ผู้เล่นทุกคนเข้าใจตรงกันว่าเมาส์เกมมีคุณสมบัติเพื่อใช้สำหรับเล่นเกมเฉพาะ แต่เกมเมอร์บางส่วนยังคงมักเข้าใจผิด คิดว่าเมาส์ที่มีปุ่ม Macro เยอะหรือจับได้พอดีมือที่สุดคือสิ่งที่ ใช่ สำหรับคุณ
แต่เมื่อใช้งานสักพักหนึ่ง ปรากฏว่าความประทับใจจากการใช้งานครั้งแรกไม่หลงเหลืออีกต่อไป เพราะพบปัญหาร้อยแปดมากมายจนต้องทิ้งเมาส์ตัวเก่าแล้วซื้อตัวใหม่แทน ซึ่งเป็นการใช้จ่ายที่เปลืองเงินโดยใช่เหตุจริง ๆ
แล้วมีวิธีใดบ้างที่จะพบเมาส์รักแรกและคงอยู่กับเราตลอดไป ? มาพบกับบทความ วิธีเลือก ‘เมาส์’ ที่ใช่สำหรับเกมเมอร์ จะเป็นการนำเสนอวิธีการเลือกซื้อเมาส์เกมที่เหมาะสำหรับคุณ และคุณจะไม่มีทางหักหลังมันจนกว่าเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา
เข้าใจวิธีการจับเมาส์ของตัวเอง
เกมเมอร์ต่างคิดค้นทฤษฎีการจับเมาส์มากมายมาจากนักเล่นเกมระดับ Esports แต่วิธีการจับมี 3 วิธีหลัก เช่น Palm, Fingertip, Claw
ซึ่งผู้เล่นทุกคนมีลักษณะการจับเมาส์เกมที่ต่างกัน แต่ถ้าหากมองลึก ๆ แล้ว การจับของแต่ละสไตล์ก็ขึ้นอยู่กับขนาดเมาส์เช่นกัน
เช่นการจับแบบ Palm จะใช้งานสะดวกสำหรับเมาส์ขนาดใหญ่ เพราะฝ่ามือของผู้เล่นสามารถจับเมาส์ได้พอดีมือ, Fingertip เหมาะสำหรับเมาส์น้ำหนักเบา เนื่องจากไม่ต้องออกแรงเยอะ และ Claw รูปแบบการวางเมาส์เป็นที่นิยมสำหรับเกมเมอร์สาย FPS ที่ขนาดมือมีความยาวกว่า
ขนาดของมือก็สำคัญไม่แพ้วิธีจับ
ถึงแม้วิธีการจับเมาส์จะสำคัญ แต่ขนาดของฝ่ามือก็เป็นกุญแจหลักในการเลือกซื้อเมาส์เกมเช่นกัน
แต่ไม่ใช่หมายความว่าฝ่ามือใหญ่ แล้วเลือกใช้เมาส์ขนาดโตจะเป็นคำตอบสุดท้าย เพราะความสบายต่อการใช้งานเป็นเรื่องของรสนิยมแต่ละบุคคล และน้ำหนักของเมาส์อาจส่งผลต่อการใช้งานระยะยาวแบบไม่คาดคิด
ฉะนั้นก่อนตัดสินใจซื้อเมาส์เกมตัวหนึ่ง ผู้เล่นควรศึกษาลักษณะการใช้งานหรือลักษณะการจับจากเมาส์ตัวเก่าเพื่อใช้เป็นแนวทางการซื้อ หรือทดลองการใช้งานเบื้องต้นในร้านค้าขายอุปกรณ์เกมก่อน
ซอฟต์แวร์ DPI คือพลังเวทมนตร์
เกมเมอร์หลายคนทราบดีว่าค่าเซตติ้ง DPI หรือ Dot Per Inch มีความสำคัญสำหรับเกมเมอร์ PC อย่างมาก
แต่สำหรับใครที่ไม่ทราบว่าค่า DPI คืออะไร? DPI เป็นคำศัพท์ใช้เรียกความเร็วของเมาส์ ถ้าหากตัวเลข DPI เยอะแค่ไหน เมาส์จะเคลื่อนไหวจากจุด A ไปจุด B เร็วขึ้นเท่านั้น
ในขณะที่เมาส์ธรรมดาต้องปรับค่า DPI ผ่านเมนู Control Panel แต่สำหรับเมาส์เกม สามารถปรับแต่ง DPI ได้อย่างอิสระ ผ่านซอฟต์แวร์พิเศษที่มาพร้อมกับเมาส์
นอกจากจะสามารถปรับแต่งค่า DPI ตามต้องการแล้ว ถ้าหากเมาส์เกมของคุณมีปุ่ม Macro ไม่ว่าจะปุ่มเลข 1, 2, 3 หรือมากกว่านั้น ผู้ใช้สามารถบันทึกค่า DPI เป็นชุดต่าง ๆ เพื่อเกมเมอร์ปรับเปลี่ยนค่า DPI ได้สะดวกทุกเวลา ซึ่งเมาส์บางรุ่นอาจจะมีปุ่มปรับเปลี่ยน DPI สำเร็จรูปอีกด้วย
ประเภทของเมาส์เกมก็มีด้วยนะ !
เมาส์เกมแต่ละประเภท มีจุดประสงค์หรือคุณสมบัติโดยรวมแตกต่างกัน เกมเมอร์หลายคนอาจเข้าใจว่าเมาส์ที่มีปุ่ม Macro เยอะจะยิ่งมีคุณภาพสูงเท่านั้น ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่เลย ทุกการออกแบบล้วนมีความหมายและเจาะจงกลุ่มตลาดที่แตกต่างกัน
เมาส์แต่ละประเภทมีอะไรบ้าง สามารถแยกออกได้ดังนี้
เมาส์สำหรับ Shooter / FPS / TPS
ลักษณะของเมาส์ประเภทนี้ จะมีน้ำหนักเบา, เรียบง่าย และไม่ค่อยมีปุ่มเสริมนอกเหนือจากปุ่ม DPI เพื่อทำให้เมาส์เบาหรือสมดุลมากที่สุด เหมาะสำหรับเกม FPS / TPS หรือเกมยิงต่าง ๆ
รูปร่างอาจไม่ต่างจากเมาส์ทั่วไป เพราะปุ่มที่ใช้งานเป็นหลักยังคงเป็นคลิกปุ่มซ้าย/ขวา แต่มีการตกแต่งให้ดูมีคลาสเหมือนกับรถยนต์แบรนด์ Mercedes-Benz เพื่อให้สะดุดตายิ่งขึ้น
ตัวอย่างเมาส์สำหรับคอเกม Shooter / FPS / TPS เช่น SteelSeries Rival 110, Rival 310, 710, Razer DeathAdder, Razer Basilisk, Logitech G403 จนถึง G502
เมาส์สำหรับ MOBA / MMORPG
เนื่องจากเกมทั้งสองประเภท จำเป็นต้องใช้สกิลของเกมอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้เล่นเกมสาย MOBA / MMORPG จำเป็นต้องใช้ปุ่มเยอะเป็นพิเศษ ฉะนั้นเมาส์ที่มีปุ่ม Macro จำนวนมาก จึงเหมาะสมที่สุดสำหรับเกมเมอร์สายนี้ ซึ่งนอกจากสามารถเพิ่มความสะดวกสบายในการเล่นแล้ว ยังช่วยให้ผู้เล่นได้เปรียบกับการเล่นมากขึ้น
ตัวอย่างเมาส์สำหรับคอเกม MOBA / MMORPG เช่น Logitech G600, Razer Naga Trinity, Corsair Scimitar, และ SteelSeries Rival 500
เมาส์สำหรับคนถนัดมือซ้าย หรือทั้งสองมือ
เพราะมนุษย์ไม่ได้เกิดมาถนัดมือขวาหมดทุกคน เมาส์ประเภทนี้จึงออกแบบพิเศษสำหรับเกมเมอร์ที่ถนัดทั้งสองมือ ไม่ว่าผู้เล่นจะถนัดมือซ้ายหรือมือขวา ล้วนสามารถใช้งานเมาส์เหล่านี้ได้อย่างสะดวกสบาย
ตัวอย่างเมาส์สำหรับคนถนัดมือซ้าย หรือทั้งสองมือ เช่น Razer Lancehead Tournament Edition, the Razer Taipan, the Logitech G900 Chaos Spectrum, the Katar Corsair, หรือ SteelSeries Sensei 310
เมาส์มีสายหรือไร้สายดีกว่า ?
หนึ่งในปัญหาโลกแตกสำหรับหมู่คนเกมมักถกเถียงเป็นประจำว่า เมาส์ไร้สายไม่เหมาะสำหรับเล่นเกม หรือเมาส์ไร้สายไม่ทนทาน เสียง่าย ซึ่งต้องบอกเลยว่า ไม่เป็นความจริง
เพราะผู้เขียนสอบถามคนในทีมงาน GamingDose ผู้ใช้เมาส์ไร้สายรุ่น Logitech G603 แล้วกล่าวถึงประสบการณ์หลังการใช้งานพบว่า สามารถเล่นเกมโดยไม่มีอาการสะดุดหรือดีเลย์ใด ๆ ทั้งสิ้น
แต่เนื่องจากเมาส์ไร้สายมีราคาแพง และเป็นฟีเจอร์ที่ไม่ได้ช่วยส่งเสริมให้เล่นเกมเก่งขึ้น ฉะนั้นเกมเมอร์จะเลือกใช้เมาส์ไร้สายหรือมีสายดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจหรือรสนิยมการเล่นเกมของแต่ละคน แต่สำหรับผู้เขียน ผมขอใช้เมาส์แบบมีสายต่อไป เพราะเป็นความเคยชินส่วนตัวไปแล้ว
เมาส์ประเภท Hybrid
Hybrid เป็นเมาส์อเนกประสงค์ฉบับเกมเมอร์ เพราะครอบคลุมทุกการเล่นเกมทุกประเภท ไม่ว่าจะเกม FPS, MOBA, MMORPG หรืออื่น ๆ สามารถใช้งานได้จบภายในตัวเดียว และมีทั้งแบบไร้สายและมีสายให้เลือกใช้
ตัวอย่างเมาส์ Hybrid เช่น Razer Naga Hex V2, SteelSeries Rival 700, Logitech G602, Logitech G700, Razer Orochi, และ Razer Ouroboros
เมาส์ราคาแพง อาจไม่ใช้เมาส์ดีที่สุด
เมาส์เกมจะมีราคาหลายระดับ ตั้งแต่รุ่นราคาถูกเพียง 1,000 บาทต้น ๆ ไปจนถึงรุ่นระดับท็อปราคา 6,000 บาท ซึ่งเมาส์รุ่นแพงส่วนใหญ่อาจมีฟีเจอร์ที่แปลกแหวกแนวต่างจากรุ่นอื่น ซึ่งอาจไม่ค่อยจำเป็นต่อการเล่นเกมเท่าไหร่นัก แตกต่างจากเมาส์รุ่นเก่าที่มีราคาถูกว่า แต่ครอบคลุมทุกการใช้งานของผู้เล่นเบื้องต้นอย่างแน่นอน
สุดท้าย ผู้เขียนไม่ได้บังคับว่าผู้เล่นจะต้องใช้จ่ายอย่างไร แต่การเลือกใช้เมาส์ที่เหมาะสมกับตนเองต้องการ และใช้งานคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไป ย่อมดีกว่าจ่ายเงินซื้อเมาส์ราคาแพงแต่ใช้ไม่ครบครันจนรู้สึกเสียดายเงินครับ