“God Hand” เป็นชื่อที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินมาก่อนว่าเป็นเกมแอ็คชันมันเดือดในสมัย PlayStation 2 ที่ถูกอกถูกใจสำหรับเหล่าเกมเมอร์
แต่แม้หลายคนในบ้านเราจะรู้จัก God Hand แต่รู้หาไม่ว่าเกมดังกล่าวนั้น พัฒนาโดยฝีมือ Shinji Mikami หรือผู้ให้กำเนิดตำนาน Resident Evil รวมถึงถือเป็น Cult Classic ที่เกมมีคะแนนรีวิวดี แต่สวนทางกับยอดขายที่ตกต่ำ จน Capcom ต้องสั่งปิดทีมพัฒนาเกมไปในที่สุด
ต้นกำเนิดของเกมหัตถ์เทวะ God Hand
ปี 2006 เป็นช่วงที่เกมแอ็คชัน-ผจญภัย Open-World กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม เกม Beat’em Up ซึ่งเคยเป็นแนวเกมที่เห็นได้บ่อยตามเกมตู้อาร์เคด และเกมยุค 1990 กลับมีความนิยมลดลงอย่างต่อเนื่อง
ในตอนนั้น Shinji Mikami ผู้กำเนิดเกมตระกูล Resident Evil และโปรดิวเซอร์ Atsushi Inaba ได้มีการเปิดวงสนทนา แสดงความคิดเห็นว่าเกมแอ็คชันสมัยนั้น มีแต่ตัวละครถืออาวุธไม้เบสบอส ไม้กอล์ฟ และปืน เพื่อใช้ต่อสู้กับศัตรู และการต่อสู้ด้วยมือเปล่า กลับไม่ได้รับความนิยมเหมือนในอดีต ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้ทั้งสองคนสามารถคิดไอเดีย แล้วตัดสินใจพัฒนาเกมที่มีชื่อว่า “God Hand” เกมแอ็กชันที่มีการต่อสู้ด้วยมือเปล่า ตามแนวคิดของเกม Beat’em Up เหมือนเกมตระกูล Yakuza และ Kunio (River City)
Shinji Mikami
ตอนแรก God Hand เป็นเกม “ฮาร์ดคอร์แอ็คชัน” ที่มีเนื้อเรื่องซีเรียสจริงจัง แต่หลังจากเกมดังกล่าว ได้เปิดตัวในงาน E3 2006 พร้อมกับ Trailer แนวตลกขำขัน ซึ่งมีกระแสตอบรับเป็นที่ฮือฮาให้กับผู้ชม ทำให้ Mikami ตัดสินใจโล๊ะทิ้งไอเดียการสร้างเกมเนื้อเรื่องซีเรียส กลายเป็นเกมเนื้อหาคอเมดี้ไร้แก่นสาร และมีแอ็คชันเท่ ๆ บ้าบิ่นตามสไตล์อนิเมะคลาสสิกจากยุค 1980 แทน
และในที่สุด เกม God Hand ออกวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในปี 2006 เฉพาะในระบบ PlayStation 2 เท่านั้น และทุกวันนี้ เกมดังกล่าวได้รับกล่าวขานว่าเป็น Cult Classic ที่ควรหามาเล่นสักครั้งหนึ่งในชีวิต
God Hand เป็นเกมเกี่ยวกับการซัดทุกคนให้ร่วง
ในเนื้อเรื่อง God Hand ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Gene นักต่อสู้วัย 23 ปีที่สูญเสียแขนไปหนึ่งข้าง ระหว่างต่อสู้กับเหล่าโจร เพื่อปกป้องหญิงสาวปริศนานามว่า Olivia ซึ่งเป็นทายาทผู้ครอบครอง “God Hand” หรือหัตถ์เทวะที่ไว้ใช้สำหรับปราบเหล่า Demon
Gene ได้รับแขนข้างใหม่เป็น God Hand จาก Olivia โดยบังเอิญระหว่างต่อสู้กับโจร แต่อย่างไรก็ตาม เขาจะต้องตอบแทนและปกป้อง Olivia ด้วยการปราบเหล่าโจรที่หวังเข้ามาทำร้ายเธอ และ Demon ที่คิดจะครองโลกให้หมดไป
เนื้อเรื่อง God Hand จะเป็นแนว “ฝ่ายธรรมะปะทะกับอธรรม” ซึ่งเป็นไอเดียสตอรี่ที่ค่อนข้างเรียบง่าย เบสิก และเห็นได้บ่อยตามเกมหรือภาพยนตร์แนวแอ็คชัน แต่อย่างไรก็ตาม ตลอดการดำเนินเนื้อเรื่องได้มีการสอดแทรกฉากตลกขำขัน ฉากต่อสู้ที่เวอร์วัง และคอเมดี้สุดบ้าบอที่หาความสมเหตุสมผลไม่ได้ (อันนี้กล่าวชื่นชมนะ) ทำให้ God Hand เป็นเกมที่เต็มไปด้วย “มีม” สร้างเสียงหัวเราะให้เกมเมอร์ได้เกือบทุกคน
และแน่นอนว่าฟีเจอร์ทีเด็ดของเกมนี้ อย่างไรก็ไม่มีทางหนีพ้น ระบบการต่อสู้ด้วยมือเปล่าที่เล่นง่าย แต่ต้องใช้เวลาเรียนรู้เป็นเวลานานถึงจะเป็น “มาสเตอร์” ของเกมนี้ได้
God Hand มีระบบสุดเอกลักษณ์ที่เกม Beat’em Up เกมอื่นไม่มีในยุคนั้น คือผู้เล่นสามารถปรับแต่งคอมโบท่าต่อสู้ได้อย่างอิสรเสรีผ่านหน้าต่างเมนู ให้เกมเมอร์ลองหยิบท่าต่อสู้ต่าง ๆ มาประยุกต์ผสมผสานกันจนกลายเป็นคอมโมท่าต่อสู้ใหม่ ที่ตรงกับสไตล์การเล่นเกมของแต่ละคน
นอกจากนี้ God Hand มี Dynamic Difficulty ที่ตัวเกมมีการปรับระดับความท้าทายให้ง่ายหรือยากขึ้น โดยวัดจากฝีมือการเล่นเกมของผู้เล่น ซึ่งหากเราโจมตีศัตรู, หลบการโจมตี หรือกำจัดศัตรูได้มากเท่าไหร่ เลเวลความยากของเกมก็จะยิ่งสะสมเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น โดยเลเวลความยากสูงสุดของเกมนี้คือ “Level Die” ซึ่งเป็นระดับความยากที่ศัตรูเริ่มโจมตีใส่ผู้เล่นแบบไม่มีจังหวะตายตัว เริ่มมีใช้ท่าโจมตีประหลาด และบุกเข้าจู่โจมแบบไม่หยุดพัก โดยเกมเมอร์สามารถลดระดับความยากลงได้ ด้วยการขายศักดิ์ศรีลูกผู้ชายตัวเอง จากการใช้สกิลนั่งคุกเข่า กราบศัตรูลงกับพื้น เพียงเท่านี้ ความยากของเกมก็จะลดลงหรือง่ายขึ้นโดยทันที
ระหว่างการเดินทาง จะมีไอเทมการ์ดให้ผู้เล่นสามารถเก็บขึ้นมา (และเก็บสะสมได้) เพื่อใช้ Roulette Wheel หรือสกิลท่าพิเศษ เช่น Ball Buster การเตะ “น้องชาย” ของศัตรูจนติด Stunt ชั่วระยะเวลาหนึ่ง, 100 Fists การเข้าโจมตีอย่างรวดเร็ว 100 คอมโบ, Dragon Kick การเตะศัตรูอย่างรุนแรง จนลำตัวออกนอกจากอวกาศ และมีสกิลอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ผู้เล่นสามารถตกแต่งเลือกใช้ได้ผ่านหน้าต่างเมนู
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมด ทำให้ God Hand เป็นเกมที่มีระบบการต่อสู้สะใจ ดุเดือดรวดเร็ว (Fast-Paced) ซึ่งเกมเมอร์หลายคน ไม่ปฏิเสธว่าการต่อสู้เป็นฟีเจอร์ที่ดีที่สุดแล้วสำหรับเกมนี้
เกมดีที่ประสบความล้มเหลว
God Hand ไม่ใช่เป็นผลงานระดับ Masterpiece หรือเกมยอดเยี่ยมระดับ 9 คะแนน เพราะตัวเกมยังมีจุดบกพร่อง ที่ทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมโดยรวมยังมี “ติด ๆ ขัด ๆ” หลายอย่าง ตั้งแต่การควบคุมแบบ Tank Control คล้าย Resident Evil 4 ที่ต้องใช้เวลาเล่นค่อนข้างนาน กว่าจะปรับตัวให้เข้ากับการเล่นเกมนี้ได้, มีระบบมุมกล้องแย่ ที่ส่งผลทำให้เราโดนลอบโจมตีจากด้านหลังได้ง่าย, ความยากของเกมไม่แฟร์เป็นบางครั้ง, การออกแบบด่านต่อสู้ มีคุณภาพค่อนข้างธรรมดา ขาดความซับซ้อน และเนื้อเรื่องอาจไม่ถูกปากสำหรับเกมเมอร์บางคน
แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยข้อดีในด้านระบบการต่อสู้เล่นง่าย แต่มีรายละเอียดซับซ้อน เนื้อเรื่องตลกบ้าบอแบบไร้แก่นสาร และภาพกราฟิกจัดว่าไม่ขี้เหร่ไปกว่าเกมอื่นในช่วงปลายเจเนอเรชัน PlayStation 2 ทำให้ God Hand เป็นเกมที่เต็มไปด้วยเสน่ห์
แต่น่าเสียดาย เนื่องจากเกม God Hand ทำยอดขายได้ย่ำแย่ (บางคนกล่าวโทษสื่อแห่งหนึ่งที่ขึ้นต้นด้วย I ลงท้ายด้วย N ว่าเป็นต้นเหตุทำให้เกมดังกล่าวขายแย่ ด้วยการให้คะแนนรีวิวเพียง 3 เต็ม 10 คะแนน) ทำให้ทีมพัฒนาเกม Clover Studio ต้องปิดตัวลงในปี 2007 และพนักงานเก่าส่วนใหญ่ มีการรวมตัวก่อตั้งบริษัทเกมใหม่ในปี 2010 ชื่อว่า PlatinumGames ซึ่งตอนนี้กลายเป็นสตูดิโอเกมที่มีชื่อเสียงด้านการสร้างเกมแอ็คชัน
อย่างไรก็ตาม แม้ God Hand ประสบความล้มเหลวในด้านยอดขาย แต่เนื่องจากตัวเกมเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่เกมอื่นไม่มี และไม่ใช่เกมที่เข้าข่ายว่าเป็น “So Bad That Good” เหมือน Deadly Premonition ทำให้เกมดังกล่าวกลายเป็นหนึ่งใน Cult Classic โด่งดังที่มีแฟน ๆ หลายคนติดตาม และพวกเขาใฝ่ฝันว่าอาจจะได้เห็นเกม God Hand ภาคใหม่ หรือภาครีมาสเตอร์/รีเมคใน PC และเกมคอนโซลยุคใหม่ในอนาคต