ในท่ามกลางที่มีเกมแนว Shooting ออกมามากมายแทบจะเกลื่อนตลาด บางเกมก็ประสบความสำเร็จพร้อมหิ้วเงินก้อนโตกลับบ้านไปทำภาคต่อ แต่บางเกมก็ต้องกลับบ้านพร้อมกับความผิดหวัง ซึ่งเราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “เกมแนว Shooting” นั้นได้ชื่อว่าเป็นแนวเกมทำเงินชั้นเยี่ยมให้กับเหล่าบริษัทและค่ายเกมต่าง ๆ มากมายในยุคนี้ และหลาย ๆ ค่ายใหญ่ล้วนมีเกมแนวนี้เป็นของตนเองทัั้งสิ้น
แน่นอนว่าเกมแนว Shooting เหล่านั้นก็อาจจะเป็นที่น่าเบื่อของคนบางกลุ่ม เพราะสุดท้ายมันก็คือเกมยิงลูกตะกั่วแทบจะเกลื่อนตลาด หรือพูดง่าย ๆ ว่าหันไปทางไหนก็มีแต่เกมยิงแบบ ๆ นั้น แต่ในความจำเจเหล่านั้นก็ได้มีซีรี่ส์เกมแนว Shooting ซีรี่ส์นึงที่ได้นำเสนอแนวทางแตกต่างสุดขั้วเมื่อเทียบกับเกมยิงอื่น ๆ ในท้องตลาด แต่กลับสามารถทำเงินได้มหาศาลจนกลายเป็นซีรี่ส์ทำเงินหลักของค่ายไปแล้ว ดังนั้น GamingDose จึงขอนำเสนอซีรี่ส์เกมดังกล่าวอย่าง “Splatoon” จากค่ายเกมยักษ์ใหญ่สุดอินดี้อย่าง Nintendo
Splatoon คือเกมอะไร ??
ก่อนที่จะมาดูความเป็นมา เราจะมาทำความรู้จักกับรายละเอียดเจ้าซีรี่ส์เกมนี้กันเสียก่อน
โดย Splatoon นั้นจัดว่าเป็นเกม Shooting มุมมองบุคคลที่สาม หรือที่เราเรียกกันคุ้นปากว่า “Third-Person Shooting” แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นเกม Nintendo แล้วมันต้องไม่ใช่เกมยิงแจกตะกั่วธรรมดาอย่างแน่นอนเพราะ Splatoon ได้นำเสนอเกมการเล่น และธีมที่แปลกใหม่กว่าเกมยิงอื่น ๆ ในท้องตลาด ตัวเกมรองรับการเล่นทัั้ง Singleplayer และ Multiplayer โดย Singleplayer จะเป็นเหมือนโหมดที่ไว้ใช้ฝึกเล่นเพื่อนำไปเล่นในโหมดออนไลน์ โดยตัวด่านในโหมด Singleplayer ก็ได้ถูกออกแบบให้มีความท้าทายในระดับนึง หรือเรียกได้ว่าหากเล่น Singleplayer มาก่อนแล้ว Multiplayer คุณอาจจะได้ใช้เวลาปรับตัวที่น้อยลงจากเดิมพอสมควร ซึ่งในโหมด Singleplayer ได้มีเนื้อเรื่องให้เสพกันอีกด้วย โดยเนื้อเรื่องเกมนี้จะเกี่ยวกับสงครามระหว่าง “Inkling” หรือพวกหมึกกล้วย และ “Octoling” หรือพวกหมึกยักษ์ และเราจะได้รับบทเป็น Agent ในการทำภารกิจลับเพื่อคลี่คลายสถานการณ์เหล่านี้ โดยตัวเกมได้มีการเสริมเนื้อเรื่องเกี่ยวกับที่มาของ Inkling และ Octoling และรวมถึงรายละเอียดของสงครามด้วย แต่อย่างไรก็ตามเนื้อเรื่องเสริมของเกมนี้จะมาในรูปแบบของ Files ที่คุณจะได้หลังจากเคลียร์ด่านไปแต่ละด่าน
ส่วนโหมด Multiplayer นั้นถือว่าเป็นจุดขายหลักของซีรี่ส์เกม Splatoon เลยก็ว่าได้ เพราะตัวเกมค่อนข้างเน้นเนื้อหาในส่วนนี้ ซึ่งปกติแล้วหากเป็นเกมยิงทั่ว ๆ ไปเราจะได้ใช้ปืนหรืออาวุธต่าง ๆ ในการปราบศัตรูเพื่อได้มาซึ่งชัยชนะ แต่กับ Splatoon เราจะได้ใช้ “หมึก” ในการเป็นอาวุธหลักเพื่อได้มาซึ่งชัยชนะ โดยจะมาในรูปแบบของอาวุธที่ดูแปลกตาไม่ว่าจะเป็น ปืนฉีดน้ำ, ถังน้ำ, แปรงทาสี, พู่กันและอื่น ๆ ซึ่งเราจะไม่ได้ใช้ของเหล่านี้ในการฆ่าศัตรูเพื่อตัดกำลังทีมตรงข้ามเพียงอย่างเดียว เพราะตัวเกมนั้นไม่ได้นำเสนอเกมเพลย์แบบ Deathmatch ที่เน้นการฆ่าให้ได้มาซึ่งชัยชนะ ทำให้ “การสาดหมึก” กลายเป็นคีย์หลักในการบรรลุเป้าหมายของแต่ละโหมดของเกมนี้ ไม่ว่าจะเป็นการครอบครองพื้นที่ การตัดกำลังฝ่ายตรงข้าม การเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว (หากเราอยู่ในพื้นที่หมึกฝั่งเราเราจะเคลื่อนที่ได้ดีกว่าและสามารถว่ายหมึกเพื่อเติมหมึกได้ แต่ถ้าหากเราไปอยู่พื้นที่ฝั่งตรงข้าม ตัวเราจะเดินช้ามาก) และสารพัดเทคนิคที่เราสามารถใช้งานได้ ซึ่งถือว่าแตกต่างและโดดเด่นจากเกมยิงเกมอื่น ๆ ในท้องตลาดเป็นอย่างมากครับ
เปิดตำนานเกม Splatoon
ซีรี่ส์เกม Splatoon ในภาคแรกนั้นได้ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน E3 เมื่อปี 2014 โดยตัวเกมภาคแรกถูกวางจำหน่ายทั่วโลกวันที่ 30 พฤษภาคม 2015 ซึ่งคุณไม่ได้ตาฝาดหรือเบลอไปอย่างใด เพราะซีรี่ส์เกม Splatoon นั้น ณ ตอนนี้มีอายุเพียงแค่ประมาณ 3-4 ปีเท่านั้น ซึ่งอาจจะฟังดูเหมือนว่าก็นานแล้ว แต่อย่าลืมว่าซีรี่ส์เกมของ Nintendo หลาย ๆ ซีรี่ส์อายุนั้นก็ใช่ว่าจะมีแค่เลขหลักหน่วย และยิ่งเมื่อนำอายุไปเทียบกับซีรี่ส์เกมอื่น ๆ ของปู่นินแล้ว ยิ่งชัดเจนเลยว่า Splatoon เป็นซีรี่ส์เกมที่เรียกได้เต็มปากว่าเป็น “ลูกคนเล็ก” ของปู่นินเลยทีเดียว
ตัวเกมในภาคแรกนั้นได้นำเสนอเกมการเล่นในรูปแบบใหม่ที่เรียกได้ว่าฉีกทุกกฏการเล่นของเกม Shooting แบบเดิม ๆ จากที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น โดยคอนเซปต์เกมนี้ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ “การฆ่าเป็นเรื่องรอง” ถึงการฆ่าศัตรูจะเป็นการตัดกำลังได้เป็นอย่างดี แต่หากเทียบความสำคัญกับสิ่งที่เกมนี้นำเสนอมาโดยตลอดอย่าง “การสาดสีเพื่อครอบครองพื้นที่” แล้วนั้น แน่นอนว่าการสาดสีเป็นสิ่งที่ควรทำมากกว่า เพราะการสาดสีเป็นสิ่งที่ไม่ว่าผู้เล่นคนไหนก็สามารถทำได้ แต่กลับส่งผลต่อชัยชนะอย่างคาดไม่ถึง ตัวเกมถึงแม้จะมาในโทนสดใสน่ารักสไตล์ของ Nintendo แต่ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของปู่อย่าง “Easy to Learn but Hard to Pro” ไว้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งถึงเกมนี้จะเข้าถึงได้ง่าย ใคร ๆ ก็เล่นได้ แต่หากจะให้เล่นเพื่อเป็นมืออาชีพและแข่งขันจริงจังก็ไม่ใช่เรื่องกล้วย ๆ อย่างแน่นอน เพราะตัวเกมนั้นมีความลึกพอสมควร แต่ถูกนำเสนอให้เข้าใจได้ง่าย ส่วนในฝั่งของโหมดการเล่นนั้น นอกจากโหมดเนื้อเรื่องอย่าง Singleplayer แล้ว ตัวเกมยังมีโหมดแยกย่อยใน Multiplayer ให้คุณได้เล่นกันอย่างสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็น โหมดชูโรงหลัก (Regular Battle) อย่าง Turf War หรือจะเป็นโหมดที่เน้นการแข่งขันจริงจัง (Ranked Battle) อย่าง Tower Control, Splat Zones และ Rainmaker ซึ่งโหมดเหล่านี้ล้วนเป็นโหมดที่เน้นการสาดสีทั้งสิ้น ในฝั่งของอาวุธนั้น ตัวเกมภาคแรกได้เปิดตัวมาพร้อมกับอาวุธสามชนิดใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น “Splattershot” (ปืนกลเบา) ที่จะเป็นอาวุธที่สมดุลที่สุด “Splat Charger” (ปืนไรเฟิล) ที่จะได้เปรียบในระยะไกลและ “Splat Roller” (แปรงทาสี) ที่จะได้เปรียบในระยะใกล้ ซึ่งอาวุธทัังสามชนิดนี้ก็จะแยกย่อยไปอีก เพราะฉะนั้นแต่ละอาวุธก็จะมีการโจมตีที่ไม่เหมือนกันแม้จะเป็นอาวุธชนิดเดียวกันก็ตาม
อย่างไรก็ดี หลังตัวเกมภาคแรกหลังจากวางขายไปสักพักใหญ่ ก็ได้มีการอัพเดทเรื่อย ๆ และมีการเพิ่มอาวุธชนิดใหม่ถึงสองชนิดได้แก่ “Slosher” (ถังน้ำ) และ “Splatling” (ปืนกลหนัก) ซึ่งก็จะมีรูปแบบการเล่นที่แตกต่างและลึกเข้าไปอีก เรียกได้ว่าเรื่องของรูปแบบอาวุธนี่ไม่ต้องห่วงเลยว่าจะซ้ำกันจนน่าเบื่อ นอกจากนี้แล้ว ตัวเกมได้มีกิจกรรมที่จะจัดเป็นรายเดือนให้เหล่าผู้เล่นได้เล่นกัน นั้นก็คือ “Splatfest” โดยกิจกรรมนี้จะเปิดให้ผู้เล่นทำการเลือกฝั่งฝ่ายจากหัวข้อที่กำหนดไว้ให้และมาปะทะกันในแง่ของความนิยมและฝีมือในการเล่น ยกตัวอย่างหัวข้อแปลก ๆ และน่าสนใจก็เช่น “ซอสมะเขือเทศ vs มายองเนส” หรือจะเป็น “พลังในการบิน vs พลังล่องหน” ซึ่งเราจะได้เห็นความคิดสร้างสรรค์ของทีมงานในการกำหนดหรือคิดหัวข้อของ Splatfest ในแต่ละเดือนอีกด้วย ในเมื่อตัวเกมน่าสนใจขนาดนี้ คำถามที่หลาย ๆ คนอาจจะเริ่มคิดกันแล้วก็คือ “เอ้ยเกมมันดีรึเปล่า” หรือ “เอ้ยเกมมันจะขายได้เปล่า” ซึ่งทางผู้เขียนก็เคยคิดแบบนี้เหมือนกันตั้งแต่ได้เห็นเทรลเลอร์เพราะถึงตัวเกมจะเกมเพลย์ดีขนาดไหนก็ตาม แต่หากยอดขายมันไม่ได้ก็เท่ากับว่าเซิร์ฟเวอร์ได้มีร้างในโหมด Multiplayer แน่ ๆ และยิ่งตอนนัั้นตัวเกมลงให้กับเครื่อง Nintendo Wii U ซึ่งตอนนั้นถือว่าเป็นเครื่องเกมที่ตกในที่นั่งลำบากมาก เพราะฉะนั้นสำหรับ Splatoon แล้ว โอกาสที่จะประสบความสำเร็จนั้นถือว่าน้อยมาก
แต่แล้วทุก ๆ อย่างกลับไม่เป็นไปตามที่หลาย ๆ คนคิด เมื่อ Splatoon ภาคแรกกลับทำยอดขายได้มากถึง 4.93 ล้านชุด ซึ่งสำหรับซีรี่ส์เกมที่เกิดใหม่แถมยังอยู่ในเครื่องที่แจ้งเกิดได้ยากมันคือเรื่องที่มหัศจรรย์มาก โดยเฉพาะกับประเทศญี่ปุ่นที่ไม่ค่อยถูกโฉลกกับเกมแนว Shooting มาอย่างยาวนาน แต่ด้วยการมาของ Splatoon ทำให้เกมเมอร์ญี่ปุ่นสนใจเกมนี้เป็นอย่างมาก โดยสามารถทำยอดขายในประเทศญี่ปุ่นเพียงประเทศเดียวได้มากถึง 1.37 ล้านชุดเลยทีเดียว และด้วยเหตุนี้ Splatoon จึงถูกยกระดับเป็นไตเติ้ลหลักทำเงินของ Nintendo ตามรอยรุ่นพี่อย่าง Animal Crossing ไปแบบไม่ต้องสงสัย แถมมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตของสองสาววง Squad Sisters ที่นำมาแสดงในรูปแบบของโฮโลแกรม บวกกับมีการจัดแข่งขัน E-Sport อีกด้วย
นั้นหมายความว่า “ตำนานแห่งยุคใหม่ของ Nintendo” ได้เริ่มขึ้นแล้ว แถมเป็นการลบคำสบประมาทคำโตที่ Nintendo ถูกมองมาตลอดอย่าง “เอาแต่หากินกับบุญเก่า ๆ ” อีกด้วย เพราะ Splatoon ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแม้กระทั่งเกมชื่อใหม่ปู่นินก็สามารถทำให้เป็นไตเติ้ลหลักทำเงินได้ หาก Nintendo เลือกที่จะผลักดันมันจริง ๆ
Splatoon 2 กับอนาคตในอีกสิบปีข้างหน้า
ถัดจากนั้นประมาณเพียงปีกว่า ๆ ตัวเกมภาคต่ออย่าง Splatoon 2 ก็ได้ถูกเปิดตัวในงาน Nintendo Switch Presentation ในปี 2016 โดยตัวเกมได้วางจำหน่ายในวันที่ 21 กรกฏาคม 2017 ในภาคนี้กราฟิกและเกมเพลย์ถูกปรับปรุงจากภาคแรกเป็นอย่างมาก แม้โดยรวมอาจจะไม่ต่างอะไรจากภาคแรกมากนัก แต่ด้วยตัวแก่นเกมเพลย์ที่ไม่เหมือนใครอยู่แล้วทำให้ Nintendo ไม่จำเป็นต้องยกเครื่องเกมเพลย์ใหม่ นอกจากนี้ยังได้มีการเปิดตัวในส่วนของ Ranked Battle ที่ระดับสูงขึ้นไปอีกอย่าง “League Battle” ที่เป็นการรวมทีมระดับโหดอันดับต้น ๆ ของเกมมาไว้ที่นี่ และแน่นอนคุณต้องมีทีมที่แข็งแกร่งมากพอถึงจะเอาตัวรอดใน League Battle ได้ ส่วนโหมดการเล่นก็ได้มีการเพิ่มเข้ามาสองโหมดก็คือ “Clam Blitz” และ “Salmon Run” โดยเฉพาะกับ Salmon Run ที่เราจะได้ตั้งทีม 4 คนในการเอาตัวรอดจากเหล่า “ปลาแซลมอน” และทำการล่า “ไข่ปลาแซลมอน” เพื่อนำไข่เหล่านี้ไปปลดล็อครางวัลต่าง ๆ มากมาย ส่วนในฝั่งของอาวุธก็ได้มีการเพิ่มอาวุธเข้ามาใหม่ถึง 2 ชนิด ได้แก่ Splat Dualies ที่จะเป็นปืนคู่และเพิ่มความสามารถในการแดชได้ และ Splat Brella ที่จะเป็นอาวุธคล้าย ๆ ปืนติดร่มและสามารถทำการ Tank ได้นิดหน่อย
Splatoon 2 ได้วางจำหน่ายเป็นเกม Exclusive ให้กับ Nintendo Switch เท่านั้น ซึ่งด้วยเหตุผลที่ตัวเครื่องเกมสามารถทำยอดขายได้ดีมากบวกกับฐานแฟนเกมที่เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ Splatoon 2 สามารถทำยอดขายไปได้มากถึง 6.76 ล้านชุด โดยเฉพาะกับประเทศญี่ปุ่นที่สามารถทำยอดขายไปได้ถึง 2.61 ล้านชุด ซึ่งถือว่าเป็นปรากฏการณ์ครั้งใหม่ของวงการเกมและกลายเป็นเครื่องการันตีความความสำเร็จให้กับซีรี่ส์เกมนี้ได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ด้วยกระแสของ Splatoon 2 ที่มาแรงกว่าภาคแรกเป็นอย่างมาก ทำให้มีการจัดการแข่งชิงแชมป์โลกอย่าง Splatoon 2 World Championship และมีการแข่งคัดตัว คัดนักกีฬาไปแข่งงานนี้อย่างจริงจังด้วย แต่น่าเสียดายที่ทาง Nintendo ไม่มีสาขาในประเทศไทย ทำให้นักกีฬา Splatoon ของประเทศไทยไม่ได้ไปเฉิดฉายในเวทีโลกทั้ง ๆ ที่ฝีมือของคนไทยก็จัดว่าเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกด้วยซ้ำ ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะยังไม่รู้ว่าทีม Splatoon ของประเทศไทยเราติด Top 50 ใน Ranked Battle นะครับ
จากความสำเร็จของซีรี่ส์เกม Splatoon นั้น ทำให้ Nintendo ได้สร้างตำนานบทใหม่ให้กับวงการเกมอีกครั้ง และเป็นตำนานที่กำลังสานต่อตัวเองไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีวี่แววว่าจะจบลง เพราะฉะนั้นซีรี่ส์เกม Splatoon จึงเป็นซีรี่ส์เกมที่น่าจับตามองเป็นอย่างมากในยุคนี้และในอีกสิบปีข้างหน้า โดยที่เรายังไม่รู้ว่าอนาคตของซีรี่ส์นี้จะเป็นอย่างไร แต่เท่าที่เราได้เห็นยอดขายและกระแสของซีรี่ส์เกมนี้แล้ว ก็คงต้องบอกว่าซีรี่ส์เกมนี้ “อนาคตสดใส” มากกว่าหลาย ๆ ซีรี่ส์เกมเก่า ๆ ของ Nintendo เสียอีกด้วย ในฐานะผู้เขียนที่เป็นแฟนบอยของ Nintendo แล้วก็คงต้องเอาใจช่วยให้ Splatoon มีอนาคตที่สดใสและกลายเป็นซีรี่ส์เกมระดับตำนานที่มีอายุหลัก 10 ปีจนได้ครับ