หลังจาก Forbes เสนอว่า Sekiro : Shadows Die Twice ควรมีโหมดง่าย เพื่อให้ผู้เล่นทุกคนสามารถร่วมสนุกได้ ก็เกิดประเด็นถกเถียงอย่างเข้มข้น เหตุผลหนึ่งที่คนเห็นต่างคือกลัวว่าโหมดง่ายจะทำให้เกมเสียเอกลักษณ์
หลาย ๆ คนที่ติดตามเกมของ From Software มาคงทราบดีว่าเกมของค่ายนี้เป็นที่โจษจันเรื่องความยาก ผมเห็นด้วยว่าเกมของค่ายนี้สนุกเพราะมันโหด เราเป็นเหมือนกระดาษ แค่ลมบางเบาจากคมดาบพัดมาก็ปลิวตายแล้ว แต่ความท้าทายนี้ก็เป็นกลิ่นหอมที่ดึงดูดให้ผมวางจอยไม่ลงจริง ๆ (แต่บางครั้งก็อยากจะปาจอยเหลือเกิน) และความสนุกของความยากก็แผ่อิทธิพลมาถึง Sekiro เกมโจทก์เจ้ากรรมด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ผมกลับตั้งคำถามว่าถ้าเกมนี้ขาดเอกลักษณ์เรื่องความยากไป เกมจะยังสนุกหรือมีอะไรน่าสนใจอยู่ไหม? ลองมองข้ามระดับความยากที่เป็นพระเอกชูโรง แล้วแหวกม่านมองส่วนประกอบอื่น ๆ บ้างดีกว่า
ภาษาไทย
ภาษาไทยเป็นเรื่องทั่วไปในชีวิต แต่ภาษาไทยยังไม่ใช่เรื่องทั่วไปในอุตสาหกรรมเกมระดับโลก ดังนั้น แค่มีเกมภาษาไทยปรากฏขึ้นในตลาดเกมก็นับว่าน่ายินดี ที่ต่างชาติเขามองเห็นโอกาสในบ้านเราและพยายามทำให้เราได้เข้าใจเนื้อหาของเกมง่ายขึ้น
และน่ายินดีขึ้นอีกที่ภาษาไทยใน Sekiro แปลออกมาได้สละสลวย เก็บใจความ และเลือกสรรคำให้เข้ากับบรรยากาศเกม ไม่แปลอย่างทื่อตรง เช่น อมรณา (Undying), ดาบไร้ฆาต (Mortal Blade), นักรบสงฆ์ (Corrupted Monk), แขนกลนินจา (Prosthetic Arm) เป็นต้น ซึ่งช่วยให้เราเข้าถึงแก่นสารเนื้อเรื่องและอินไปกับรายละเอียดต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
มีคำบรรยายจุดหนึ่งที่ผมประทับใจมาก คือบทกลอนตรงศาลเจ้าก่อนไปเจอบอสลับ “เจ้าไร้หัว (Headless)” เป็นบทกลอนที่ว่าด้วยการต่อสู้กับเหล่าอมรณา ผู้แปลใช้วรรคตอนของกลอน 8 และเชื่อมสัมผัสแต่ละวรรคได้อย่างสวยงาม เห็นแล้วก็รู้สึกขอบคุณที่ตั้งใจแปลขนาดนี้
อย่างเดียวที่ขอตินิดหนึ่งเกี่ยวกับภาษา คือบางส่วนในเกมยังแปลพลาดไปบ้าง เช่น แปลคำบรรยายของตับปลาไหลซ้ำกับผงถอนพิษ และผมใช้ไอเท็มนี้ผิดและพลาดตายในที่สุด…
ความหนักแน่นและสมจริงยามประดาบ
การต่อสู้ในเกมนี้นับว่าโหดหินและบีบหัวใจเหลือเกิน เพราะทุกคมดาบที่เราต้องปัดป้องต่างฆ่าเราได้แทบทันทีทั้งนั้น
อย่างไรก็ดี การประดาบในเกมนี้ก็โดดเด่นใช่เล่น เสียงเป๊งเป๊งยามดาบกระทบกันมันหนักแน่น บาดหู ยิ่งยามเราปัดป้องการโจมตีของอีกฝ่ายสำเร็จแล้วเกิดแสงสีส้มสว่างวาบขึ้น นั่นยิ่งทำให้รู้สึกฟิน พอสวนกลับและใช้วิชานินจาสังหารได้ก็อิ่มเอม
From Software ออกแบบประสบการณ์ประดาบให้เข้มข้นขึ้น ด้วยการใช้เสียงและเพลงประกอบที่ระทึก เน้นหนักเสียงกลองและทำนองดนตรีทุ้มต่ำ ประคองความระทึกด้วยการบังคับให้เราต้องเข้าไปสะกิดให้ศัตรูยุ่งเข้าไว้ จะได้ฟื้นฟูค่าพลังความแข็งแกร่งช้าลง และถ้าพลาด เราก็เจ็บแทน ทำให้การจดจ้องคมดาบเป็นเรื่องที่น่าลุ้นเข้าไปอีก
แน่นอนว่าการประดาบนี้แหละที่เป็นต้นเหตุให้คนถามหาโหมดง่าย และผมไม่คิดว่าโหมดง่ายจะลดทอนความสนุกตรงนี้ ความท้าทายอาจลดลง รสชาติของชัยชนะอาจจืดจางไปบ้าง แต่ผมเชื่อว่าการประดาบจะยังบีบหัวใจและสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำ
สีสันทิวทัศน์ญี่ปุ่นกับองค์ประกอบที่หมองหม่น
โทนหมองหม่นเป็นอีกจุดขายของ From Software ที่นำเสนอมาตั้งแต่สมัย Demon Souls แม้ Sekiro จะไม่ได้แฟนตาซีเท่าและมีสีสันสดใสกว่า แต่บางครั้งสีสันกลับฉูดฉาดจนน่าเกรงขาม อย่างวัวไฟที่เขาแดงมาเลย หรืออย่างฉากสู้กับนักรบสงฆ์ตัวจริงที่มีซากุระร่วงโรย ขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งบรรยากาศที่มืดทึม พูดง่ายๆ ว่านี่คือทิวทัศน์หุบเขาและบ้านฟางญี่ปุ่นโบราณ ที่ปรับแต่งให้คล้ายเกมตระกูล Souls มากยิ่งขึ้น
ผมค่อนข้างเพลิดเพลินกับการค่อย ๆ สำรวจแต่ละแผนที่ เพราะแต่ละจุดต่างมีวิวสวย ๆ ให้ส่องชม โชคดีหน่อยก็เจอไอเท็ม เจอทางลับ และเมื่อดำเนินเรื่องไปเรื่อย ๆ โทนของเกมจะค่อย ๆ มืดหม่นลง ฉากหลากหลาย และพาเราไปเจอกับศัตรูที่หน้าตาอัปลักษณ์ยิ่งขึ้น ยิ่งน่าตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ เพราะเราไม่รู้เลยว่าจะต้องเจอกับอะไรอีก
อันที่จริงผมเป็นคนที่ชอบการออกแบบสัตว์ประหลาด ความวิเศษของ Sekiro คือการทำให้สัตว์ที่ดูไม่มีพิษมีภัยกลายเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้อย่างไก่โต้งตัวเท่าคน งูยักษ์ตัวเท่าภูเขา ปลาคาร์พที่ดุอย่างกับปลาปิรันย่า ตะขาบที่ผุดออกมาจากคน พวกนี้ฆ่าไม่ยาก แต่เจอหน้ากันทีผมยังตกใจไม่หาย
อย่างหนึ่งที่อยากติเกี่ยวกับฉาก คงเป็นบรรยากาศและการออกแบบแผนที่บางจุด ที่ชวนให้นึกถึงผลงานก่อนหน้าของสตูดิโออย่าง Dark Souls เกินไปหน่อย
เนื้อเรื่องที่เข้าถึงง่ายขึ้น แต่ยังคงความลึกลับน่าค้นหา
ตอนเล่น Dark Souls กับ Bloodborne ผมแทบไม่รู้เนื้อเรื่องจากเกมมากนัก ต้องไปหาอ่านแยกเอง แต่ Sekiro เลือกวิธีเล่าเรื่องที่ง่ายขึ้น ใช้เส้นเรื่องที่ตรงไปตรงมา เล่าเรื่องผ่านตัวละครหลักเพียงตัวเดียว ต่อให้เราสำรวจแผนที่ไม่ถี่ถ้วนหรือพลาดอ่านคำบรรยายไป เกมก็ไม่ทิ้งเรากลางทางแน่นอน (นับเป็นความเมตตาจาก From Software เพราะ Dark Souls คือตัดหางปล่อยวัดชัด ๆ)
ขณะเดียวกัน เราจะได้เห็นโลกของแคว้นอาชินะพร้อมรายละเอียดลึกลับ ชวนค้นหา มีเหตุผลรองรับที่สมเหตุสมผลมากพอให้เข้าหา ผูกปริศนาให้เราติดตามตั้งแต่ต้นเกมจนจบเกม แต่ละตัวละครก็มีเนื้อเรื่องของตัวเองอีก ถ้าเราติดตามเนื้อเรื่องของพวกเขา เราก็จะได้เห็นมุมมองความคิดแง่อื่น ๆ มากขึ้น ถึงเนื้อเรื่องจะไม่เข้มข้นหรือยิ่งใหญ่เท่า Dark Souls แต่ก็ยังพอมีเนื้อหนังให้เสพเอาสนุกได้อยู่
สังเกตว่ารายละเอียดที่ผมยกมาจะเน้นไปทางองค์ประกอบศิลป์และการออกแบบ เพราะเกมหลาย ๆ เกมก็ขายองค์ประกอบศิลป์มากกว่าขายความโหดหิน ซึ่งสิ่งนี้ไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านความยากในการเคลียร์เกม อย่าง ABZU หรือ Journey ก็เป็นเกมเล่นง่าย ๆ ที่ขายความงดงามภายในเกมโดยไม่ต้องนำเสนอสิ่งใดเพิ่ม
Sekiro เองก็มีความงดงามที่น่าสังเกตชวนมอง เรื่องความยากง่ายอาจส่งผลให้เราไม่สามารถเสพงานศิลป์ได้อย่างเต็มที่ มองมุมหนึ่งนั่นก็เป็นรางวัลของผู้ชนะ แต่ต่อให้เกมง่ายขึ้นก็ไม่ได้บั่นทอนคุณค่าอีกหลายส่วนอยู่ดี
เพราะฉะนั้น ความยากและท้าทายเป็นของสนุก เป็นรสชาติเข้มข้นชวนติดใจ แต่ผมไม่คิดว่าการ “เพิ่ม” โหมดง่ายขึ้นจะทำให้เกมจากค่าย From Software เกมนี้หมดเสน่ห์ลง