ผู้เขียนเชื่อว่าในความทรงจำของเกมเ มอร์ทุกคน ล้วนมีเกมในดวงใจที่แม้กาลเวลาผ่านไปกี่ปี ก็ยังคงเป็นเกมโปรดตลอดกาลที่มักใช้เวลาว่างย้อนกลับมาเล่นอีกครั้งอยู่เสมอ ซึ่งแน่นอนว่าทีม GamingDose ก็มีเกมที่มีความผูกพันกันช่วงวัยรุ่นจนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เช่นกัน แล้วทีมงานจะมีเกมอะไรบ้าง เรามาสอบถามสมาชิกแบบใกล้ชิดกันดีกว่า
Splinter Cell: Conviction – Gene ( Founder / Project Manager)
เหตุผล: ชอบอ่าว โทษเอาจริง ๆ แล้วเกมเดียวที่ผมย้อนกลับมาเล่นซ้ำก็คือตระกูลเกม Splinter Cell แต่ถ้าวัดกันในตระกูลเดียวกันนี้ ภาค Conviction เป็นภาคที่ผมเล่นเยอะที่สุด เนื่องจากมันเป็นภาคที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นจากภาค Double Agent เข้าสู่ยุคใหม่ของ Sam Fisher สายลับระดับพระกาฬอย่างแท้จริง
ด้วยรูปแบบการเล่นที่ลื่นไหล พลิ้วไหวและมีความคล่องตัวสูง แต่ยังคงความเป็นเกมลอบเร้นได้เป็นอย่างดี ทำให้ผมมักจะหยิบมันกลับมาเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งเล่นเพื่อเอาเนื้อเรื่อง เล่นเพื่อเอาความสะใจฆ่าทุกตัวที่เห็น เล่นแบบลอบเร้นไม่ให้ใครเห็น เล่นซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่มีเบื่อ
Overwatch – Jokeboy ( Co-Founder / Editor in Chief)
เป็นเกม Multiplayer ที่ผมย้อนกลับมาเล่นอยู่เสมอ เวลาที่ว่าง แม้ภายหลังตัวเกมจะถูกติในเรื่องของการอัปเดตเนื้อเรื่องหรือเนื้อหาการเล่นที่ค่อนข้างช้า ไปจนถึง META ของเกมที่ยังวนเวียนอยู่กับแผนการเล่นแบบ GOAT (ล่าสุดนำระบบ Role Lock มาใช้แล้ว) แต่สำหรับผมแล้ว Overwatch ถือเป็นเกมยิงแบบทีมที่เล่นสนุก ด้วยตัวละครที่หลากหลาย เกมการเล่นที่รวดเร็วเร้าใจ และตัวเกมก็มีอัปเดตใหม่ ๆ เป็นระยะ
Turtle Odyssey – Mark (Content Writer)
เป็นเกมที่เล่นครั้งแรกบนแผ่น Popcap ของเถื่อนที่ช่างลงโปรแกรมมาไว้ให้ ใช้เวลาเล่นหลายภาคมากสมัยก่อน เพราะมันเป็น Platformer ที่เล่นง่าย ไม่ต้องคิดอะไรมาก ตัวละครน่ารัก เพลงประกอบชิลล์ ๆ ไม่ค่อยซีเรียสเท่าไหร่
พักหลัง ๆ ช่วงที่ทำงานแล้ว เกมนี้จะเป็นเหมือนจุดพัก เอาไว้ใช้เวลาที่เราไม่อยากจะทำงาน ไม่อยากจะเปิดเกมอะไรที่หนัก ๆ อยากแค่ขยับนิ้วไปเรื่อย ๆ ก็จะเปิดเกมนี้มานั่งเล่น แล้วเปิดเพลงใน Spotify อัดหูเอาไว้ตามอารมณ์ช่วงนั้น สิ่งเดียวที่พัฒนาจากวัยเด็กจนถึงตอนนี้ คือซื้อของแท้มาเล่นแล้วนะ !
Europa Universalis IV – Bom (Content Writer)
หนึ่งในเกมที่ผมเล่นบ่อยที่สุดและสามารถเล่นได้เรื่อย ๆ คงไม่พ้นเกม Europa Universalis IV เกมแนว Grand strategy ที่ให้เราเลือกรัฐใดรัฐหนึ่งของประเทศในช่วงศตวรรษที่ 15 แล้วนำพาประเทศไปสู่ความยิ่งใหญ่และกลายเป็นมหาอำนาจระดับโลก
สิ่งที่ทำให้ผมกลับมาเล่นเกมนี้บ่อยที่สุดคือ ระบบสุ่มความเป็นไปได้ที่เราไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้า (Sandbox and Random Events) อีกทั้งผมเป็นคนชื่นชอบเรียนวิชาประวัติศาสตร์อยู่แล้ว ทำให้ผมชอบเกมนี้มาก เพราะเราอิน กับเหตุการณ์ในเกมเป็นพิเศษ
ความเป็นไปได้ที่ผมพูดถึงคือความอิสระในการสร้างเลือกเส้นทางเดินของอาณาจักรเรา ตั้งแต่การสร้าง “ราชวงศ์ชิง” ให้กว้างเกินครึ่งโลกด้วยกำลังทหาร หรือก่อตั้งอาณานิคมชาวอยุธยาในทวีปอเมริกาใต้ ทำให้ผมรู้สึกสนุกทุกครั้งที่เล่นเกมนี้
น่าเสียดายที่ทางค่าย Paradox หั่น DLC มาใส่ตัวเกมนี้ จนทำให้ต้องเสียเงินมากมายกว่าจะสามารถเล่นเกมได้ครบฟังก์ชัน แต่ถึงกระนั้นผมก็แนะนำให้คุณลองเล่นเกมนี้สักครั้งหนึ่งในชีวิต
Fallout: New Vegas – KKMTC (Content Writer)
ต้องยอมรับว่าคอมพิวเตอร์ของผมในสมัยก่อน ค่อนข้างตกยุคพอสมควร จึงไม่ค่อยมีโอกาสได้สัมผัสเกมใหม่ และใช้เวลาเล่นเกมเก่าจนรู้สึกผูกพันธ์กับมันไปแล้ว แต่เกมที่ผมย้อนกลับมาเล่นบ่อยที่สุดเป็น Fallout: New Vegas เกม RPG ของค่าย Obsidian Entertainment
เพราะ Fallout: New Vegas ได้เปิดโอกาสให้ผมผจญภัยด้วยวิถีทางของตัวเอง ตั้งแต่เล่นเป็นคนดีหรือคนเลว เล่นสายบู๊หรือสายลอบ เร้น เลือกข้างฝ่ายคุณธรรมหรือข้างฝ่ายที่ให้ผลประโยชน์ต่อผู้เล่นมากที่สุด รวมถึงเนื้อเรื่องกับเนื้อหา Lore ก็จัดว่ามีโทนดา ร์ก และตลกร้ายที่ค่อนข้างถูกจริตผู้เขียน และท้ายที่สุด คอมมู นิ ตี้ม็ อดยังคงมีการอัปเดตตลอดเวลาอีกด้วย
ซึ่งทำให้การเล่น New Game แต่ล่ะรอบ จึงไม่รู้สึกเบื่อหน่ายแม้จะวนกลับมาเล่นถึงรอบที่ 8 เพราะผมชื่นชอบการเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่างจากเดิม ด้วยการใช้ม็ อดและเปลี่ยนแนววิธีการเล่นทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น
Fallout: New Vegas – StolenHeart (Content Writer)
ทุกคนไม่เคยปฏิเสธถึงความยอดเยี่ยมที่เกมนี้มอบให้ในทุกรอบการเล่นอยู่แล้ว เพราะมันเต็มไปด้วยความสนุก เทคนิค วิธีการเล่นที่หลากหลายเปิดกว้าง ขนาดที่เกม Fallout ยุคใหม่หรือ Open World RPG บางเกมยังไม่สามารถให้ได้ จะเป็นคนดีแสนดี หรือคนถ่อยต่อยแน่นอน ทุกอย่างทำได้อิสระเต็มที่ไม่มีการบังคับ รวมไปถึงจำนวน Mod ที่มหาศาลมาก ๆ ชนิดที่ว่าถ้าผมกลับมาเล่นอีกรอบคือไม่ลงไม่ได้เลยทีเดียว
แม้ตัวเกมจะเริ่มมีริ้วรอยของความเก่าให้เห็น แต่ผลงานการ Mod อันเชี่ยวชาญของผู้ที่มีใจรักในเกมนี้จริง ๆ ทำให้ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้กลับมาเล่นเกมนี้ ไม่ว่าจะเป็นในเนื้อหาดั้งเดิมที่ถูกเสริมด้วย DLC อันยอดเยี่ยมทั้งสี่ตัวที่ถูกเสริมพลังให้เล่นได้สนุกขึ้น รวมไปถึงการสร้างตัว ละคร ใหม่ ๆ ที่ได้รับพลัง Mod มาเต็มพิกัด เหล่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะให้ผมกลับมาเล่น Fallout: New Vagas บ่อย ๆ เมื่อว่างเว้นจากการทำงานระยะยาวครับ
Cossack 3 – The Starry Sky (Content Writer)
ในฐานะเกมเ มอร์สาย RTS ช่วงชีวิตที่ผ่านมา ผมก็ได้เล่นเกมแนวเดียวกันมาแล้วมากมาย แต่เกมที่ประทับใจที่สุดก็คือ Cossack เกมวางแผนการรบที่มีพื้นหลังเป็นช่วงเวลายุคกลาง ซึ่งเป็นช่วงที่วงการศิลปวิทยาการกำลังเติบโตอย่างงดงาม เกมนี้จึงเป็นเหมือนตำราทางประวัติศาสตร์เล่มหนึ่งที่เราจะได้เห็นเครื่องแบบทหาร สิ่งปลูกสร้าง และอาวุธต่างๆ ของผู้คนในยุคสมัยนั้นแบบสมจริง โดยเฉพาะกับการคุมยูนิต ที่เกม Cossack มีระบบหนึ่งที่เกม RTS เกมอื่นไม่มี หรือหาใครเทียบได้ยาก นั่นก็คือการควบคุมยูนิตเป็นจำนวนมหาศาลระดับ “กองทัพ” จริงๆ และยังสามารถจัดกระบวนการรบได้ตามที่ต้องการ หากเทียบกับเกมอื่นๆ สำหรับผมแล้ว นี้คือ RTS ที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
เหตุที่ผมชอบหยิบเกมนี้กลับมาเล่นบ่อยๆ ก็เพราะในเกมยังมีภารกิจนับสิบที่ผมทำไม่เสร็จ ตั้งแต่เกมยังเป็นภาค 1 จนถึงตอนนี้ที่ไปไกลถึงภาค 3 แล้ว ก็ยังมี Campaign ที่ไม่บรรลุเป้าหมายสำเร็จอีกมากมาย (และยังมีออกมาใหม่เรื่อย ๆ) นี่จึงจะเป็นเกมที่ผมจะหยิบมาเล่นอีกหลายครั้งอย่างแน่นอน ถ้าหากมีโอกาส
Parasite Eve II – ซ้ง (Content Creator)
ผมเล่นเกมนี้ครั้งแรกตั้งแต่ตอนประถม ชอบดีไซน์มอน ส เต อร์ และบรรยากาศของเก มมาก ชอบความเป็น Sci-fi ผสม Horror นิด ๆ ผมจำได้ว่าตอนแรกไม่กล้าเล่นเองเลย เพราะต้นเกมจะมีฉากที่ผู้หญิงกลายร่างเป็นมอน ส เต อร์ ซึ่งเห็นแล้วนึกถึงหนังสยองขวัญเรื่อง Species แล้วเกิดอาการกลัวมากจนต้องดูพ่อเล่น จนสักพักค่อยกล้าจับจอ ย มาเล่นเอง
สื่อบางสำนักบอกว่าภาคนี้สู้ภาคแรกไม่ได้ ซึ่งผมก็ยอมรับว่าภาคแรกเนื้อเรื่องดีกว่า ลึกลับซ่อนเร้นกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังรักภาคนี้มากกว่าอยู่ดี เพราะระบบการเล่นที่ทำออกมาผสม RPG ที่ถูกใจ ผมเลยยิ่งชอบใหญ่ รู้สึกเกมมีอะไรให้ค้นหาเยอะ ทั้งไอเท็มลับ ปืนลับ สกิล ขั้นสูง แรงค์ การเล่นอีก 13 แรงค์ ทำให้ Replay Quality ของเกมสูงมาก ผมเล่นวนไปประมาณ 10 รอบแล้ว (หัวเราะ)
Resident Evil 7 – XTER-VENDETTA ( Chief Video Editor)
บอกเหตุผลไปหลายคนอาจจะเกาหัวแกรก ๆ แต่ผมจะรู้สึกผ่อนคลายกับการเล่นเกม Survival-Horror ผมรู้สึกมันเหมือนการเอาหนัง Horror เรื่องโปรดกลับมาเปิดดูอีกรอบ แล้วก็เอาน้ำ เอาขนม มานั่งกินไปด้วย แต่มันไม่ใช่แค่หนัง มันเป็นเกมที่ผมควบคุมเอง ซึ่งมันก็ยังตื่นเต้นถ้าเกิดผมพลาดท่าขึ้นมา นั่นเป็นเหตุให้ผมเปิด Resident Evil ภาคเก่า ๆ ขึ้นมาเล่นอยู่บ่อย ๆ ตั้งแต่ภาคแรกจากปี 1996 จนถึง RE2 Remake ที่พึ่งจะออกมาปีนี้เลยทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่ Survival-Horror ทุกเกมที่ผมจะรู้สึกผ่อนคลาย อย่าง Alien: Isolation ก็เครียดเกินไปหน่อย
แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า Resident Evil 7 คือเกมที่ผมย้อนกลับมาเล่นหนักที่สุด ด้วยหลักฐานการเล่นสูงถึง 496 ชั่วโมงบน Steam แถมยังซื้อเอาไว้บน PS4 อีกต่างหาก การได้เสพบรรยากาศ RE ยุคเก่า ผ่านมุมมองบุคคลที่ 1 มันคือสิ่งที่ผมฝันอยากจะสัมผัส และมันก็เกิดขึ้นจริง ๆ แม้ว่าเกมจะขาดความท้าทาย ซึ่ง RE2 Remake สามารถทำได้ดีกว่า แต่บรรยากาศคือสิ่งที่ทำให้ผมเปิด Resident Evil 7 ขึ้นมาเล่นอยู่เป็นประจำ
Dead Space – Patiharn Prempreedee (MOBA Writer)
เป็นเกมที่ผสมผสานความ Action กับ Survival Horror ได้อย่างลงตัวครับ เราได้สู้อย่างสุดฝีมือกับศัตรูที่แข็งแกร่งพร้อมกับบรรยากาศที่มีแต่เลือดกับความมืด การประกอบปืนและชุดเกราะอวกาศก็เป็นอะไรที่ประทับใจตั้งแต่ภาคแรก ตัวเกมนั้นอาจจะมีเลือดค่อนข้างเยอะทำให้ภาค 1 และภาค 2 เป็นภาคที่ดูหลอนไปนิดหนึ่งสำหรับผม แต่ก็เล่นจบทั้ง 2 ภาค ส่วนในภาค 3 นั้นเหมือนผู้พัฒนาจะเข้าใจผู้เล่นในกลุ่มนี้ก็เลยมีตัวเลือกให้ได้เล่น CO-OP กับเพื่อนแต่ก็ไม่ได้ทำให้มันง่ายขนาดนั้น โดยพวกฝูงปีศาจก็จัดกันมาเต็ม ต่อให้มี 2 คนก็ต้องช่วยกันระวังหน้าระวังหลังกันดี ๆ
เรื่องของสิ่งที่ทำให้ติดใจก็คืออวกาศที่ดูสวยงามและดูมีเสน่ห์ในความหลอนที่ไม่เหมือนใคร แม้กราฟิกจะไม่ถึงขั้นสุด แต่เหมือนการที่เราได้มองเห็นสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นผ่านตัวเกมทำให้ชวนกลับมาเล่นอีกครั้ง การได้เล่นกับเพื่อนก็ยิ่งสนุกขึ้นไปอีก ทำให้เล่นไปแล้วกว่า 400 ชั่วโมง เล่นไปแล้วทุกระดับความยาก