เป็นที่ทราบกันดีว่า Nintendo เป็นค่ายเกมยักษ์ใหญ่ที่เน้นการทำวีดีโอเกมเพื่อเจาะตลาดกลุ่ม Casual Gamer สไตล์ฉูดฉาดและเป็นมิตรต่อครอบครัวเป็นหลัก ซึ่งถึงแม้ Nintendo จะเคยทำเกมเนื้อหาหนัก ๆ อย่างซีรี่ส์เกม EarthBound, Fire Emblem, Metroid และ The Legend of Zelda ก็ตาม แต่อย่างไรก็ตามเกมหากินหลัก ๆ ของ Nintendo ก็จะเน้นเจาะตลาด “แคชชวล” หรือผู้เล่นเกมที่ต้องการความสนุกแบบเข้าถึงง่าย ยิ่งเฉพาะกับ “ผู้ที่ไม่เคยเล่นเกมมาก่อน” นี่คือเป้าหมายของพวกเขาเลยก็ว่าได้
ถึงแม้พักหลัง ๆ เราจะเห็นว่า “ตลาดเกมแคชชวล” ถูกข่มเหงและดูถูกจากเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์หรือสายเสพงานภาพออกเรื่อย ๆ แต่ Nintendo ก็ได้พิสูจน์มาโดยตลอดแล้วว่า “เกมที่กินง่ายไม่จำเป็นต้องไร้แก่นสาร” แถมเกมเหล่านี้นี่แหละที่การเป็นเครื่องพิมพ์เงินชั้นดีและทำเงินเป็นกอบเป็นกำให้กับ Nintendo เพราะด้วยความเข้าถึงง่าย แต่มีก็ความลึกและความอัดแน่นที่พอดีคำ ไม่ได้กลวงโบ๋หรือไม่ได้ไร้แก่นสาร ทำให้เกมของ Nintendo ได้ครองใจใครหลาย ๆ คนโดยเฉพาะกับเกมเมอร์ฝั่งตะวันตกที่บางคนถึงกริ๊ดแตกทุกครั้งเมื่อซีรี่ส์เกมโปรดของ Nintendo ได้ออกภาคใหม่
ซึ่งพอนึกถึงเรื่องของตลาดแคชชวลที่แล้ว มันทำให้ผู้เขียนนึกถึงกับซีรี่ส์เกมซีรี่ส์นึง โดยเอาจริง ๆ จะเรียกว่าเป็นซีรี่ส์เกมก็ได้ไม่เต็มปาก เพราะตัวเกมมีเพียงแค่สองภาค แต่อย่างไรก็ตามมันคือสองภาคที่มีความเจ๋งในแง่ของนวัตกรรมที่ Nintendo ถนัดเป็นอย่างมาก ดังนั้นในบทความนี้ทาง GamingDose จึงขอให้ทุกท่านได้รู้จักกับซีรี่ส์เกมสายแคชชวลซีรี่ส์นึงที่ดูเรียบง่ายแต่เปี่ยมไปด้วยความล้ำเชิงนวัตกรรม และทางผู้เขียนเชื่อว่าสำหรับผู้เล่นที่เคยแตะเครื่อง Nintendo DS มาก่อน น่าจะเคยแตะหรือเคยได้ยินเจ้าเกมนี้มาแน่ ๆ โดยซีรี่ส์เกมนี้มีชื่อว่า “Nintendogs” ครับ
อะไรคือซีรี่ส์เกม Nintendogs ?
Nintendogs เป็นซีรี่ส์เกมที่เราจะได้ “เลี้ยงสัตว์จำลอง” บนหน้าจอเครื่องเกมพกพา โดยหากนึกภาพไม่ออกก็ขอให้นึกถึง Tamagotchi หรือไม่ก็ Digimon แหละ แต่สำหรับซีรี่ส์ Nintendogs แล้วนั้น เราจะได้ลองเลี้ยงน้องหมาและน้องแมว โดยที่ไม่ต้องรบกวนคนในบ้านหรือกังวลเรื่องภูมิแพ้ขนสัตว์แต่อย่างใด เรียกได้ว่าเป็นการเติมเต็มชีวิตของคนรักหมาและรักแมวที่อาจจะไม่สามารถเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวจริง ๆ ในบ้านได้
แต่ถึงจะบอกอย่างนั้นจริง ๆ แล้วตัวเกม Nintendogs ก็ไม่ได้สมจริงมากพอที่จะทดแทนหมาแมวจริง ๆ ได้แต่เรื่องของอารมณ์และความรู้สึกที่ได้จัดว่าใกล้เคียงกับการเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวจริงๆ เลย ตัวเกมมีระบบ “ปฏิสัมพันธ์” ที่เราจะสามารถ ลูบ ไล้ หรือมีปฏิสัมพันธ์กับหมาและแมวของคุณในเกมได้โดยใช้ระบบที่มีในเครื่องเกมอย่าง “ไมโครโฟน” และ”ปากกาสไตลัส” ในการเพิ่มอรรถรสและความอินในการเล่นเกมนี้ให้สนุกกับน้องหมาน้องแมวได้มากกว่าเดิมและที่สำคัญก็คือตัวเกมได้มีการใช้ระบบ “Real-Time” แบบเดียวกับซีรี่ส์เกม Animal Crossing ทำให้เราต้องคอยมาดูแลราวกับน้องหมาน้องแมวของเรานั้นมีชีวิตตลอดแม้เราจะปิดเครื่องไปแล้ว
และนอกจากนี้แล้วเพื่อให้ตัวเกมเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ทาง Nintendo จึงได้ปั้นโมเดลเหล่าน้องหมาน้องแมวให้เป็นสามมิติที่จะเดินเล่นว่อนไปทั่วห้องในเกมพร้อมกับระบบการดูแลสัตว์เลี้ยงที่ได้ความรู้สึกของการเลี้ยงจริง ๆ และสามารถซื้อสัตว์เลี้ยงมาเลี้ยงเพิ่มในบ้านได้สูงสุด 3 ตัว จน Nintendog จัดว่าเป็นเกมอยู่ในระดับของ Pet Simulation เลยก็ว่าได้ แต่ก็มีความ Casual ที่ทุก ๆ คนสามารถเข้าถึงได้
ซี่งตัวเกมการเล่นจริงๆ แล้วก็มีแค่นี้แหละ เพราะเกมที่ดีไม่จำเป็นจะต้องมีความซับซ้อบอะไรมากหากระบบลงตัวจนทำให้เกมมีคุคุณภาพที่ดีได้ก็เพียงพอแล้ว Nintendog ได้นำเสนอเกมการเล่นแนว Pet Simulation แนว ๆ ดูแลสัตว์เลี้ยง เล่นกับสัตว์เลี้ยงฝึกสัตว์เลี้ยง มีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์เลี้ยง พาสัตว์เลี้ยงไปเดินเล่นได้หรือแม้กระทั่งเอาสัตว์เลี้ยงไปประกวดเรียกได้ว่าหากคุณนึกถึงการเลี้ยงสัตว์ในโลกความเป็นจริงว่าต้องเลี้ยงแบบไหน Nintendogs ก็ได้มอบประสบการณ์ที่ใกล้เคียงเป็นอย่างมากถึงแม้ความลำบากและความใส่ใจที่มีอาจจะไม่เทียบเท่าการเลี้ยงหมาแมวจริง ๆ ก็ตาม
ขออธิบายเรื่องราวชีวิตส่วนตัวเล็กน้อย ทางผู้เขียนเป็นคน ๆ นึงที่เคยเลี้ยงหมาไว้เนื่องจากพี่สาวได้เอามาเลี้ยงในบ้าน ซึ่งขอบอกเลยว่าการเลี้ยงหมานี่ไม่ใช่ใคร ๆ ก็ทำได้ (ไม่งั้นโลกนี้ก็คงไม่มีหมาจรจัด) เพราะความใส่ใจและความรักเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากในการเลี้ยงดูซึ่งแน่นอนว่าด้วยในตอนนั้นที่ผมยังเป็นเด็กไฮเปอร์วิ่งรอบบ้านและไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่บวกกับตัวของผู้เขียนดันเป็นภูมิแพ้ขนหมาด้วยทำให้สุดท้ายแล้วทางผู้เขียนต้องคืนหมาตัวนั้นให้พี่เขาไป และกลายเป็น 1ในเรื่องราวที่บัดซบของชีวิตผู้เขียนเลย (ฮา)
ซึ่งก็แอบน่าเสียดายเหมือนกันที่ทางผู้เขียนไม่ได้มีโอกาสได้แตะ Nintendogs เพราะว่าทางบ้านของผมไม่ได้ซื้อ Nintendo DS ให้หากได้ลองเล่นดูทางผู้เขียนก็คงอาจจะได้สัมผัสการเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวที่แท้จริงกับเขาบ้าง…. (เอ่อ…)
เปิดตำนานและวิวัฒนาการของซีรี่ส์เกม Nintendogs
ไม่ว่าเกมจะเล็กหรือจะใหญ่แค่ไหน แต่หากสิ่ง ๆ นั้นได้มอบความสนุกและเป็นที่จดจำให้กับวงการเกม ยังไงตำนานก็คือตำนานอยู่วันค่ำ และ Nintendogs ก็ควรค่ามากพอที่จะถูกเรียกว่าเป็น “ตำนาน” อีกซีรี่ส์นึงของ Nintendo
“Nintendogs”ถูกกล่าวถึงว่ามีการเริ่มพัฒนาตั้งแต่ปี 1997 โดยเป็นความร่วมมือของนักพัฒนาเกมมากความสามารถของ Nintendo ถึงสามคน ไม่ว่าจะเป็น Shiegesato Itoi (ผู้ออกแบบซีรี่ส์เกม EarthBound), Tsunekazu Ishihara (ผู้ออกแบบซีรี่ส์เกม Pokémon) และหัวหอกใหญ่ที่สุดของค่ายอย่าง Shigeru Miyamoto ซึ่งพวกเขาได้พัฒนาตัวเกมต้นแบบบนเครื่อง Nintendo 64 ที่เป็นเกมแนวเลี้ยงสัตว์เลี้ยง โดยใช้โค้ดเนมว่า “Cabbage” โดยใช้เวลาการพัฒนาถึง 4 ปี
ตัวเกมต้นแบบได้มีการใช้งานระบบ “Real Time Clock” โดยเป็นระบบที่เวลาในเกมจะอ้างอิงและเป็นไปตามเวลาของตัวเครื่อง (แบบเดียวกับ AnimalCrossing) โดยพวกเขาได้นำความสามารถของเครื่อง Nintendo 64 ที่มาพร้อมกับอุปกรณ์เสริมอย่าง Nintendo 64DD มาใช้ให้ระบบนี้สามารถใช้งานได้จริงทุกสถานการณ์โดยถึงแม้ตัวเครื่องจะไม่มีไฟเลี้ยงเอาไว้แต่เวลากับตัวเกมก็ยังคงเดินหน้าและมีความเคลื่อนไหวอยู่ ซึ่งตัวเกม “อาจจะ”มาพร้อมกับ “Optional Purchaseable Enchantment Data” หรือหากให้พูดง่ายๆ ในยุคนี้มันก็คือ “Downloadable Contents (DLC)” และ”Microtransaction” นั้นเอง
อย่างไรก็ดีตัวเกม “Cabbage” ก็ไม่มีข้อมูลอะไรเพื่มเติมอีกเลยนอกจากตัวเกมที่มีแผนว่าจะวางจำหน่ายช่วงปี1998-2000 แต่หลังจากนั้นเรื่องราวของการพัฒนาก็ไม่มีการกล่าวถึงอีกเลยซึ่งอย่างไรก็ดี ดูเหมือนเจ้าตัวเกม “Cabbage” ก็ได้แปลงร่างกลายมาเป็นตัว Technical Demo ของเครื่องเกมตัวใหม่อย่าง”Nintendo GameCube” ที่ใช้โชว์ศักยภาพของเครื่องในช่วงนั้น
เวลาผ่านไปยาวนานจนมาถึงยุคที่Handheld Console กำลังจะเปลี่ยนจาก Game Boy Advance กลายเป็น Nintendo DS โดยคุณ Shigeru Miyamoto ได้นำไอเดียของ Cabbage มาต่อยอดออกมาเป็น “เกมใหม่”ซึ่งเขาได้รับแรงบันดาลใจจากที่ตัวของเขาและครอบครัวของเขาได้ซื้อสุนัขเข้ามาเลี้ยงทำให้เขาได้เรื่มโครงการในการพัฒนาเกมดังกล่าวทันที โดยได้คุณ “HidekiKonno” เป็นผู้กำกับการพัฒนา
พวกเขาได้พยายามจะใช้ทุกฟีเจอร์ที่มีของ Nintendo DS ในการมอบประสบการณ์ให้กับผู้เล่น ในรูปแบบของเกมเลี้ยงสุนัขซึ่งตอนนั้นตัวเกมถูกเรียกชื่อว่า “Puppy Time” และวางแผนว่าจะมีเวอร์ชั่นแยกย่อยออกมาถึง “15 เวอร์ชั่น” !!โดยแต่ละเวอร์ชั่นจะเป็นของสายพันธุ์น้องหมาที่แตกต่างกันไปซึ่งหากออกมาแบบนี้จริง ๆ ซีรี่ส์เกม Pokémon นี่อาจถึงกับต้องอายกันเลยล่ะ โดยคุณ”Satoru Iwata” ก็ได้นำเสนอไอเดียดังกล่าว และได้ให้เหตุผลว่า”จะให้ผู้เล่นได้รู้สึกเหมือนได้เลือกซื้อน้องหมาจากร้านจริง ๆ”
อย่างไรก็ตามการที่ซอยถี่เวอร์ชั่นเยอะขนาดนี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อการ “Debugging” (การขัดเกลาตัวเกม) อย่างแน่นอน เพราะตัวเกมที่มีเวอร์ชั่นเยอะขนาดนั้นจะใช้เวลาในการขัดเกลาที่ยาวนานเกินความจำเป็นทำให้สุดท้ายแล้วตัวเกมก็ถูกหดจำนวนลงมาเหลือเพียงแค่ “4 เวอร์ชั่น”ซึ่งเอาจริง ๆ 4 เวอร์ชั่นนี่ก็ถือว่าเยอะกว่าซีรี่ส์โปเกม่อนอยู่ดี (ฮา) โดยสายพันธุ์ของน้องหมาหลาย ๆ ตัวที่วางแผนไว้จะถูกแยกขายเป็นเวอร์ชั่นต่าง ๆ ก็ถูกนำมาให้สามารถปลดล็อคสายพันธุ์เหล่านี้ได้ในเกม
เวลาผ่านไปถึงปี 2005 ตัวเกม “Puppy Time” ก็ได้วางจำหน่ายและเปลี่ยนชื่อเป็น “Nintendogs” (Nintendo + Dogs) โดยมีการวางจำหน่ายถึง 4 เวอร์ชั่นตามที่ได้กล่าวเอาไว้ ประกอบไปด้วย Nintendogs : Dachshund & Friends,Nintendogs : Chihuahua & Friends, Nintendogs : Lav & Friends ที่มีการวางจำหน่ายทั่วโลก และ Nintendogs : Shiba Inu & Friends ที่มีการวางจำหน่ายเฉพาะโซนญี่ปุ่นเท่านั้นซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นตัวเกมภาคแรกของซีรี่ส์ Nintendogs ที่ลงให้กับเครื่องพกพาอย่าง Nintendo DS
นอกจากนี้แล้วตัวเกมก็ได้มีเวอร์ชั่นเพิ่มเติมมาอีก 2 เวอร์ชั่น โดยมี Nintendogs : Best Friends ที่มาพร้อมกับ Bundle ของ NintendoDS ลายพิเศษ และ Nintendogs : Dalmatian & Friends ซึ่งสุนัขสายพันธุ์ Dalmatian ในเกม Nintendogs นั้นถือว่าเป็นสุนัขพันธุ์ที่ปลดล็อคในเกมได้ยากที่สุดแต่เวอร์ชั่นนี้จะให้คุณสามารถเลี้ยงได้ตั้งแต่เริ่มเกมกันเลย
และในปี2010 ตัวเกมภาคต่อของ Nintendogs ก็ได้ถูกเปิดตัวในงาน E3 2010 โดยใช้ชื่อว่า”Nintendogs + Cats” โดยลงให้กับเครื่องพกพา Nintendo 3DS ในปี 2011 และมาพร้อมกับสัตว์เลี้ยงใหม่อย่าง “น้องแมว” (ตามชื่อภาค) พร้อมนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตัวเกมภาคต่อจะมอบให้กับผู้เล่นและไม่มีการแบ่งซอยเวอร์ชั่นแบบภาคแรกอีกแล้ว
ผลตอบรับและคำวิจารณ์ของซีรี่ส์เกม Nintendogs
Nintendogs ถือว่าเป็นซีรี่ส์เกมทำเงินอีกซีรี่ส์นึงของ Nintendo ในยุคของ Nintendo DS เลยก็ว่าได้ ด้วยการเล่นที่เข้าถึงง่าย บวกกับคอนเซปต์ที่ใกล้ตัวผู้เล่น ก็สามารถได้ใจและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงนั้น โดย Nintendogs ภาคแรกบนเครื่อง Nintendo DS นั้นสามารถทำยอดขายได้มากถึง 23.96 ล้านชุด !! ซึ่งถือว่าเป็นเลขจำนวนยอดขายที่หาได้ไม่ง่ายแล้วกับเกมยุค ๆ นี้ และเป็นการ Boost ยอดขายของเครื่องเกม Nintendo DS ให้ขายดีขึ้น 4 เท่าตัว !! พร้อมกับคะแนนเฉลี่ยจากทุกสำนักกว่า 83/100 (Metacritic) ซึ่งถือว่าเป็นคะแนนที่ดีมากสำหรับเกมที่ดูเหมือนจะเรียบง่ายแต่ก็สามารถทำคะแนนได้อย่างดีเยี่ยม
นอกจากนี้ด้วยความเจ๋งของตัวเกมที่ได้ถูกนำเสนอทำให้ Nintendogs กวาดรางวัลต่าง ๆ มากมาย ทั้งรางวัลเกมพกพาแห่งปีและ”นวัตกรรมแห่งปี 2006″ จากนิตรสารไอทีอย่าง PC World นอกจากนี้ทางหน่วยงานที่ขึ้นชื่อเรื่องการอนุรักษ์สัตว์อย่าง PETA ก็ยังได้ให้รางวัล “เกมที่เป็นมิตรต่อสัตว์แห่งปี 2006” อีกด้วยเท่านั้นยังไม่พอ Nintendogs ยังได้รับการยกย่องว่า “เป็น 1 ใน 5วีดีโอเกมที่ปฏิวัติวงการเกมแห่งทศวรรษ” จากทาง 1UP.com โดยเป็นผลจากการที่ตัวเกมได้เปิดตลาดวีดีโอเกมให้กับผู้เล่นทั่ว ๆ ไปหรือคนที่ไม่เคยสนใจวีดีโอเกมอย่าง “Casual Player” ให้เข้าสู่วงการเกมได้สำเร็จ
ส่วนทางฝั่ง Nintendogs + Cats นั้นถึงแม้ยอดขายอาจจะต่ำกว่าภาคแรกหลายเท่าตัวโดยสามารถทำยอดขายไปได้ 3.96 ล้านชุด แต่สำหรับเกมบนเครื่องเกม Nintendo 3DSที่มียอดขายเครื่องที่ไม่เท่า Nintendo DS (ห่างกันหลายเท่า) ยอดขายเกมประมาณนี้ถือว่าเป็นยอดขายที่น่าประทับใจสำหรับ Nintendo 3DS ครับแต่ส่วนนึงก็น่าจะเป็นเรื่องของเกมเพลย์ที่ไม่ได้ต่างอะไรจากภาคแรกมากนัก แถม Nintendo 3DS ก็สามารถนำตลับของ Nintendo DS มาใส่ได้ทำให้คนอาจจะไปเล่นภาคแรกกันมากกว่าครับ
เรียกได้ว่าเป็นซีรี่ส์เกมที่มาแบบง่าย ๆ แต่กลับได้รับการขนานนามระดับที่เรียกได้ว่า “ปฏิวัติวงการเกม” สำหรับซีรี่ส์เกม Nintendogs ซึ่งสำหรับแฟน ๆ Nintendo แล้ว เราก็คงเห็นปู่ทำอะไรเทพ ๆ ให้กับวงการเกมจนแทบจะชินชา แต่สำหรับผู้ที่อาจจะไม่เคยรู้จักหรือไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงสรุปให้สั้น ๆ ให้เข้าใจถึงความยอดเยี่ยมของตัวเกมนี้ว่า นี่เป็นเกมที่ดึงคนที่ไม่เคยเล่นเกมให้หันมาเล่นเกมได้ และเกิดเป็นตลาดเกมเมอร์กลุ่มใหม่ที่เราจะชอบเรียกกันว่า “Casual Player” นั้นเองครับ