เนื่องจากหูฟังสำหรับเล่นเกมในท้องตลาด มีราคาขายที่หลากหลายระดับ และมีแบรนด์ให้เลือกใช้มากมาย ทำให้เกมเมอร์หลายคนอาจจะตัดสินใจซื้อหูฟังไม่ได้สักที เพราะมีตัวเลือกที่เยอะมากจนเกินไป แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากผู้ใช้เข้าใจฟีเจอร์ หรือลักษณะของ Gaming Headphone ที่ดี ก็อาจจะช่วยสามารถซื้อหูฟังได้ง่ายขึ้น
และนี่คือไกด์สำหรับการเลือกซื้อ Gaming Headphone แล้วจะเป็นอย่างไรไปรับชมได้เลย
ความสบายในการสวมใส่
สิ่งที่หลายคนอาจจะนึกถึงเป็นอย่างแรกระหว่างเลือกซื้อ Gaming Headphone ก็คือความสบายในการสวมใส่ เพราะหูฟังยิ่งใส่สบายเท่าไหร่ก็จะสามารถใช้งานติดต่อเป็นนานหลายชั่วโมง โดยไม่มีอาการบีบหูมากจนเกินไป
โดยความสบายระหว่างสวมใส่หูฟังนั้น จะขึ้นอยู่กับการออกแบบหูฟังได้มีความยืดหยุ่นมากน้อยแค่ไหน ซึ่งหูฟังบางตัวอาจจะไม่สามารถปรับความยืดหยุ่นได้เลย เช่น การเลื่อนตัวหูฟังขึ้นและลง หรือปรับการบีบของหูฟัง ซึ่งส่งผลทำให้เกิดอาการบีบหูตามมาได้ หลังใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน รวมถึงหูฟังบางรุ่นใช้วัสดุฟองน้ำคุณภาพระดับพรีเมียม ที่ทำให้การสวมใส่นุ่มสบายกว่าหูฟังเกมมิ่งตัวอื่นทั่วไป
ฉะนั้นระหว่างการตัดสินใจเลือกซื้อ Gaming Headphone เราแนะนำให้ทดลองสวมใส่นานประมาณ 10 นาที หรือดูความยืดหยุ่นของหูฟังก่อนซื้อใช้งานจริง เพราะเราจะไม่มีทางทราบเลยว่าหูฟังที่ซื้อมาจะใส่สบายขนาดไหน นอกจากต้องสวมใส่จริง ๆ เป็นครั้งแรก
หูฟังมีสายหรือไร้สายใช้งานได้หมด
เกมเมอร์หลายคนอาจจะเข้าใจมาโดยตลอดว่า หูฟังเกมมิ่งแบบไร้สายใช้งานไม่ดีเท่าหูฟังแบบมีสาย เพราะไม่มีความเสถียร, สัญญาณติด ๆ ดับ ๆ หลายครั้ง และคุณภาพเสียงไม่สู้เท่ากับหูฟังแบบมีสาย
แต่หลังจากเทคโนโลยีหูฟังไร้สายมีการพัฒนามาเรื่อย ๆ มาตลอด 2-3 ปี จนมีหูฟัง True Wireless หลายรุ่นเริ่มขายในราคาที่จับต้องได้ ก็ต้องบอกเลยว่าตอนนี้สามารถไว้ใจหูฟังเกมมิ่งแบบไร้สายได้แล้ว ไม่ว่าจะความเสถียรของสัญญาณ คุณภาพเสียง และอาการดีเลย์ ล้วนได้รับการปรับปรุงดีกว่าเก่าในทุกด้าน
การใช้หูฟังเกมมิ่งแบบไร้สายและแบบมีสายก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป โดยหูฟังแบบมีสายจะใช้งานง่าย เพียงแค่นำสายแจ็ก 3.5mm เสียบกับคอมพิวเตอร์ก็สามารถใช้งานได้ทันที แต่การเก็บรักษาอาจจะยากกว่าหูฟังไร้สาย และสายที่รุงรังอาจสร้างความรำคาญระหว่างการเล่นเกมแทน ส่วนหูฟังแบบไร้สายจะเก็บรักษาง่าย ดูหรูหรา แต่จะมีราคาแพง ต้องชาร์จแบตเตอรี่ก่อนใช้งาน และซ่อมแซมยากกว่าหูฟังแบบมีสาย ซึ่งผู้ใช้ชื่นชอบหูฟังแบบไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์หรือความต้องการของแต่ละคน
การแยกเสียง และฟีเจอร์ EQ คือสิ่งสำคัญสำหรับ Gaming Headphone
หูฟัง Gaming Headphone ที่ดี เสียงของหูฟังจะต้องมีการจูน Imaging สามารถแยกรายละเอียดฝีเท้าจากหลายทิศทางในเกมได้ และมีเวทีเสียงช่วยให้ถ่ายทอดเสียงไปได้กว้างหรือลึกที่สุด
นอกจากนี้ ในหูฟังราคาทุกระดับ (ส่วนใหญ่เป็นราคาปานกลางจนถึงราคาสูง) จะมีตัวเลือกการปรับ EQ ที่ช่วยเปลี่ยนแนวเสียงให้แตกต่างจากเดิม โดยผู้ใช้สามารถปรับเวทีเสียงให้กว้างขึ้น, เพิ่มโทนเสียงอุ่น, เบสแน่นหนามากขึ้น หรือเปลี่ยนเสียงตาม Preset ที่ตั้งค่าไว้ได้อย่างอิสรเสรี
และที่สำคัญที่สุด เสียงของ Gaming Headphone ไม่จำเป็นจะต้องสามารถฟังเพลงแบบเชิงวิเคราะห์รายละเอียด (Critical Listening) แต่หูฟังเกมมิ่งจะต้องสามารถใช้แยกเสียงระหว่างการเล่นเกม และฟังเพลงอย่างเพลิดเพลินแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
ความแตกต่างระหว่างหูฟัง Open-Back และ Closed-Back
หูฟังแบบปิด (ซ้าย) และหูฟังแบบเปิด (ขวา)
หูฟังเกมมิ่งจะมี 2 ประเภทคล้ายกับหูฟังสำหรับฟังเพลง คือหูฟังแบบเปิด (Open-Back) เช่น Sennheiser GSP 600 , Razer BlackShark, HyperX Cloud และหูฟังแบบปิด (Closed-Back) เช่น Audio-Technica ATH-ADG1X, Sennheiser Game ONE เป็นต้น
หูฟังแบบเปิดจะมีจุดสังเกตตรงบริเวณตัวหูฟังด้านนอกจะมีช่องตะแกรงให้อากาศเข้าไปถ่ายเทในหูฟัง ซึ่งช่วยให้เสียงโปร่งใสเป็นธรรมชาติ, มี Soundstage กว้าง และใส่สบาย แต่เสียงจะถูกเล็ดลอดออกมาจากหูฟัง ในขณะที่หูฟังแบบปิด มีจุดสังเกตตรงบริเวณตัวหูฟังด้านนอกได้ถูกปิดทั้งหมด ส่งผลทำให้เสียงเล็ดลอดออกมาน้อย เบสแน่น มีแรงปะทะ แต่หากใช้เป็นเวลานาน หูของผู้ใช้อาจจะมีอาการอบอ้าว เนื่องจากไม่มีอากาศถ่ายเทเข้าไปในหูฟัง
อย่างไรก็ตาม หูฟังเกมมิ่งส่วนใหญ่จะเป็นหูฟังแบบปิด เนื่องจากสามารถตัดเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดี และให้เสียงเที่ยงตรงกว่าหูฟังแบบเปิด เพราะฉะนั้น ไม่ต้องแปลกใจที่เกมเมอร์จะไม่ค่อยพบหูฟังสำหรับเล่นเกมแบบเปิดบนท้องตลาดสักเท่าไหร่นัก แต่ถ้าหากได้มีโอกาสใช้หูฟังแบบเปิด ก็ควรลองใช้มันสักครั้งเช่นกัน
ราคา
หูฟังเกมมิ่งมีราคาหลายระดับมากตั้งแต่หูฟังราคาหลักร้อย หลักพัน จนถึงหลักหมื่น ซึ่งแน่นอนว่าเกมเมอร์หลายคนที่ตัดสินใจซื้อหูฟังสำหรับการเล่นเกมเป็นครั้งแรก ก็อาจจะงง ๆ กันบ้างว่าหูฟังราคาแพงกับราคาถูกแตกต่างกันมากน้อยแค่ได้
โดยปัจจัยราคาของหูฟังสามารถวัดได้จากองค์ประกอบหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความใส่ใจในการจูนเสียง, ความคงทนและประณีตของผลิตภัณฑ์, คุณภาพวัสดุตั้งแต่ตัวหูฟัง สายหูฟัง จนถึงไดรเวอร์ขับเสียง, ของแถมในกล่อง, ฟีเจอร์การใช้งาน กับภาพลักษณ์แบรนด์ (เคสนี้แรร์มาก ๆ) ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ยิ่งมีความใส่ใจ หรือมีเทคโนโลยีไดรเวอร์ขับเสียงล้ำ ๆ กับฟีเจอร์มากเท่าไหร่ ราคาหูฟังก็จะยิ่งแพงมากขึ้นเท่านั้น
แน่นอนว่าการใช้หูฟังเล่นเกมราคาแพง จะได้รับประสบการณ์การใช้งานที่รู้สึกดี แต่ไม่ใช่ว่าการใช้หูฟังราคาสูงจะดีเสมอไป เพราะเนื่องจากตัววัสดุต่าง ๆ ของหูฟังเป็นคุณภาพระดับพรีเมียม ก็ส่งผลทำให้การหาซื้ออะไหล่ Replacement (เช่น ฟองน้ำหรือสายหูฟัง) หายาก และมีราคาแพงกว่าหูฟังอื่น ๆ ทั่วไป เพราะฉะนั้นการใช้หูฟังราคาถูก หรือราคาระดับปานกลาง ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการใช้หูฟังราคาแพง เพราะมีอะไหล่ Replacement ที่หาซื้อง่าย กับมีราคาสมเหตุสมผลกว่า
สุดท้ายแล้ว หูฟังเกมมิ่งนั้นมีหลายแบรนด์ มีหลายรุ่น มีหลายระดับราคา และหูของแต่ละคนชื่นชอบเสียงที่ไม่เหมือนกัน บางคนชอบเสียงแหลม บางคนก็ชอบเสียงเบสแน่น ทำให้เราจึงไม่สามารถตัดสินใจแทนได้ว่าหูฟังเกมมิ่งตัวไหนดีที่สุด (รวมถึงยืนยันว่าไม่มีหูฟังตัวไหนดีที่สุดในโลกอีกด้วย)
เพราะฉะนั้น ถ้าหากต้องการใช้หูฟังเกมมิ่งคุณภาพดี ๆ และประหยัดเงินด้วยการไม่ต้องซื้อหูฟังเพิ่ม ซื้อครั้งเดียวจบแบบ End-Game เราจึงแนะนำให้ทดลองใช้งานตามร้านค้าขายหูฟังชั้นนำ เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนทุกครั้ง ซึ่งก็หวังว่าบทความนี้จะช่วยเป็นไกด์ให้สามารถตัดสินใจซื้อหูฟังได้ง่ายขึ้นไม่มากก็น้อย