ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ากระแสของเกมแนวแข่งรถเปิดโลกกว้างในตอนนี้ กำลังเป็นที่น่าสนใจมากสำหรับผู้เล่นหลายคน แต่เนื่องจากเกมประเภทดังกล่าวไม่ค่อยมีตัวเลือกเยอะมากนัก แถมยังหาเล่นค่อนข้างยาก ก็ทำให้เกมเมอร์บางคนมองหาเกมประเภทนี้ไม่ค่อยเจอตามร้านค้าสักเท่าไหร่นัก
และนี่ 7 เกมแข่งรถเปิดโลกกว้าง ที่ผู้เล่นสามารถซิ่งทะลุจนถึงสุดขอบโลกได้ แล้วจะมีเกมอะไรบ้าง ก็สามารถเข้าไปอ่านได้เลย
Test Drive Unlimited 2
Test Drive Unlimited เปรียบเสมือนเป็น “OG” หรือต้นแบบของเกมแนวแข่งรถ Open-World ที่มาพร้อมแผนที่ขนาดใหญ่ และมีกิจกรรมให้เลือกทำหลากหลาย ซึ่งได้สร้างมาตรฐานเกมแข่งรถ กับแรงบันดาลใจให้กับนักพัฒนาเกมแนวแข่งรถหลายราย
ใน Test Drive Unlimited 2 จะมีอีเวนต์การแข่งขันมากกว่า 100 รายการ, มีรถยนต์ให้เลือกขับหลายประเภท ตั้งแต่รถซีดาน รถคูเป้ ยันรถซูเปอร์จากหลายแบรนด์ และแน่นอนว่าตัวเกมยังมีระบบ Customization ให้ผู้เล่นสามารถตกแต่งตัวละคร และระบบซื้อบ้าน เพื่อใช้เป็นจุด Fast Travel เหมือนเกมภาคแรก
ถ้าหากมองข้ามเรื่องปัญหาด้านเทคนิคต่าง ๆ และระบบออนไลน์ที่ปิดให้บริการไปแล้ว Test Drive Unlimited 2 ยังคงเป็นเกมที่เล่นแล้วสนุกสนาน และมีระบบที่ค่อนข้างล้ำหน้ากว่าเกมแข่งรถเกมอื่น
The Crew 2
แม้ The Crew 2 โดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในช่วงวันวางจำหน่าย เนื่องจากมีจำนวนคอนเทนต์ที่น้อยนิด และมักโดนเปรียบเทียบกับ Forza Horizon 4 ที่มีคุณภาพดีกว่า The Crew 2 เกือบทุกด้าน แต่ตอนนี้ เกมดังกล่าวได้มีกระแสตอบรับที่ดีขึ้น หลังจากมีการอัปเดตเนื้อหาอย่างต่อเนื่องประจำทุกซีซัน รวมถึงปรับปรุง Quality of Life กับระบบต่าง ๆ ที่ช่วยให้การเล่นสนุกสนานมากขึ้น
แม้ฟิสิกส์ยานพาหนะใน The Crew 2 มีความรู้สึก “แปลกประหลาด” ที่ต้องใช้เวลาเล่นปรับตัวค่อนข้างนาน และแผนที่อาจไม่มีรายละเอียดเยอะเทียบเท่ากับ Forza แต่ด้วยแผนที่ที่มีสเกลขนาดใหญ่มหึมา, มีรายการแข่งขันที่หลากหลาย ตั้งแต่การแข่งขันรถยนต์, เครื่องบิน, เรือเร็ว และมอเตอร์ไซค์ ทำให้ The Crew 2 เป็นหนึ่งในเกมสุดทะเยอทะยานของค่าย Ubisoft ที่คอเกมแข่งรถควรลิ้มลอง
Midnight Club: Los Angeles
ในบรรดารายชื่อทั้งหมด Midnight Club: Los Angeles น่าจะเป็นเกมแข่งรถที่ออกแบบบรรยากาศบ้านเมืองได้มีชีวิตชีวามากที่สุดแล้ว
Midnight Club: Los Angeles เป็นเกมแข่งรถโดยค่าย Rockstar Games ที่มีจุดเด่นในด้านระบบเกมเพลย์เล่นง่าย แต่มีความยากท้าทาย เพราะสนามแข่งเกือบทั้งหมดจะไม่มีกำแพงกั้น และเป็นสนามแข่งแบบเปิดที่ผู้เล่นสามารถขับรถวิ่งไปเส้นทางไหนก็ได้
นอกจากนี้ เนื่องจากรถยนต์ที่สัญจรไปมาบนท้องถนน มีจำนวน Spawn ที่เยอะกว่าเกมแข่งรถทั่วไป รวมถึงตัวผู้เล่นได้มีปฏิสัมพันธ์ (Interactive) กับสภาพแวดล้อมรอบข้างอยู่เสมอ ทำให้ Midnight Club: Los Angeles นอกจากจะเป็นเกมที่เล่นสนุกแล้ว ตัวเกมยังมีการนำเสนอที่ชวนให้เกมเมอร์ได้ Immersive อินไปกับบรรยากาศภายในโลกของเกมอีกด้วย
Midtown Madness
Midtown Madness เป็นเกมแข่งรถคลาสสิกที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี หรือเกมเพลย์ล้าหลังแค่ไหน ก็ยังคงเป็นเกมที่เล่นสนุกสนานเหมือนเดิม
แม้ Singleplayer ของ Midtown Madness เป็นการแข่งขันในสนามแข่ง ที่ใช้ระบบความคืบหน้าแบบเกมอาร์เคด ที่ผู้เล่นต้องเอาชนะการแข่งขันอันดับ 3 ขึ้นไปเพื่อปลดล็อกสนามต่อไป แต่เกมดังกล่าวมีโหมดหนึ่งที่ชื่อว่า “Cruise” ซึ่งเป็นโหมดที่เกมเมอร์สามารถผจญภัยทั่วเมืองชิคาโกได้อย่างสนุกสนาน โดยไม่มีเวลาจำกัด
ก็จริงอยู่ที่โหมด Cruise ของ Midtown Madness ไม่มีกิจกรรมเสริมหรืออีเวนต์การแข่งขันให้เลือกทำเหมือนเกมยุคปัจจุบัน แต่โหมดเกมดังกล่าวถือว่าล้ำหน้ามาก ๆ สำหรับเกมปี 1999 ใน PC จึงทำให้เกมดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงเวลาหนึ่งเลยทีเดียว
Need for Speed: Heat
ถือว่าเป็นภาค Comeback ที่ช่วยกอบกู้ชื่อเสียงเกมตระกูล Need for Speed ให้กลับมาฮิตอีกครั้ง หลังจากเกมภาค Reboot และภาค Payback มีกระแสตอบรับที่ไม่ดีจากผู้เล่นหลายคน
Need for Speed: Heat เป็นเกมแนว Racing ที่เน้นนำเสนอการแข่งขันรถยนต์ทั้งแบบถูกกฎหมายกับผิดกฎหมาย ซึ่งเกมดังกล่าวยังคงมีฟีเจอร์เด็ด คือระบบ Customization ที่มีตัวเลือกให้ปรับแต่งรถยนต์ได้หลายชิ้นส่วน และระบบการหลบหนีจากการโดนไล่ล่าโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งมีความยากท้าทายจนเกือบต้องโยนจอยคอนโทรลเลอร์ทิ้งเลยทีเดียว
แม้ภาค Heat ไม่ใช่เกม Need for Speed ระดับ Perfect แต่ก็ถือว่าเป็นเกม Need for Speed ที่ได้เดินกลับมาถูกเส้นทางอย่างที่ควรจะเป็นอีกครั้ง
Burnout Paradise Remastered
ไม่ต้องกล่าวอธิบายมากนักเกี่ยวกับซีรีส์เกม Burnout เพราะเกมเมอร์หลายคนน่าจะรู้จักอยู่แล้วว่ามันคือเกมแข่งรถอาร์เคดที่ไม่เน้นความสมจริง แต่เน้นการทำลายล้าง กับความสนุกสนานจากการชนพังรถคู่แข่งให้ออกนอกจากสนามแข่งเป็นเวลาชั่วคราว
Burnout Paradise เป็นเกมภาคแรกและภาคล่าสุด ที่ใส่องค์ประกอบความเป็น Open-World ให้เกมเมอร์สามารถสำรวจแผนที่ในเวลาว่างได้อย่างอิสรเสรี แต่ระบบเกมเพลย์หลักจะยังคงเหมือนกับ Burnout ภาคเก่า คือผู้เล่นต้องแข่งขันท้าประลองความเร็วกับผู้เล่นอื่น และท้าทาย Road Rage แข่งขันทำลายรถคู่แข่ง เพื่อคว้าชัยชนะอันดับหนึ่งมาให้ได้
Forza Horizon 5
Forza Horizon 5 คือเกมแข่งรถ Open-World ที่เกือบจะสมบูรณ์แบบในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นแผนที่ที่มีขนาดใหญ่สะใจ แต่ยังคงรักษาความใส่ใจในรายละเอียดเหมือนเกมภาคก่อน, ภาพกราฟิกและโมเดลสิ่งแวดล้อมโดยรวม เช่น ต้นไม้ หญ้า มีคุณภาพสูงกว่าเดิม และระบบเสียงกับการขับรถที่มีการปรับปรุงไปในทิศทางที่ดีขึ้น
แม้ระบบโดยรวมยังคล้ายกับเกมภาคก่อน แต่เนื่องจากองค์ประกอบเกมเกือบทั้งหมด มีการขัดเกลาให้ดีขึ้น ทำให้ Forza Horizon 5 ยังคงครองแชมป์เป็นเกม Open-World ที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้