลงเป็นหนัง แต่วัตถุดิบของมันหลายอย่างที่ดีอยู่แล้ว กลับไม่ได้ถูกถ่ายทอดมาที่หนังด้วย มันเลยกลายเป็นการอาศัยพลังดาราอย่าง Cate Blanchett แบกจนหลังแทบหัก หนังถึงจะจบลงได้ และแทบไม่เหลือเอกลักษณ์เค้าลางความเป็นเกมอยู่เลย ชนิดที่ว่าถ้ามีคนมาดูโดยไม่รู้ว่าต้นฉบับคือเกม ดูจบแล้วคนคนนั้นก็จะไม่รู้ต่อไป (ถ้าไม่อ่านเครดิตช่วงท้ายเรื่อง) แต่ความเท่ของ Cate Blanchett ก็พอจะทำให้เราสนุกไปกับมันได้ในภาพรวม