หลังจากรอกันมานาน ในที่สุดเกมเมอร์ชาวไทย ก็จะมีโอกาสได้สัมผัสกับเครื่องคอนโซลเจนล่าสุดอย่าง PlayStation 5 กันแล้ว โดยทาง Sony ประเทศไทยกำหนดวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการคือวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2021 แถมขายในราคาที่ต้องบอกว่าไม่แพงเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ
ทั้งนี้บางคนอาจลังเลว่าซื้อเครื่องเลยจะดีหรือไม่ เพราะกังวลว่ายังมีเกมให้เล่นไม่เยอะ และส่วนมากที่มีก็เป็นเกม Cross-gen ที่อัปเกรดประสิทธิภาพขึ้นมามากกว่า
วันนี้ เราเลยขอหยิบเอา 10 เกมบน PlayStation 5 มาแนะนำกัน เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น โดยเลือกเอาทั้งเกม Exclusive ของ PlayStation 5 และเกมที่ถูกอัปเกรดมาได้น่าสนใจมาให้ชม ซึ่งเกมเหล่านี้จะพร้อมให้เล่นแล้วทันที ณ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่เครื่องศูนย์ไทยจะเริ่มมีการวางจำหน่าย
–
1. Demon’s Souls
จะบอกว่านี่คือเกมเรือธงของ PlayStation 5 ขณะนี้ก็คงไม่ผิดนัก Demon’s Souls คือผลงานการ Remake เกมต้นฉบับจากเครื่อง PlayStation 3 ขึ้นมาใหม่ โดยทีมงาน Bluepoint Games ที่ชำนาญด้านการ Remake โดยเฉพาะ และมันก็ออกมาเรียบเนียนสมการรอคอยจริง ๆ
Demon’s Souls เป็น Action RPG อันเป็นแนวเกมสมัยนิยมแนวหนึ่ง เหมาะกับเกมเมอร์ที่ต้องการความท้าทายระดับปานกลางไปจนถึงฮาร์ดคอร์ และแฟน ๆ ซีรีส์ Souls ก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของไอเดียทั้งหมด ก่อนที่จะถูกยกมาเป็น Dark Souls หนึ่งในเกมยอดเยี่ยมแห่งยุค ผลงานสร้างชื่อของค่าย FromSoftware
จุดน่าสนใจ
- ครบเครื่องทั้งกราฟิกและ Gameplay ซึ่งคุณจะได้ดื่มด่ำกับความเป็น Next-gen อย่างเต็มที่
- ใช้ลูกเล่นของจอย DualSense กับหลายสิ่ง ทั้งสัมผัสการโจมตีลงบนพื้นผิวที่แตกต่างกัน และรายละเอียดสภาพแวดล้อมอื่น ๆ อีกมากมาย
- เดินรอยตามคุณลักษณะความเป็นเกม Souls ได้ดี เช่นการหลบฉากการโจมตีของศัตรู, กลิ้งพังข้าวของ หรือเดินอ้อมหลังเพื่อเข้าไป Backstab ก็ยังทำได้
- จากข้อข้างบน ทำให้แม้นี่จะไม่ใช่ผลงานของ FromSoftware โดยตรง แต่ผู้เล่นหน้าเก่าก็แทบไม่ต้องปรับตัวเลย
- เก็บครบทุกรายละเอียด ขนาดอนิเมชันเพียงเสี้ยววินาทีสั้น ๆ ก็ยังบรรจงทำออกมาอย่างดี
จุดสังเกต
- เนื้อหาของเกมแทบจะเหมือนกันกับต้นฉบับทั้งหมด
- สืบเนื่องจากข้อข้างบน ทำให้ Moveset ของศัตรูไม่ซับซ้อนมาก ส่งผลให้ Bossfight จะไม่ได้ระทึกท้าทายเท่าเกม Souls อื่น ๆ
–
2. Assassin’s Creed Valhalla
เกมล่าสุดของแฟรนไชส์ดังอย่าง Assassin’s Creed ที่พิสูจน์ตัวเองแล้ว ด้วยการทำยอดขายได้เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยสำหรับ Valhalla จะพาคุณไปดื่มด่ำกับยุคสมัยของไวกิ้งในคริสต์ศตวรรษที่ 9 ที่ผสานเอาความดิบเถื่อน มารวมกับเอกลักษณ์การลอบเร้นกายของ Assassin ได้อย่างแปลกตา
จุดน่าสนใจ
- แอ็กชันที่หนักหน่วงถึงใจสไตล์ไวกิ้ง
- มีความเป็น RPG ที่ดี ออกแบบระบบความก้าวหน้าได้ลงตัว
- ด้วยความเป็น Open World ทำให้เวลาที่ใช้โหลดแผนที่เป็นเรื่องสำคัญมาก และเกมนี้บน PS5 ทำได้รวดเร็วน่าดูชม
- เต็มไปด้วยสถานที่อันสวยงาม ทั้งภูเขาน้ำแข็ง แม่น้ำลำธาร เปิดโอกาสให้โชว์ประสิทธิภาพกราฟิกได้เต็มที่
- มีแผนจะอัปเดตอีกยาวเหยียด ได้เล่นกันคุ้มค่าแน่นอน
จุดสังเกต
- องค์ประกอบของการเล่นแบบ Stealth เบาบางลง เมื่อเทียบกับภาคอื่น ๆ
- มีในบางจังหวะที่ Framerate ตกลงมาบ้าง (แพทช์ปัจจุบันอาจแก้ไขให้ดีขึ้นแล้ว)
–
3. Devil May Cry 5 Special Edition
ซีรีส์ล่าปิศาจสุดเดือดที่หลายคนยกย่องให้เป็นภาคที่ดีที่สุด กลับมาอีกครั้งบน Next-gen ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของเกมให้มากขึ้น จนเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของเกมออกไปได้ราวกับเป็นเกมใหม่ทีเดียว
คุณจะได้รับบทเป็น Dante, Nero และ V ที่มีความสามารถแตกต่างกันไปตามแต่จะเลือกใช้ให้เหมาะ รวมถึงจะมี Vergil มาเพิ่มใน Special Edition นี้โดยเฉพาะ ร่วมออกบู๊คลอไปกับเพลงอิเล็คทรอนิกส์และเฮฟวี่เมทัลแบบดุเด็ดเผ็ดมัน
จุดน่าสนใจ
- Gameplay รวดเร็วสะใจ อีกหนึ่งเกมล่าปิศาจเพื่อคลายเครียดโดยแท้
- เอฟเฟคต์แสงเงาละเอียดจัดเต็มแบบล้นจอ
- งานดนตรีระดับ Masterpiece
- เวอร์ชัน PS5 จะมี Ray Tracing ที่ช่วยให้บางฉากจากเดิมมืด ๆ ก็ดูดีขึ้นกว่าเดิม
- มีโหมด Performance ที่ทำได้ถึง 120 fps ใครมีทีวี / จอมอนิเตอร์ที่รองรับแล้วก็สามารถออกบู๊ได้แบบลื่นสะใจแน่นอน
จุดสังเกต
- ฉากส่วนใหญ่ของเกมให้มู้ดแอนด์โทนคล้ายกันหมด ทำให้มีโอกาสได้โชว์ศักยภาพกราฟิก Next-gen น้อยไปบ้าง
- ด้วยความเป็นโมเดิร์นคลาสสิค ทำให้หลายส่วนดูไม่สมเหตุสมผล และเข้าถึงได้กับผู้เล่นเฉพาะกลุ่มเท่านั้น
–
4. Control
อีกหนึ่งเกมม้ามืดของปี 2019 ที่ถูกจับตามองในฐานะของเกมที่ “ยกเอาอนาคตมาให้เล่น” ก่อนใครในตลาด โดย Control นั้นเป็นแนวไซไฟเหนือธรรมชาติ ที่ให้คุณได้รับบทตัวเอกผู้มีพลังจิตหลายรูปแบบ และเดินหน้าไขปริศนาลึกลับเพื่อฟื้นฟูองค์กรกลับคืนมา
เกมนี้เป็นผลงานของค่าย Remedy ผู้เอกอุในด้านการเล่าเรื่องเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยเพิ่งจะมีการเผยออกมาว่านี่คือหนึ่งในจักรวาล Remedy Connected Universe ร่วมกับเกม Alan Wake และอีกหนึ่งเกมใหม่ที่ยังไม่มีชื่อ จึงถือว่าอนาคตของเกมค่ายนี้นั้นยังอีกยาวไกล และหากใครชอบบรรยากาศความ Surreal แอ็กชันข้าวของกระจุยกระจาย ก็ไม่ควรจะพลาด Control ด้วยประการทั้งปวง
จุดน่าสนใจ
- โดดเด่นเรื่องการกำกับศิลป์ เลือกใช้โทนสีและองค์ประกอบภาพดีมาก
- มีเทคนิคเล่าเรื่องที่น่าสนใจ ประหนึ่งได้ดูซีรีส์ดี ๆ สักเรื่องอยู่
- เป็นเกมที่ใช้ประโยชน์จาก Ray Tracing ได้มากที่สุดเกมหนึ่ง โดยสามารถตามไปชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากไลฟ์สตรีมของเรา
จุดสังเกต
- หากเลือกจะเปิด Ray Tracing จะต้องเล่นแบบ 30 fps เท่านั้น หากต้องการ 60 fps จะต้องเปลี่ยนไปเป็นโหมด Performance ที่ไม่มี Ray Tracing
- คนที่ซื้อ Ultimate Edition เท่านั้นถึงจะได้รับการอัปเกรดฟรี ใครที่ซื้อเกมเวอร์ชันปกติตั้งแต่ช่วงวางจำหน่าย จะต้องซื้อใหม่หากอยากอัปเกรดมาเล่นบน PS5
–
5. Observer: System Redux
เกมสยองขวัญไซไฟเชิงจิตวิทยาของ Bloober Team ผู้สร้าง Layers of Fear และ The Medium ที่กำลังเตรียมจะวางจำหน่ายเร็ว ๆ นี้… แต่ยังไม่ลงให้กับ PlayStation 5 เพราะฉะนั้นคุณอาจจะเลือกเล่นเกมนี้รอไปก่อนก็ได้
Observer นั้นเป็นเรื่องราวในอนาคตปี 2084 ที่มีกลิ่นอายของ Cyberpunk แบบสุดดาร์ค เป็นโลกที่มีภัยพิบัติและสงครามเกิดขึ้น และคุณจะได้รับบทเป็นนักสืบในหน่วย Observer เพื่อออกสืบเสาะไปตามสถานที่เสื่อมโทรม เข้าถึงจิตใจผู้คน และเผชิญกับ “สิ่งที่เหนือจากความเข้าใจ” ซึ่งจะทำให้ขนลุกเกรียวได้เป็นระยะ ๆ
จุดน่าสนใจ
- เล่นกับทัศนวิสัยการมองเห็นของผู้เล่นได้ดี มีการแยกชั้นโลกความจริง ภาพโฮโลกราฟิก และอื่น ๆ ซึ่งจะผสมปนเปกันมากขึ้นเมื่อถึงเงื่อนไขบางอย่าง
- เป็นความสยองขวัญที่เกิดขึ้นในเมืองล้ำยุค หาไม่ได้บ่อย ๆ นักกับเกมแนวนี้
- มีคอนเทนต์ใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาในเวอร์ชัน PS5
- Ray Tracing ทำงานได้ดีอยู่แล้วกับเมืองที่เต็มไปด้วยแสงสีนีออนฉูดฉาด เกมนี้ก็เช่นกัน ที่เหนือชั้นขึ้นด้วยลูกเล่น Global Illumination
- สนับสนุนระบบเสียง 3D ที่จะช่วยเสริมบรรยากาศให้กับเกมได้แบบก้าวกระโดด
- ให้เสียงพากย์โดย Rutger Hauer ผู้เคยฝากผลงานไว้กับภาพยนตร์ Cyberpunk ระดับตำนานอย่าง Blade Runner (1982)
จุดสังเกต
- Gameplay ยังคงยืดยาด และไม่เหมาะกับคนที่ต้องการความระทึกใจเข้ามาบ่อย ๆ
–
6. Call of Duty: Black Ops Cold War
อีกหนึ่งปี, อีกหนึ่ง Call of Duty ที่ยังคงอัดแน่นไปด้วยคุณภาพ เพิ่มเติมส่วนแคมเปญเนื้อเรื่องเข้ามาราวกับดูหนังฟอร์มยักษ์ พาคุณไปอยู่ในช่วงที่โลกกำลังเผชิญวิกฤติสงครามเย็น ซึ่งรัฐบาลอเมริกาได้ก่อตั้งทีมไล่ล่าขึ้นมา เพื่อออกปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น และคุณได้รับบทเป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วยลับ CIA เพื่อสืบสวนหาตัว Perseus สายลับโซเวียตในตำนาน
สำหรับเกมนี้ เรามี Video Review อยู่บน Youtube หากใครอยากรู้จักกับเกมแบบเต็ม ๆ สามารถตามไปรับชมกันได้
จุดน่าสนใจ
- โหมดเนื้อเรื่องมีการเพิ่มองค์ประกอบของการสืบสวนและเก็บหลักฐานเข้ามา ดูมีอะไรมากกว่าเดิม
- Multiplayer สนุก และปรับปรุงมาดีขึ้นเพื่อให้ผู้เล่นได้เน้นเก็บ Objective มากกว่าจะ Camp กันอย่างเดียว
- Ray Tracing จะทำให้คุณดื่มด่ำกับบรรยากาศสนามรบที่สมจริงมากกว่าเดิมในทุกรายละเอียด
- ทำได้ถึง 120 fps
- ใช้ลูกเล่น Adaptive Trigger ของจอย DualSense ได้เต็มประสิทธิภาพ สัมผัสการยิงปืนที่สะใจขึ้นอีกระดับ
จุดสังเกต
- โหมดเนื้อเรื่องยังมีบางส่วนที่ “ไปไม่สุด” และอาจไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร
- เมื่อเปิดเป็น 120 fps หลาย ๆ เอฟเฟคต์จะถูกปิดลงไปเพื่อชดเชยกัน รวมถึง Ray Tracing ด้วย
–
7. Marvel’s Spider-Man Miles Morales
หนึ่งในผลงานจาก Marvel ที่หลายคนยกย่องว่าเป็นเกมซุปเปอร์ฮีโร่ที่ยอดเยี่ยมที่สุด โดยสามารถมอบประสบการณ์ความเป็นภาพยนตร์ได้อย่างตื่นตาตื่นใจ พาผู้เล่นห้อยโหนไปตามตึกรามบ้านช่องแบบไม่มีสะดุด ด้วยประสิทธิภาพเครื่องระดับ Next-gen ที่รองรับไว้เต็มพิกัด
Spider-Man Miles Morales เป็นเนื้อเรื่องต่อเนื่องจากเกมก่อนหน้านี้ ที่เราจะได้รับบทเป็น Miles ผู้ต้องคอยดูแลเมืองนิวยอร์คแทนในส่วนของ Peter Parker ที่กำลังออกไปเที่ยวพักร้อน นำมาซึ่งเหตุการณ์ต่าง ๆ อันไม่คาดคิดที่จะทำให้คุณได้เผชิญกับคิวแอ็กชันสุดมัน โชว์ลูกเล่นใหม่ของตัวเครื่อง PlayStation 5 พร้อมทั้งฟังก์ชันที่เพิ่มเติมเข้ามาจากเกมเดิมอีกมากมาย
จุดน่าสนใจ
- Miles Morales เป็นตัวละครมีเสน่ห์น่าติดตามมาก ๆ คนหนึ่ง
- ได้วาดลวดลายแอ็กชันจัดเต็มกว่าเดิม ด้วยอานิสงส์ความสามารถของ Miles ที่มากกว่า Peter จากภาคก่อน
- เปิดมุมมองความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ให้กับแฟรนไชส์ Spider-Man
- Reflection คือทีเด็ด ที่คุณจะได้เห็นตัวเองผ่านกระจกของตึกอาคารต่าง ๆ แบบเนียนตา
- มีโหมด Performance ที่สามารถเปิด Ray Tracing ที่ 60 fps ได้
จุดสังเกต
- ตัวเกมมีความยาวไม่มาก และมีบางภารกิจที่แอบวนซ้ำอยู่บ้าง
–
8. FIFA 21
อีกเกมที่ยังครองใจแฟนลูกหนังไว้เหนียวแน่น โดยรวบรวมเอาคอนเทนต์ยอดนิยมของเกมฟุตบอลมาไว้ ทั้งการจำลองเป็นผู้จัดการทีม เป็นนักเตะ หรือเลือกที่จะสร้างทีมได้ด้วยตนเอง ตอบโจทย์กับทุกรสนิยมของผู้เล่น
สำหรับเวอร์ชันที่อัปเกรดเข้ามานั้น จะทำให้คุณได้สัมผัสกับประสบการณ์แมตช์การเล่นที่ต่างไปจากเดิม ทั้งยังมีลูกเล่นของจอย DualSense มากมาย อาทิ การกดเพื่อวิ่งจะกดได้ลำบากขึ้นตามความเหนื่อยล้าของนักเตะ เพิ่มอรรถรสให้กับการเล่นไปอีกขั้น
จุดน่าสนใจ
- โมเดลตัวละครละเอียดสมจริง
- ปรับปรุง UX ให้ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะกับผู้เล่นขาประจำที่จะรู้สึกว่าเมนูใช้ง่ายขึ้น
- ในเวอร์ชันอัปเกรด จะมีการใช้เทคโนโลยี Strand Hair ของ Frostbite Engine ที่ช่วยยกระดับฟิสิกส์ ทำให้เส้นผมของนักเตะพลิ้วไหวราวกับมีชีวิตจริง ๆ
- โหลดแมตช์ไวอย่างน่าประทับใจ
จุดสังเกต
- โหมด Volta (เล่นบอลสตรีท) ยังมีคอนเทนต์ที่ดูน้อยเกินไป
- Gameplay ไม่มีอะไรน่าประทับใจขึ้นจากเวอร์ชัน PS4 มากนัก
- มีรายงานว่ายังเจออาการแสงกระพริบตรงเส้นผมของนักเตะอยู่
–
9. Maneater
เกมคุณภาพคับแก้วที่จะให้คุณรับบทเป็นฉลามพันธุ์โหด ผู้อยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร และกินทุกอย่างที่ขวางหน้าเพื่อเสริมความแกร่งให้ตัวเอง ในรูปแบบทะเล Open World อันน่าตื่นตา
Maneater กำลังแจกฟรีอยู่สำหรับสมาชิก PlayStation Plus เดือนมกราคม โดยคุณสามารถเข้าไปกดรับเกมได้แล้วตั้งแต่วันนี้ (กดรับไว้ก่อน ยังไม่ต้องมี PS5 ก็ได้) จนถึง 1 กุมภาพันธ์เท่านั้น
จุดน่าสนใจ
- มันกำลังแจกฟรี !
- ออกแบบ Progression ของเกมมาดีมาก เล่นแล้วติดลมสุด ๆ
- จัดเต็มความละเอียด 4K ที่ 60 fps
- ใช้ลูกเล่นแสงอาทิตย์ส่องลงมาใต้ทะเลได้เหมาะเจาะ เข้ากับสภาพอากาศขณะนั้น
จุดสังเกต
- ลูกเล่น Ray Tracing ที่ควรจะมีอย่างการสะท้อนภาพผิวน้ำกลับไม่ได้ถูกใส่เข้ามาในเกม
–
10. Astro’s Playroom
เกมฟรีที่ติด PlayStation 5 มาตั้งแต่แรกซื้อ. ซึ่งคราวนี้ Playroom ถูกยกเครื่องใหม่ให้เป็นเกม Platformer ผจญภัยแบบอัดแน่น โชว์ประสิทธิภาพของจอย DualSense ออกมาได้มากที่สุดแล้ว เพราะถูกทำมาด้วยความตั้งใจที่จะขายลูกเล่นของ PS5 ทั้ง Haptic Feedback ที่เป็นการสั่นแบบสมจริง ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมในเกม และ Adaptive Trigger ที่จะมอบสัมผัสใหม่ให้กับปุ่ม L2 และ R2
นอกเหนือจากตัวจอย Astro’s Playroom ก็ยังโชว์งานภาพ 4K และระบบเสียง 3D ได้แบบเต็ม ๆ ทำให้นี่คืออีกเกมที่หากคุณได้เครื่อง PlayStation 5 มาแล้ว เราแนะนำว่าห้ามพลาด เพราะเป็นโอกาสที่จะได้ทดลองใช้ฟีเจอร์ ผ่าน Gameplay เพลิน ๆ แต่แฝงไว้ด้วย Level Design ระดับไม่ธรรมดา
จุดน่าสนใจ
- มันฟรี !
- เป็น Tech Demo ที่ไม่น่าเบื่อ พาคุณตะลุยไปกับไอเดียอันสร้างสรรค์ที่เกมนำเสนอออกมา
- งัดเอาทุกความสามารถของจอย DualSense มาใช้
- Ray Tracing ก็มีให้เห็นในบางจุดของเกม
- สนุก น่ารัก เล่นได้ทั้ง ค ร อ บ ค รั ว
- ถือโอกาสบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของ PlayStation ในแง่มุมที่ผู้เล่นอาจไม่เคยรู้มาก่อน
จุดสังเกต
- ตัวเกมค่อนข้างสั้น เล่นจบได้ในเวลาไม่นาน
- มีการ Tribute ให้ตัวแบรนด์ PlayStation ชนิดเอ่อล้น ใครที่ไม่อินก็อาจจะรู้สึกจักจี้แปลก ๆ จนเริ่มไม่อยากเล่นต่อ
—
นอกเหนือจากเกมเหล่านี้ที่พร้อมให้เล่นทันที. PlayStation 5 ยังมีเกมใหม่เตรียมจ่อคิวเข้ามาในอนาคตอันใกล้อีก โดยที่ทราบกำหนดแล้วคือ Returnal เกมแอ็กชัน Roguelike สุดเดือดที่จะมาในวันที่ 19 มีนาคมนี้
ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกหลายเกมทีเดียวที่อัปเกรดมาแล้วดีขึ้นในบางแง่มุม ตัวอย่างเช่น Genshin Impact ที่เคยทำประสิทธิภาพได้เลวร้ายบน PS4 แต่พอมา PS5 แล้วสามารถแก้ปัญหาชนิดหายขาดราวเป็นคนละเกม หรือ Ghost of Tsushima ที่แค่ PS4 ก็โหลดแผนที่ไวจนน่าตกใจอยู่แล้ว พอมา PS5 ยิ่งไปกันใหญ่ ยังไม่รวมถึงว่าได้ 60 fps นิ่ง ๆ เติมอรรถรสของวิถีซามูไรมากกว่าเดิม
ทางทีมงาน GamingDose ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่กำลังวางแผนจะจองเครื่องเร็ว ๆ นี้ ส่วนใครที่ลังเล ก็หวังว่า 10 เกมของเราจะพอช่วยคุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นบ้าง ไม่มากก็น้อย