หากพูดถึงปืนพกในเกม FPS เพลเยอร์อาจนึกถึง Desert Eagle เป็นอย่างแรก เพราะปืนดังกล่าวมีรูปลักษณ์ที่ดูดุดัน แล้วด้วยพลังทำลายล้างที่รุนแรงกับมีความแม่นยำ ทำให้มันเป็นปืนสำรองที่ช่วยชีวิตผู้เล่นให้รอดพ้นอันตรายหลายครั้ง
บทความนี้จะเป็นการอธิบายความเป็นมาของ Desert Eagle ปืนพกเหยี่ยวทะเลทรายที่คอเกม FPS ต่างไว้ใจ และได้รับความนิยมจนกลายเป็น Pop Culture ที่เห็นบ่อยตามสื่อบันเทิงหลายประเภท
ความเป็นมาของเหยี่ยวทะเลทราย
ไอเดียการสร้างปืนพกโดยใช้กระสุนขนาดใหญ่ได้มีมานานแล้ว ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ช่างปืน Hugh Gabbet-Fairfax เคยผลิต “Mars Automatic Pistol” ปืนพกต้นแบบขนาดยักษ์ มีอานุภาพรุนแรง แล้วได้ส่งให้กองทัพอังกฤษ เพื่อเสนอให้ใช้เป็นอาวุธประจำกองทัพ แต่อย่างไรก็ตาม กองทัพได้ปฏิเสธปืนดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าตัวปืนมีแรงดีดเยอะ ระบบการทำงานซับซ้อนเกินไป ทำให้ประสบการณ์การใช้งานปืนนี้ “ไม่น่าพึงพอใจ”
ในปี 1966 บริษัทผลิตปืน Auto Mag Corporation ได้เปิดตัวปืนพกขนาดใหญ่ “.44 Auto Mag pistol” ซึ่งมาพร้อมคุณสมบัติมีพลังทำลายร้างรุนแรงด้วยการใช้กระสุน .44 AMP แม้ตัวดีไซน์ปืนเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ ดูหรูหรา จนถูกนำไปใช้ประกอบภาพยนตร์หลายเรื่อง แต่ด้วยระบบการทำงานซับซ้อน รวมถึงใช้ต้นทุนการผลิตสูงเกินจนมีราคาขายในท้องตลาดแพงมาก ทำให้ปืน Auto Mag pistol โดนยกเลิกการผลิตในปี 1971 รวมถึงบริษัท Auto Mag Corporation ประกาศยื่นล้มละลาย หลังปืนดังกล่าวประสบความล้มเหลวในด้านยอดขาย
Mag pistol
ที่นี้ก็มาถึง Desert Eagle ปืนพกที่หลายคนรู้จักอย่างดีในชื่อฉายาว่า “เหยี่ยวทะเลทราย” ในปี 1979 บริษัทวิจัยปืนในสหรัฐฯ Magnum Research Inc. ได้เริ่มทำการคิดค้นโครงการปืนใหม่ ซึ่งทีมงานได้ใช้เวลาวิจัยกับการพัฒนามานาน 3 ปี จนในที่สุด บริษัทมีการจดทะเบียนการค้าปืนใหม่ในปี 1982 โดยปืนนั้นมีชื่อว่า “Desert Eagle” เป็นปืนพกบรรจุกระสุน ยิงกึ่งอัตโนมัติ และใช้ระบบการทำงานแบบ Gas-Operation พร้อมเริ่มมีการผลิตอย่างเป็นทางการในปี 1983
แม้ Desert Eagle มีดีไซน์ต้นกำเนิดจากประเทศสหรัฐฯ แต่ช่วงเวลาหนึ่งของปี 1983 ทาง Magnum Research ได้ส่งไม้ต่อให้บริษัทผลิตอาวุธในอิสราเอลอย่าง IMI Systems (ตอนนี้มีชื่อว่า Israel Military Industries) เป็นผู้ผลิต พร้อมอนุญาตให้มีปรับแต่งขัดเกลาปืนเพิ่มเติม ทำให้ Desert Eagle กลายเป็นปืนสายเลือดลูกครึ่งสหรัฐฯ-อิสราเอลโดยปริยาย ซึ่งปัจจุบัน ปืนดังกล่าวมีฐานการผลิตหลักอยู่ในประเทศสหรัฐฯ โดย Magnum Research
Desert Eagle เป็นปืนพกที่ไม่เหมือนกับกระบอกอื่น เพราะปืนนี้ใช้ระบบการทำงานแบบ Gas-Operation กับ Rotating bolt ซึ่งเป็นส่วนประกอบเดียวกับที่ใช้ในปืนไรเฟิล M-16, Ruger Mini-14 และที่สำคัญที่สุด ปืนนี้ใช้ .50 Action Express (.50 AE) ซึ่งเป็นกระสุนปืนพกที่มีขนาดใหญ่กว่า .32 ACP อย่างเห็นได้ชัด ส่งผลทำให้ปืนนี้มีอานุภาพรุนแรง กับมีความแม่นยำเหมือนใช้ปืนลูกโม่
Desert Eagle
นับตั้งแต่มีการผลิต Desert Eagle ปืนดังกล่าวได้มีการพัฒนาปรับปรุงต่อเนื่องจนเกิดรุ่นใหม่เป็น Mark VII ในปี 1990 กับรุ่นล่าสุด Mark XIX ในปี 1995 ซึ่งเข้ามาทดแทนรุ่น Mark I ที่ผลิตในปี 1982 อย่างถาวร
ด้วยหน้าตาของ Desert Eagle เป็นปืนพกที่มีขนาดใหญ่ ดูน่าเกรงขาม มีความแตกต่างจากปืนพกทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ปืนดังกล่าวนิยมถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์แอ็กชันฮีโร่ แล้วกลายเป็นปืน Pop Culture ในวงการหนัง Hollywood อย่างรวดเร็ว
Desert Eagle ปืนที่สวยแต่รูป แต่อาจจูบไม่ค่อยหอม
แม้ Desert Eagle ได้รับความนิยมถูกใช้เป็น Prop ในภาพยนตร์ แต่ในชีวิตจริง ปืนดังกล่าวไม่เคยถูกใช้เป็นอาวุธประจำกองกำลังทหารหรือหน่วยรบพิเศษในประเทศไหนเลย
สาเหตุหลักที่ Desert Eagle ไม่ได้รับความนิยมในโลกแห่งความเป็นจริง เพราะปืนมีราคาขายแพงมาก ซึ่งถ้าหากเปรียบเทียบแบบเข้าใจง่ายที่สุด Desert Eagle ก็คงคล้ายกับรถ Rolls-Royce ที่ผู้ซื้อสามารถเลือกได้ว่าต้องการปืนรูปแบบไหน
ปืน Desert Eagle (เฉพาะรุ่น XIX) มีสีให้เลือกมากมาย ตั้งแต่สีดำเรียบง่าย จนถึงสีคุณภาพระดับพรีเมียม อย่างการเคลือบโครเมียมขัดเงา เคลือบทองไททาเนียม หรือหากยังไม่ไฉไลมากพอ ก็สามารถตกแต่งลวดลายเพิ่มเติมเป็นลายพรางเสือ “Tiger Stripe” นอกจากนี้ ผู้ซื้อเลือกได้ว่าอยากให้ Desert Eagle ของคุณ รองรับการใช้กระสุนประเภทไหนระหว่าง .357 Magnum (บรรจุ 9 นัด), .44 Magnum (บรรจุ 8 นัด) หรือ .50 AE (บรรจุ 7 นัด)
หรือถ้าหากคิดว่า Desert Eagle ของคุณยังไม่แม่นยำมากพอ ก็สามารถอัปเกรดลำกล้องปืนให้ยาวขึ้นจากเดิม 6 นิ้ว ให้กลายเป็น 10 นิ้วได้ หรือสรุปง่าย ๆ ว่า Desert Eagle เป็นปืน Custom Made ซึ่งด้วยกระบวนการสร้างที่หลายขั้นตอน มีความพิถีพิถัน และมีตัวเลือก Custom มากมาย ทำให้ Desert Eagle ไม่ใช่ปืนที่ผลิตออกเป็นจำนวนมาก และมีราคาขายแพงกว่าปืนพกมาตรฐานหลายเท่า
Desert Eagle เคลือบทองไททาเนียม พร้อมติดลาย Tiger Stripe
ด้วยเหตุผลดังกล่าว Desert Eagle จึงเป็นปืนแฟชั่นที่บางคนสั่งซื้อเพื่อเก็บสะสมเป็น Collection ปืนส่วนตัวมากกว่าการใช้งานจริง และทางกองทัพกับหน่วยรบพิเศษเอง ก็ไม่เคยสนใจซื้อปืน Desert Eagle มาลองใช้ประจำการ เพราะตัวอาวุธมีราคาแพงเกินใช่เหตุ
นอกจากนี้ ผู้ใชบางส่วนวิจารณ์ว่าแม้ Desert Eagle มีระบบการทำงานแบบ Gas-Operation ที่ไม่เหมือนกับปืนอื่น แถมมีงานประกอบดีสมกับเป็นปืนสั่งทำ Custom แต่ด้วยแรงดีดเยอะจากการยิงด้วยกระสุน .50 AE จึงทำให้ Desert Eagle เป็นปืนที่ใช้ยาก เล็งเป้าหมายต่อหลังยิง 1 นัดค่อนข้างลำบาก รวมถึงตัวปืนที่มีขนาดใหญ่เกินไป ทำให้ Desert Eagle เป็นปืนระดับ Mediocre จนถึง Avarage ที่สวยแต่รูป จูบไม่หอมนั่นเอง
คาแรคเตอร์ของปืน Desert Eagle ในวิดีโอเกม
เนื่องจาก Desert Eagle กลายเป็นอาวุธปืนพก Pop Culture ที่วัยรุ่นหลายคนต่างรู้จัก และเห็นตามภาพยนตร์แนวแอ็กชันฮีโร่หลายเรื่อง แน่นอนว่าปืนพกตัวนี้ ก็ได้โผล่บนวิดีโอเกมหลายเกม โดยเฉพาะเกมประเภท FPS
Counter-Strike 1.6 อาจเป็นเกมแรกที่ทำให้พวกเรา เข้าใจประสิทธิภาพของ Desert Eagle ว่ามันเป็นปืนพกอานุภาพรุนแรง กับมีความแม่นยำสูง โดยชาว CS หลายคน มักเลือกใช้ปืนนี้เป็นอาวุธสำรองไว้ใช้สำหรับป้องกันตัวเอง เมื่อยามปืนหลักกระสุนหมด รวมถึงเพลเยอร์บางคนอาจจะใช้ Desert Eagle แทนอาวุธหลักไปเลย
นอกจากนี้ เนื่องจากในภาพยนตร์แอ็กชัน ปืน Desert Eagle มักใช้โดยตัวละครที่มีอิทธิพลมืด หัวหน้าแก๊งสเตอร์ หรือผู้ก่อการร้าย ทำให้ปินนี้ชอบปรากฏตัวในเกมแอ็กชัน ไม่ว่าจะเป็น Call of Duty, Grand Theft Auto, Battlefield, Far Cry กับอื่น ๆ อีกหลายเกม โดยคุณสมบัติ Desert Eagle ของแต่ละเกมจะมีลักษณะคล้ายกัน คือมันเป็นปืนพกขนาดมหึมา ที่มีพลังทำลายล้าง กับมีความแม่นยำค่อนข้างสูงเหมือนปืนลูกโม่
แม้ Desert Eagle ในชีวิตจริงจะไม่ได้รับความนิยม เนื่องจากมันมีราคาขายแพง กับ Overpower เกินจนใช้งานลำบาก แต่ต้องขอบคุณสื่อบันเทิงภาพยนตร์และวิดีโอเกม ที่ช่วยให้ Desert Eagle จากปืนเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม กลายเป็นปืน Pop Culture ที่เกมเมอร์กับแฟนหนังแอ็กชันหลายคนหลงรักจนถึงทุกวันนี้
แหล่งที่มา: Nationalinterest