“Pong” ชื่อนี้อาจจะเหมือนกับชื่อญาติสนิทมิตรสหายของเกมเมอร์ชาวไทยบางคน แต่ใครจะไปรู้ว่าชื่อนี้จะเปลี่ยนสังคมของเราไปอย่างมากมายมหาศาลภายในเวลาไม่ถึง 60 ปี ในฐานะของ Pop Culture แห่งยุคที่ผ่านการเปลี่ยนจากกิจกรรมยามว่างสู่อุตสาหกรรมแสนล้านในยุคปัจจุบันและสร้างแรงผลักดันต่อสังคมมากมาย
ถึงกระนั้นเกมเมอร์หลายคนอาจจะเคยคิดหรือว่าสงสัยว่าหากวันหนึ่งโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ไม่มี “วิดีโอเกม” มันจะเป็นเช่นไร โลกจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ก็น่าสนใจไม่น้อยวันนี้เราจึงเดินทางสู่สมมุติฐานดังกล่าว
นวัตกรรมบางอย่างอาจจะเกิดช้ากว่าปัจจุบัน
Mark Zuckerberg ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO ของ Facebook เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเคยกล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ businessinsider ว่าตอนเด็กเขาได้เล่นเกมกับน้องสาวของเขา ทำให้เขาอยากที่จะเรียนการเขียนโปรแกรมและนำไปสู่การสร้าง Facebook ในเวลาต่อมา
สิ่งที่ Mark Zuckerberg บอกก็คือเขาไม่ได้เล่นเกมแล้วสร้าง Facebook แต่เขาเล่นเกมแล้วเกิดความคิดจุดประกายที่จะสร้างเกมเป็นของตัวเอง นำไปสู่การเรียนรู้เรื่องการเขียน Code อันเป็นพื้นฐานของทุกโปรแกรมของคอมพิวเตอร์ และนำมาใช้ในการสร้าง Facebook อย่างทุกวันนี้ หากวันนั้นเขาไม่ได้เล่นเกม Facebook ในตอนนี้อาจจะเกิดขึ้นช้ากว่าที่เราใช้กันทุกวันนี้หรือว่าเราอาจใช้โปรแกรมอื่นก็เป็นได้
นอกจากนี้วงการเกมยังเป็นตัวเร่ง “การพัฒนา Hardware ของคอมพิวเตอร์ ” ที่แต่เดิมนั้นหากพูดถึงคอมพิวเตอร์ระดับ Hi-End นั้นส่วนมากจะเป็นคอมพิวเตอร์สำหรับการทำภาพยนตร์เป็นหลัง โดยหนังเรื่องแรกที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลคือ Terminator 2: Judgment Day (1991) ที่ในตอนนั้นถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่กราฟิกระดับเทพ
ตัวกลับมาในอีก 20 ปีต่อมาเราจะพบว่า CGI ในภาพยนตร์นั้นโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยความสามารถของ Hardware ในยุคปัจจุบันโดยเฉพาะการ์ดจอที่พัฒนาขึ้นตามพัฒนาการของวงการเกม ซึ่งในตอนนี้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเกมเมอร์ที่กำลังอ่านบทความนี้น่าจะสามารถที่จะทำ CGI ในหนังได้แล้ว
แน่นอนว่ามีนวัตกรรมต่าง ๆ มาช้าก็ย่อมส่งผลถึงสิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนไปนั่นคือ “ตัวเรา” และ “ความสัมพันธ์ในเรื่องของเวลา”
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และเวลาอาจจะเปลี่ยนไป
เว็บไซต์ polygon เปิดเผยว่าเกมเมอร์ใช้เวลาเล่นเกมเฉลี่ยสัปดาห์ละ 12 ชั่วโมง ซึ่งฟังดูเหมือนน้อยแต่ความเป็นจริงแล้วหากเอาเวลามารวมกันแล้ว เท่ากับเวลานอนโดยเฉลี่ยของวัยทำงานถึง 1 วันครึ่งกันเลยทีเดียว แน่นอนว่าหากเราเปลี่ยนเวลานี้ไปเป็นอย่างอื่น ๆ ย่อมสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นกับชีวิตของมนุษย์
หากเราเปลี่ยนเวลาเล่นเกมมาออกกำลังกายวันละ 30 นาที เรายังจะเหลือเวลาว่างอีก 8 ชั่วโมงครึ่งในการทำอย่างอื่นอีกมากมายในการทำอย่างอื่น ยังไม่นับกับเวลาที่มีมากขึ้นทำให้เราสามารถไปยังที่ต่าง ๆ พบปะผู้คน ออกตามหาสิ่งใหม่ ๆ ได้ให้กับชีวิตให้ชีวิตสมดุลขึ้นกว่าเดิม
แต่ในขณะเดียวกันการที่ไม่มีวิดีโอเกมอาจทำให้บริการสื่อบันเทิงอื่น ๆ อย่างโทรทัศน์และภาพยนตร์ เติบโตมากกว่าทุกวันนี้ก็เป็นไปได้ โดยเฉพาะอย่างบริการอย่าง Netflix ที่อาจจะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ทางด้านสื่อบันเทิงอยู่ในขณะนี้ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เพราะในปัจจุบันผู้คนใช้เวลาเฉลี่ยใน Netflix มากถึงวันละเกือบ 50 นาทีแล้วยิ่งได้เวลาจากคนเล่นไปอีกยิ่งเติบโตได้สูงกว่าเดิม
นอกจากนี้การที่เวลาเปลี่ยนอาจทำให้ความสัมพันธ์และชีวิตเปลี่ยนไปเว็บ GamingDose ที่ทุกท่านกำลังอ่านบทความนี้อาจจะยังไม่เกิดเพราะยีน Settasilp Poonbumphen และโน็ต Jokeboy ไม่ได้เจอในเว็บบอร์ดในการเล่นเกมที่ดังในตอนนั้นอย่าง VGB เน็กซ์ XTER-VENDETTA อาจจะเป็น Youtuber ด้านอื่น ส่วนตัวผู้เขียนอาจเป็นสิงห์มอไซต์ที่ตอนนี้ท่องเที่ยวทั่วประเทศอยู่ก็เป็นได้
ยังไม่นับวิถีชีวิตของคนอีกมากมายที่อาจจะเปลี่ยนไปบางคนอาจจะหายไปจากชีวิตของเรา สตรีมเมอร์บางคนเราอาจจะไม่รู้จัก YouTuber บางคนอาจจะแจ้งเกิดด้วยวิธีการอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นการแคสเกมหรือสตรีมเกม
สรุป
การที่โลกไม่มีวิดีโอเกมนั้นเราไม่อาจจะทราบได้ว่าเป็นอะไร นอกจากสิ่งที่อยู่เหนือจินตนาการของเราไปไกล บทความนี้เขียนเพียงเพื่อให้เราเห็นความสำคัญของเกมในฐานะของหนึ่งในวิถีชีวิตประจำวันของเหล่าเกมเมอร์ทุกวันนี้ แล้วเกมเมอร์ท่านอื่นคิดอย่างไรหากโลกใบนี้ไม่มีวิดีโอเกมสามารถบอกกันได้เลย
อ้างอิง