Capcom เปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสกับ Dragon’s Dogma 2 กันมาแล้วกับมือแบบเต็มอิ่ม ซึ่งเราบอกได้เลยว่านี่ถือเป็นอีกหนึ่งสุดยอดผลงานเกม Action RPG Open World ที่ทั้งแฟนเก่าและแฟนใหม่ควรจะต้องจับตามอง
แต่ต้องบอกก่อนว่ามันไม่ใช่เกมที่เหมาะกับทุกคนอย่างแน่นอน มันเป็นเพราะอะไร ดียังไง เด่นตรงไหน วันนี้เราจะหยิบความประทับใจทั้งหมดหลังได้เล่นแล้วมาเล่าให้ทุกคนฟังกัน
เล่าให้ฟังปูพื้นฐานกันก่อน Dragon’s Dogma 2 คือภาคต่อของ Dragon’s Dogma ผลงานเกม Action RPG จากปี 2012 เรียกได้ว่านี่เป็นผลงานเกมที่ผ่านกาลเวลายาวนานกว่า 12 ปีถึงจะได้กลับมาอีกครั้ง โดย Dragon’s Dogma ภาคแรกนั้นจัดได้ว่าเป็นผลงานเกมที่ฮิตในหมู่ผู้เล่นแบบเฉพาะกลุ่ม กล่าวคือมันเป็นเกมที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ มีปัญหาหลายส่วนในฝั่งระบบการเล่น รวมถึงการเก็บรายละเอียดเนื้องาน แต่จุดเด่นอื่น ๆ เช่นระบบการต่อสู้ ความลึกล้ำของโลกและการเล่าเรื่องก็ส่งผลให้นี่เป็นเกมที่มีแฟน ๆ อยู่ไม่น้อย และหลายคนก็คอยให้ Dragon’s Dogma กลับมา
บอกกันตั้งแต่ต้นเลยว่า Dragon’s Dogma 2 แทบจะยกระบบการเล่นทั้งหมดจากเกมภาคแรกมาเลยก็ว่าได้ มันยังคงเป็นเกม RPG ที่คงความ Hardcore ไว้เหมือนเดิม และไม่ประณีประนอมไม่เปลี่ยนแปลงตัวเกมให้คล้ายคลึงกับเกมแฟนตาซียอดฮิตในยุคนี้แต่อย่างใด แน่นอนว่าสำหรับแฟน ๆ ดั้งเดิมแล้ว Dragon’s Dogma 2 จะตอบทุกโจทย์พวกคุณต้องการอย่างแน่นอน
เราขอข้ามส่วนของเนื้อเรื่องไปเพราะได้รับการร้องขอจากทีมงานเอาไว้ และพาคุณไปดูจุดต่าง ๆ ของเกมที่น่าสนใจกันแทน จุดที่ตัวเกมปรับปรุงแบบเห็นได้ชัดจากเกมภาคแรกก็คือเรื่องของสภาพแวดล้อมที่น่าสนใจและอัดแน่นด้วยรายละเอียดมากยิ่งขึ้น นี่คือเกม RPG แฟนตาซีที่ทีมงานอยากให้คุณรู้สึกว่าได้หลุดเข้าไปอยู่ในโลกของเกมจริง ๆ ภายในเกมจึงเต็มไปด้วยพื้นที่รอให้คุณไปสำรวจ ปริศนาให้คุณไปแก้ ภารกิจที่คุณได้รับมอบหมาย
โลกภายในเกมนั้นเชื้อเชิญให้คุณออกสำรวจ ถ้ำซึ่งซ่อนสมบัติเอาไว้ ค่ายของเหล่าออร์กและกอบลิน หรือคุณอาจหลงทางไปเจอศัตรูสุดโหดอย่างมังกร ก็ได้เหมือนกัน เรียกได้ว่าทุกซอกทุกมุมของ Dragon’s Dogma 2 มีอะไรรอคอยคุณอยู่เสมอ
การนำเสนอแบบสมจริงของเกมนั้นสะท้อนไปถึงภารกิจต่าง ๆ และเป็นอีกจุดที่ตัวเกมได้รับการปรับปรุงจากภาคก่อน ภาคนี้จะไม่มีระบบ Quest Board หรือการเดินไปรับภารกิจที่กระดานในเมืองอีกแล้ว ไม่มีเครื่องหมายขึ้นบอกว่า NPC คนไหนมีภารกิจให้คุณทำหรือเป็น NPC ที่คุณต้องไปคุย ขณะเดียวกันแผนที่ในเกมก็ไม่ได้ชี้ชัดไปยังจุดสำคัญโดยตรง อาจมีการบอกพื้นที่คร่าว ๆ ว่าคุณต้องไปรวบรวมข้อมูลในจุดนี้ หรือเดินทางต่อไปยังเมืองนี้ แต่โดยรวมแล้วเบาะแสต่าง ๆ ในเกมจะไม่ถูกนำเสนอแบบกระแทกหน้ากระแทกตาคุณ
ที่น่าสนใจคือภารกิจรองและแม้แต่ภารกิจหลักตัวเกมก็ไม่ได้ชี้วิธีผ่านให้คุณรู้แบบชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นภารกิจหลายอันมีตัวเลือกในการไขแตกต่างกันไป แถมหลายอันก็สามารถ Fail และส่งผลกระทบต่อโลกและเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเกมได้อีกด้วย
ในขณะที่คุณจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหน้าจอหรือจุดมาร์คบนแผนที่โดยตรง แต่ตรงกันข้ามคุณจะได้รับการช่วยเหลือจาก Pawn เหล่า NPC ซึ่งเป็นเพื่อนร่วม Party ของคุณแทน เหล่า Pawn จะคอยชี้เบาะแสหรือโบกมือพาคุณไปยังจุดสำคัญของภารกิจ ส่วน NPC ทั่วไปก็มีทั้งพวกที่วิ่งมาหาขอร้องให้คุณช่วย หรือคุณเดินไปเจอโดยบังเอิญและได้ภารกิจบางอย่างมาทำ
โดยรวมแล้วการออกแบบของเกมจึงเชื้อเชิญให้คุณออกสำรวจโลกภายในเกมตามใจต้องการ และโลกของ Dragon’s Dogma 2 ก็เต็มไปด้วยอันตรายและสิ่งที่น่าสนใจตามที่เราเล่ากันไปข้างต้น และที่สำคัญคือแผนที่ในเกมภาคนี้ใหญ่ขึ้นเป็น 4 เท่าเมื่อเทียบกับเกมภาคแรกอีกด้วย เรียกได้ว่าเดินสำรวจกันจนเหนื่อยจริง ๆ
ฝั่งระบบการต่อสู้ที่เคยเป็นจุดเด่นของเกมภาคแรก ภาคที่สองนี้ก็ยังทำออกมาได้สนุกเช่นเคย เราได้มีโอกาสลองสัมผัสกับ Vocation หรือ Class ในเกมนี้ด้วยกัน 2 สาย สายแรกก็ก็คืออาชีพใหม่เอี่ยมของภาคนี้นั่นก็คือ Mystic Spearhand ซึ่งเป็นอาชีพสายผสมระหว่างนักรบและผู้ใช้อาคม
สไตล์การต่อสู้ของ Mystic Spearhand ก็คือใช้หอกสองคมเข้าโจมตีศัตรูอย่างรวดเร็วและรุนแรงผสานกับการใช้เวทมนต์เสริมพลัง ทั้งการบัฟโล่ การฝังอาคมใส่หอก และการใช้อาคมเข้าโจมตีศัตรูโดยตรง ใครที่ชอบท่วงท่าการต่อสู้ที่หวือหวา รวดเร็วตื่นตาตื่นใจ ก็น่าจะเหมาะกับอาชีพนี้
โดยเฉพาะท่าการเคลื่อนที่ซึ่งรวดเร็ว ทำให้ Mystic Spearhand มีความคล่องตัวสูงในระหว่างการต่อสู้ สามารถกระโจนเข้าหาเป้าหมายและซ้ำด้วยการโจมตีที่รุนแรงได้ทันที ขณะเดียวกันท่าอาคมอย่างการจับศัตรูยกและโยนไปข้างหน้าเพื่อใช้โจมตีหรือทุ่มจากที่สูงก็เป็นท่าที่ใช้แล้วสนุกกับการเล่นกับสภาพแวดล้อมภายในเกมเป็นอย่างดี
อีกหนึ่ง Vocation ที่เราได้ลองสัมผัสเป็นอาชีพเก่าจากภาคที่แล้วอย่าง Magick Archer หรือผู้ใช้ธนูซึ่งยิงศรอาคม โดยรวมแล้ว Magick Archer จะแตกต่างจาก Archer ตรงที่ไม่ได้ใช้ลูกธนูจริง ๆ ในการยิงออกเป็นแต่เป็นการยิงพลังเวท จึงมีสไตล์การเล่นคล้าย ๆ กับจอมอาคมนั่นเอง
จุดเด่นของ Vocation นี้คือการมีศรอาคมหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นศรอาคมน้ำแข็งที่ยิงกระสุนติดตามพุ่งพัวพันโจมตีศัตรู ศรพลังเพลิงที่เน้นพลังทำลายจากแรงระเบิด ศรสายฟ้าที่เป็นกระสุนเด้งสะท้อนไปมาในฉากสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง หรือศรฟื้นพลังซึ่งสามารถยิงใส่เพื่อนร่วม Party เพื่อฮีลฟื้นฟูพลังชีวิตได้อีกด้วย
สำหรับระบบการต่อสู้ของ Dragon’s Dogma 2 นั้นก็จะให้ผู้เล่นรวมทีมกับ Pawn ที่เราสร้างเองขึ้นมา 1 คน และทำการ “จ้าง” จากผู้เล่นคนอื่น ๆ มาร่วมทีมอีก 2 คน รวมกันเป็น Party 4 คนตามรูปแบบที่เราต้องการ จะผสมกันเป็น Party ผู้กล้ามาตรฐาน มี Tank มี จอมเวท มี Healer มี Ranger หรือจะเป็นสายโหดกระโดดยิงไม่สนพลังกล้ามเนื้อก็แล้วแต่ใจเรา เราจะได้พบเจอ Pawn ได้ทั้งระหว่างการเดินทางหรือการเปิดประตูมิติ
ซึ่งระหว่างการต่อสู้ Pawn ของเราก็จะพยายามช่วยเหลือและใช้ท่าการโจมตีที่ประสานกันกับเราและเข้ากับสถานการณ์มากที่สุด ยกตัวอย่างเช่นการพยายามเลือกใช้เวทมนต์ในธาตุที่ศัตรูแพ้ทาง หรือใช้อาคมสายฟ้าโจมตีศัตรูที่กำลังตัวเปียกน้ำอยู่
Pawn ถือเป็นจุดเด่นสำคัญของเกมที่ช่วยทำให้บรรยากาศและระบบการต่อสู้มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น เพราะ Dragon’s Dogma 2 เป็นเกม Singleplayer แบบเต็มรูปแบบ การมี Pawn ที่คอยพูดคุยและช่วยเหลือเราระหว่างการเดินทางก็ทำให้ตัวบรรยากาศภายในเกมไม่เหงาจนเกินไป
อย่างไรก็ตามประโยคที่ Pawn ใช้สนทนากับเราก็ไม่ได้มีมากเท่าไหร่ พอเล่นไปได้สักพักเราก็จะเริ่มได้ยินประโยคเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมาซึ่งเป็นปัญหาดั้งเดิมจากเกมภาคแรกและถูกล้อจนกลายเป็น Meme ประจำเกม และจากที่เราได้นั่งฟังมาทั้งวันเราก็คิดว่าภาคนี้ก็คงหนีไม่พ้นปัญหานี้เช่นเคย
พูดถึงปัญหาตัวเกมใน Build ที่เราได้เล่นถึงแม้จะยังไม่ใช่ Build สมบูรณ์ที่เตรียมออกวางจำหน่าย แต่เราก็พบปัญหาในเรื่องของ Framerate ที่ตกลงมาต่ำมาก ๆ ในบางฉาก โดยเฉพาะในฉากที่มี Effect แสงสีจากเวทมนต์เยอะ ๆ ตัว Frame นั้นหล่นลงไปในระดับต่ำกว่า 30 เป็นประจำ ขณะเดียวกันระหว่างการเล่นโดยรวม Framerate ก็ไม่ค่อยคงที่เท่าไหร่นัก เรียกได้ว่าตัวเกมมี Perfomance อยู่ในระดับน่าเป็นห่วงเลยทีเดียวบนจากการเล่นบนเครื่อง PlayStation 5
นอกจากนั้นอีกจุดที่เป็นปัญหาใหญ่จากภาคแรกก็คือเรื่องของ มุมกล้อง การต่อสู้ในถ้ำหรือในพื้นที่แคบ ๆ นั้นมีหลายจังหวะที่เราไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้เลย ต้องอาศัยการพยายามเคลื่อนที่และหมุนมุมกล้องไปรอบ ๆ แบบเดาสุ่ม เพื่อมองหาศัตรู เรียกได้ว่าการต่อสู้ในถ้ำนั้นสร้างความปวดหัวให้เล่นได้ไม่น้อยเลย
จากตัวเกมที่เราได้ลองสัมผัสมากับตัวก็บอกได้เลยว่า Dragon’s Dogma 2 ถือเป็นอีกหนึ่งเกม Action RPG Open World ที่น่าจับตามอง สำหรับใครที่เคยชื่นชอบภาคเก่าก็คงไม่ต้องบรรยายอะไรกันมาก นี่ถือเป็นการอัพเกรดครั้งใหญ่มันปรับปรุงระบบการเล่นหลายส่วนและมีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ส่วนแฟน ๆ หน้าใหม่ที่มองหาเกม RPG ที่มีความ Hardcore ต้องการโลกในเกมที่ให้เราดำดิ่งลงไปเหมือนได้ใช้ชีวิตจริง ๆ Dragon’s Dogma 2 ก็ถือเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ แม้มันอาจจะไม่ได้เหมาะกับเกมเมอร์ทุกสไตล์ โดยเฉพาะเกมเมอร์สายชิวที่ต้องการเกมที่มีตัวช่วยเยอะ ๆ หรือไม่ชอบเกมที่พาเราไปหลงทางหรือเดินป่าข้ามชายแดนกันทั้งวัน
นี่คือผลงานเกม RPG แฟนตาซีที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน และเชื่อได้ว่ามันจะต้องถูกพูดถึงไปอีกนานเหมือนผลงานภาคดั้งเดิมในปี 2012 อย่างแน่นอน
Dragon’s Dogma 2 วางจำหน่ายบนเครื่อง PlayStation 5, Xbox Series S/X และ PC ในวันที่ 22 มีนาคม นี้ครับ