JoJo’s Bizarre Adventure หรือ โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ เป็นมังงะญี่ปุ่นที่ดำเนินเนื้อเรื่องมานานเกินทศวรรษ ด้วยเนื้อหาที่สนุกเมามันกับท่าโพสต์กับฉากแอ็กชันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงทำให้ JoJo ถูกดัดแปลงเป็นอนิเมะฉายโทรทัศน์ และกลายเป็นอินเทอร์เน็ตมีมอันโด่งดังจนถูกจิตถูกใจคนทั่วโลก
แต่รู้หาไม่ ? ผู้พัฒนาเกมหลายคนได้นำ JoJo’s Bizarre Adventure มาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบเกม และ Easter Egg ขำ ๆ กันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แล้วจะมีเกมอะไรบ้างที่มี JoJo Reference ก็สามารถรับชมได้ที่บทความนี้เลยครับ
Yakuza 0
ใหลังจาก Goro Majima ปราบบอสลับ Jo Amon ได้สำเร็จ จากนั้น Majima จะกล่าวว่าการต่อสู้กับ Jo เป็นโมเมนต์ที่ “แปลกประหลาด” มาก ตั้งแต่ที่เขาต่อยตีกับแก๊งยากูซ่ามาตลอดทั้งชีวิต
คำว่า “แปลกประหลาด” ของ Yakuza 0 มีการแปล Localized เป็นภาษาอังกฤษว่า “Bizarre Adventure” ซึ่งตรงกับชื่อไตเติลของเรื่อง “Jojo’s Bizarre Adventure” พอดี จึงมีความเป็นไปได้ทีมงาน SEGA อเมริกา อาจพยายามได้ใส่ JoJo Reference ในเกมนี้ ?
Dark Souls
Dark Souls 2 มีบอสใหญ่ตนหนึ่งที่มีชื่อว่า Executioner’s Chariot ซึ่งแม้ว่าการออกแบบของบอส จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับ JoJo แม้แต่นิดเดียว แต่เกมเมอร์อาจไม่รู้มาก่อนว่าเคยมีชื่อเก่าว่า Silver Chariot ในช่วงทดลอง Network Test โดยชื่อดังกล่าวเป็นชื่อสแตนด์ประจำตัวของ Jean Pierre Polnareff
นอกจากนี้ บอสของ Dark Souls 3 อย่าง High Lord Wornir ก็มีเกมเมอร์หลายคนสันนิษฐานว่าการออกแบบบอส ได้อ้างอิงมาจาก JoJo เพราะรูปร่างกับความสามารถในการปล่อยหมอกควันนั้น คล้ายคลึงกับ Justice ซึ่งเป็นสแตนด์ของ Enya Geil มาก
Castlevania
Castlevania เป็นแฟรนไชส์เกมแอ็คชันล่าแวมไพร์ที่อยู่คู่กับ Konami มานานแสนนาน แต่เกมเมอร์อาจไม่รู้มาก่อนว่า Castlevania ทุกภาค ก็อาจแอบใส่ JoJo Reference มามากมาย มีดังนี้
- ภาค Symphony of the Night และ Curse of Darkness จะมีไอเท็มหน้ากากหินชนิดหนึ่งเรียกว่า “Stone Mask” ซึ่งใน JoJo หน้ากากนั้น ทำให้ Dio Brando ได้กลายเป็นแวมไพร์ในที่สุด
- ภาค Aria of Sorrow และ Harmony of Dissonance ถ้าหากผู้เล่นใช้สกิล Sacred Fist จะมีร่างจิตวิญญาณปรากฏตัวขึ้น แล้วปล่อยหมัดรัว ๆ พร้อมตะโกน “โอร่า! โอร่า! โอร่า!” ซึ่งล้อเลียนจากท่าปล่อยหมัดของ Star Platinum
- ภาค Dawn of Sorrow เกมเมอร์จะต้องปะทะกับบอส Zephyr ซึ่งบอสนี้มีความสามารถในการหยุดเวลา (Za Warudo) และโจมตีด้วยการปามีดคล้ายกับ Dio
Bloodstained: Rituals of the Night
เกมจากผู้ให้กำเนิดเกมซีรีส์ Castlevania หันมาสร้างเกมใหม่อย่าง Bloodstained: Rituals of the Night ที่จะเป็นเกมช่วยสานต่อเจตนารมณ์ของ Castlevania (เพราะ Konami ไม่ยอมอนุมัติให้สร้างซะที) ซึ่งแน่นอนว่าผู้สร้างยังคงใส่ JoJo Reference มาใส่ในเกม เพื่อสร้างสีสันให้เหล่าเกมเมอร์แปลกใจเล็กน้อย ด้วยการเพิ่ม Stone Mask ให้เกมเมอร์ได้ลองเป็นแวมไพร์เหมือนกับ Dio
Team Fortress 2
ทุก ๆ การอัปเดตของ Team Fortress 2 ทางทีมงาน Valve จะคัดเลือกไอเท็มเสื้อผ้าตัวละครที่สร้างขึ้นโดยเหล่าคอมมูนิตี้ TF2 นำมาใช้เกมจริง โดยแน่นอนว่าเครื่องแต่งกายมีตั้งแต่เท่สะบัด ยันตลกบ้าบอ จึงไม่แปลกใจเท่าไหร่นักที่จะมี JoJo Reference แอบหลงเข้ามาในเกมนี้แบบไม่ทันตั้งตัว
ใน Team Fortress 2 จะมีหมวกชื่อ Starboard Crusader กับชุดชื่อ Tsar Platinum ของคลาส Heavy โดยไอเท็มทั้งสอง ล้อเลียนการแต่งตัวจาก Jotaro Kujo และสแตนด์ Star Platinum
Undertale
Mad Dummy เป็นมินิบอสของเกมที่คล้ายกับ Dio Brando หลายอย่าง ตั้งแต่ลักษณะนิสัย และการโจมตีด้วยการปามีด แต่ JoJo Reference ที่ชัดเจนสุด คงเป็นการตะโกนคำว่า “Futile!” สามครั้ง โดยมีความหมายแปลไทยว่า “เปล่าประโยชน์!” ซึ่งเป็นประโยคเด็ดของ Dio ที่โด่งดังมากจนถูกทำไปใช้เป็นอินเทอร์เน็ตมีม
TEKKEN
Tekken เป็นซีรีส์เกมต่อสู้ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ด้วยตัวละครน่าจดจำ และมีกระบวนท่าต่อสู้มีความซับซ้อน แต่แน่นอนว่า ตัวเกมมีการนำ JoJo Reference เข้ามาแอบแฝงเล็กน้อย อย่างเช่น…
- ทรงผมของ Paul Pheonix ได้รับแรงบันดาลใจจาก Jean Pierre Polnareff โดยข้อมูลดังกล่าวยืนยันจากคุณ Katsuhiro Harada ผู้กำกับเกม Tekken
- ถุงมือของ Kazuya Kazama และ Jin Kazama มีลักษณะคล้ายกับถุงมือของ Star Platinum
Street Fighter
จะบอกเคสนี้คล้ายกับซีรีส์ Tekken เลยก็ว่าได้ เพราะการออกแบบตัวละครของ Street Fighter ได้ใช้ JoJo Reference บางส่วนในการออกแบบตัวละครอยู่มิใช่น้อย โดยมีรายชื่อดังนี้
- Guile ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Jean Pierre Polnareff โดยข้อมูลดังกล่าว ยืนยันจาก ฝ่ายโปรดิวเซอร์ของ Street Fighter นาย Noritaka Funamizu
Juri อาจได้แรงบันดาลใจมาจาก Jolyne Kujo รวมถึงบางครั้ง ถ้าหากใช้ท่า Fuharenjin ตัวละครจะตะโกนว่า “โอร่า! โอร่า! โอร่า!”
- Rose อาจได้แรงบันดาลใจมาจาก Lisa Lisa เนื่องจากทั้งคู่มีสไตล์การต่อสู้ และการออกแบบที่คล้ายคลึงกัน
Persona 5
ระหว่างชั่วโมงคราบเรียน บางครั้งครูตั้งคำถามต่อเกมเมอร์ว่า “ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่เหมือนอยู่ภาวะเวลาหยุดเคลื่อนที่ มีชื่อว่าอะไร ?” โดยตัวเกมจะมีให้เลือกตอบเป็น “The World” ซึ่งคำว่า The World (หรือ Za Warudo) เป็นชื่อทักษะพิเศษของ Dio Brando ที่สามารถหยุดเวลาได้