ผู้เขียนเชื่อว่าเกมเมอร์จำนวนไม่น้อยที่มักจะโดนพ่อแม่บ่นอยู่ด้านหลังว่า ‘วัน ๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่เล่นเกมอยู่นั้นแหละ’ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ผู้ปกครองจะต้องห่วงใยและไม่ชอบให้ลูกตัวเองหมกมุ่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากจนเกินไป แต่เกมเมอร์รู้สึกตัวดีว่าไม่ชอบเลยที่ให้คนอื่นมามองตนเป็น เด็กติดเกม ทั้ง ๆ ที่ตัวเองชอบเกมเป็นชีวิตจิตใจเท่านั้น แล้วจะทำอย่างไร? วิธีแก้ไขดีที่สุดไม่มีทางอื่นนอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิต

นี่คือ ‘ เล่นเกมยังไง ไม่ให้โดนดูถูกว่า “เด็กติดเกม” ‘ บทความนี้จะเผยวิธีการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ของเกมเมอร์ เพื่อให้ผู้เล่นสามารถเล่นเกมได้อย่างสงบสุขโดยปราศจากการโดนดูถูกว่าคุณเป็น เด็กติดเกม

เล่นเกมก็พักยืดเส้นยืดสายบ้าง

การพักผ่อนยืดเส้นยืดจากการเล่นเกมเป็นการแสดงว่าผู้เล่นก็มีลิมิตจากการเล่นเกมเหมือนกัน อาจจะหนีไปทำอย่างอื่นหรือพักสายตาซัก 10-15 นาที แล้วค่อยกลับมาเล่นเกมอีกครั้ง นอกจากนี้ยังทำให้ร่ายกายรู้สึกสดชื่นจากการนั่งเล่นเกมเป็นเวลานานอีกด้วย

ทำงานอดิเรกอื่น ๆ นอกจากเล่นเกม

ต่อเนื่องจากการพักยืดเส้นยืดสาย ถ้าหากคุณรู้สึกเบื่อไม่อยากจะเล่นเกมอีกต่อไป แนะนำให้หากิจกรรมทำอย่างอื่น ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นงานอดิเรกส่งเสริมความรู้อย่างการอ่านหนังสือเรียน หรือติวหนังสือเสมอไป (เพราะถ้าหากไม่ชอบ ยังไงก็ทำได้ไม่นานอยู่ดี) อาจจะเป็นการเล่นกีฬาที่ชื่นชอบ, วาดรูป และกิจกรรมอื่น ๆ นอกเหนือจากการเล่นเกม เพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณสนใจงานอย่างอื่นด้วย ไม่ใช่เพียงแค่เกมอย่างเดียว

ไม่ควรโต้รุ้งเพราะเล่นเกม

ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากเห็นลูกของตัวเองต้องอดหลับอดนอนเพราะหมกอยู่กับการเล่นวีดีโอเกมตลอดทั้งคืน (ยกเว้นการงานเพราะมันเป็นเรื่องสำคัญ) จึงแนะนำว่าควรเล่นเกมด้วยระยะเวลาที่เหมาะสมแต่พอดี เพราะถ้าหากเล่นเกมข้ามคืนเป็นระยะยาวอาจจะส่งผลเสียต่อการจัดการเวลาที่ผิดเพี้ยนและร่างกายของผู้เล่นพังอีกด้วย ถ้าหากว่าโดนดูถูกว่า เด็กติดเกม เพราะเล่นเกมจนโต้รุ่งไม่หลับไม่นอนละก็.. มันสมควรแล้ว

เก็บอารมณ์จากเกม

นี่อาจจะเป็นวิธีแก้ไขที่ยากที่สุดของบรรดารายชื่อทั้งหมด เพราะว่าการเพ่งเล็งโฟกัสกับการเล่นเกมมักจะเผลอแสดงใบหน้าที่ซีเรียสแบบไม่ได้ตั้งใจอยู่เสมอ สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่เก็บสีหน้าหรือเก็บอาการให้มิดชิดที่สุดเท่าที่จะทำได้ และผู้เล่นไม่ควรแสดงอารมณ์อินไปกับวีดีโอเกมมากเกินไปจนถึงขั้นต้องเสียงดังโวยวาย หรือหลุดคำหยาบออกมาจนรู้สึกรบกวนผู้อื่น

เพราะอย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเกมในปัจจุบันจะมีงานแข่งขัน Esports และเริ่มให้ความสำคัญกับระบบ Competitive Play มากขึ้น แต่สำหรับมุมมองของผู้ปกครองแล้ว เกม ก็คือ เกม มันเป็นสื่อบันเทิงชนิดหนึ่งไว้เล่นคลายเคลียดเป็นหลัก ฉะนั้นผู้เล่นหัวร้อนหรือทะเลาะกับเรื่องเกมจึงเป็นเรื่องที่ดูไร้สาระ เพราะว่าในชีวิตจริงยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่ควรให้ความสำคัญมากกว่าเกม และสุดท้ายคุณก็โดนคนรอบข้างดูถูกว่าเป็น เด็กติดเกม

พิสูจน์ตนว่าต่อให้เล่นเกมได้ ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการงานหรือการเรียน

ในเมื่อเกมเมอร์รู้ตัวดีว่าคุณไม่ได้ติดเกม ก็พิสูจน์ต่อพ่อแม่ให้เห็นเลยว่าผู้เล่นสามารถอยู่ร่วมกับมันได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการเรียนหรือการงาน นี่คือวิธีที่หลายคนแนะนำมากที่สุดจนรู้สึกโหล่ แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเช่นกัน แน่นอนว่าการรักษาความสมดุลระหว่างการเล่นและการเรียนให้พอดีเป็นสิ่งที่ยากมาก แต่ถ้าหากสามารถแบ่งเวลาได้ หรือไปสุดได้ทั้งสองทางทั้งเกมและงาน คุณจะไม่ได้ยินคำว่า เด็กติดเกม ไปอีกนานแสนนาน

รู้จักตารางเล่นเกมไม่พอแล้ว ต้องรู้จักตารางสำหรับครอบครัว

บางทีการรู้ตารางเวลางานและเวลาเกมมันไม่พอแล้ว ผู้เล่นอาจจะต้องใช้เวลาให้กับครอบครัวเยอะขึ้นบ้าง สมมุติว่าเกมที่คุณเล่นเป็นระบบ Multiplayer ที่ไม่สามารถ Pause หยุดเกมในระหว่างการเล่น และเวลาทานข้าวร่วมกับครอบครัวอยู่ที่ประมาณ 6 โมงเย็น ผู้เล่นควรจะจบ Match ภายใน 5 โมงเย็น เพื่อให้ผู้เล่นพร้อมที่จะรับประทานข้าวร่วมกับพ่อแม่โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เกมเมอร์ต้องเล่นเกมจบในอีก 10-20 นาที ให้เสียอารมณ์

สำหรับความคิดเห็นส่วนตัว สาเหตุที่พ่อแม่ของคุณอาจจะมองว่า เด็กติดเกม เพราะว่าคุณเพ่งเล็งกับการเล่นเกมจนไม่สนใจคนรอบข้างเลย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่อยากจะให้ผู้เล่นได้ให้ความสนใจแก่พ่อแม่บ้าง เพราะฉะนั้นวิธีการใช้เวลาให้กับครอบครัวจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ผู้เขียนแนะนำครับ

ก็หวังว่าวิธีที่กล่าวมาทั้งหมดจะทำให้คนรอบข้างของคุณเลิกดูถูกว่าเป็น เด็กติดเกม ซะที เพราะว่าในเมื่อผู้ใหญ่หลายคนไม่เข้าใจเกี่ยวเกม ก็ต้องเป็นหน้าที่ของ ผู้เล่น จะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเกมไม่สารเสพติด วงการเกมจะเริ่มมองในแง่ดีได้ ถ้าหากสังคม, พฤติกรรม และไลฟ์สไตล์เกมเมอร์โดยรวมทั้งหมดมีลักษณะที่เหมาะสม