BY TheStarrySky
27 Oct 20 9:55 am

10 ข้อควรรู้ ติวเข้มแบบจัดเต็มก่อนลงสนาม LoL: Wild Rift

157 Views

ในที่สุดหลังจากรอกันมานานข้ามปี LoL: Wild Rift ก็เตรียมพร้อมสำหรับการ Open Beta เป็นที่เรียบร้อยแล้วในวันที่ 28 ต.ค. ที่จะถึงนี้ แน่นอนว่าการเปิดอย่างเป็นทางการก็จะมีทั้งเหล่าผู้เล่นเดิมจากช่วง Closed Beta และผู้เล่นใหม่ที่ได้สัมผัสเกมเป็นครั้งแรก แต่ด้วยความที่ Wild Rift เป็นเกม MOBA ทำให้แต่ละคนมีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับเกมที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเคยเล่น Wild Rift มาก่อนหน้านั้นหรือไม่ก็ตาม

เพื่อเป็นการทบทวนความรู้และประสบการณ์ที่ว่านั้นอีกครั้ง นี่คือ 10 ข้อควรรู้แบบจัดเต็มสำหรับว่าที่ Summoner มือใหม่ที่กำลังจะกระโจนเข้าสู่ Rift ในไม่ช้านี้ เป็นการเช็กความพร้อมและทำความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ให้ตรงกัน เพื่อการเล่น Wild Rift อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เก้อเขินเวลาลงสนามแม้จะเป็นครั้งแรกก็ตาม เมื่อพร้อมแล้ว เชิญรับชมกันได้เลย !!

1. เล่นให้ถูก ID

ขอเริ่มด้วยการแนะนำตัวเกมและผู้ให้บริการอย่างเป็นทางการให้ทุกคนรู้จักกันก่อน LOL: Wild Rift เป็นเกม Mobile-MOBA โดยฝีมือของค่าย Riot Game อันโด่งดัง ที่มีผลงานชิ้นเอกเป็นหนึ่งในเกม MOBA ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลอย่าง League of Legends (LOL) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเกมนี้นั่นเอง

โดยที่ Wild Rift จะว่าด้วยอีกหนึ่งมิติที่เรียกว่า Rift อันเป็นสนามประลองของเหล่า Champion (Hero) ที่เราจะได้เล่นกัน ใช้เทคนิคและฝีมือเพื่อทำลาย Nexus ฝ่ายตรงข้ามให้จงได้ โดยถึงแม้จะชื่อ LOL เหมือนกับในเวอร์ชัน PC แต่ผู้พัฒนาได้ยืนยันแล้วว่าเกมหลักและ Wild Rift จะมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมในคนละแบบ ทำให้เล่นได้ไม่มีเบื่ออย่างแน่นอนแม้ทั้งสองเกมจะดูเหมือนกันมากก็ตาม

ตามข้อมูลที่มีออกมาก่อนหน้าระบุว่า Wild Rift ใช้เวลาพัฒนาหลายปีเพื่อให้มันกลายเป็น Mobile MOBA ที่ดีที่สุด ดังนั้นมือถือที่สามารถเล่นได้จึงสืบย้อนไปได้ไกลพอสมควร โดยตัวเกมต้องการสเปคขั้นต่ำคือ

  • iOS: iPhone 7 ขึ้นไป
  • Android: CPU 4 Core 1.5 Ghz Ram 1.5 G
  • ความละเอียดหน้าจอ 1280*720 ขึ้นไป

โดยการเล่น LoL Wild Rift จะใช้ “Riot ID” ในการสมัครและยืนยันตัวตน และเป็นคนละตัวกับ “Garena ID” ในที่ในการเล่น LoL ในเวอร์ชั่น PC ที่เปิดให้บริการในประเทศไทย ดังนั้นทุกคนที่ยังไม่เคยเล่นเกมของ Riot จึงต้องลงทะเบียนใหม่ทั้งหมด เพราะ Riot ID ตัวนี้จะมีการระบุโซนเอาไว้ด้วย เพราะโซน SEA ถือเป็นเขตใหม่ที่ทาง Riot พึ่งเข้ามาให้บริการ สามารถลงทะเบียนได้ที่ Link ด้านล่างนี้

สมัคร Riot ID และลงทะเบียน: wildrift.leagueoflegends.com

โดย Riot ID ยังสามารถใช้เล่นเกมของทาง Riot ได้ทั้งหมด ได้แก่ VALORANT (FPS), Teamfight Tactics Mobile (Auto-Battler), Legends of Runeterra (Card Game/OCCG), และเกมอื่น ๆ ที่จะออกมาในอนาคต ดังนั้นสมัครเอาไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาแล้วก็สามารถหยิบมาใช้งานได้ทันที

เกมต่าง ๆ ที่สามารถใช้ Riot ID เข้าเล่นได้ในขณะนี้

2. LOL = Wild Rift

อย่างที่ได้กล่าวไปในข้อแรก Wild Rift นั้นเป็นเกมแนว Mobile-MOBA ทำให้องค์ประกอบหลาย ๆ อย่างในเกมค่อนข้างคล้ายคลึงกับเกมอื่น ๆ ในตลาดที่เราเคยเล่นมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแผนที่, Objective ต่าง ๆ ในเกม แม้กระทั่ง Hero บางตัวก็มีความสามารถที่คล้ายกันมาก ดังนั้นผู้ที่เคยมีประสบการณ์จากเกมอื่น ๆ มาก่อนหน้านี้แล้วจึงจะได้เปรียบในการเล่นครั้งแรกพอสมควร และจะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วหลังจากนั้น

และสำหรับคนที่เคยเล่น LOL PC มาก่อน ก็ต้องบอกว่าคุณนั้นจะได้เปรียบมาก ๆ เพราะ Wild Rift ก็คือ LOL เกมเดิมที่คุณเคยเล่นนั่นเอง ทั้งระบบเลน, ป่า, ไอเทม, และสกิลของ Champion ที่มีความเหมือนกันแทบจะ 100% Mobile MOBA เกมอื่นมาก่อนด้วยแล้ว คุณก็แทบจะพร้อมก่อนเปิดเกมเสียด้วยซ้ำ

ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่เคยมีประสบการณ์มาก่อนหรือไม่ Wild Rift ก็เป็นเกมที่ออกแบบมาเพื่อรองรับกับผู้เล่นทุกคนอยู่แต่แรกแล้ว สิ่งที่ทุกคนต้องทำเหมือนกันก็คือปรับตัวให้คุ้นกับการควบคุมแบบใหม่ และเรียนรู้ความแตกต่างในหลาย ๆ จุดที่จะสามารถเอามาใช้ประโยชน์ได้ในการเล่นต่อไป บางอย่างอาจดีขึ้นจากเกมอื่น ๆ เช่นระบบการควบคุมตัวละครที่ปรับแต่งได้อย่างอิสระ แต่บางอย่างก็ต้องเรียนรู้การใช้งานใหม่ตั้งแต่เริ่ม เช่นระบบ Aim ของ Auto Attack ที่ยังไม่เคยมีเกมไหนทำมาก่อน ซึ่งหากเรียนรู้ได้ไวก็จะยิ่งได้เปรียบมากขึ้นในการต่อสู้

LOL Wild Rift ถูกสร้างขึ้นมาจาก LOL ดังนั้นหลาย ๆ อย่างจึงเหมือนกันมาก

3. Champion = Hero

“Champion” (แชมป์เปี้ยน หรือ แชมป์) คือคำที่ใช้เรียก Hero ในเกมนี้ ดังนั้นหากเห็นใครที่เรียกตัวละครในเกมด้วยคำนี้ก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะพวกเขาคือผู้ที่เคยเล่น LOL มาก่อนนั่นเอง โดยในช่วงแรกอาจมีความรู้สึกแปลก ๆ ในการเรียกอยู่บ้าง (เพราะเกม MOBA ส่วนใหญ่จะเรียกตัวละครว่า Hero) แต่เมื่อเล่นไปได้ระยะหนึ่ง ความเคยชินก็จะทำให้ความรู้สึกแปลก ๆ ที่ว่าหายไปเองอย่างแน่นอน

ตามเนื้อเรื่องดั้งเดิม พวกเขาคือตัวแทนของดินแดนต่าง ๆ ในการต่อสู้เพื่อยุติข้อพิพาทหรือตัดสินปัญหาบางอย่าง (เช่นสงคราม) โดยหาก Champion ทีมไหนสามารถทำลาย Nexus ของฝ่ายตรงข้ามได้ก่อน ก็จะเป็นฝ่ายชนะและถือว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่พวกเขาอ้าง อย่างเช่นการเป็นผู้ชนะในการทำสงครามเป็นต้น วิธีนี้ทำให้แต่ละดินแดนไม่ต้องเสียเลือดเนื้อของผู้คนในการต่อสู้ รวมถึงรักษาสมดุลของพลังที่คอยค้ำจุนโลก Runeterra ที่กำลังใกล้แตกดับเอาไว้

ปัจจุบัน LOL มี Champion ทั้งหมด 152 คน ไม่รวมแชมป์ที่กำลังจะเข้ามาในอนาคตที่มีข่าวแล้ว และอีกจำนวนหนึ่งที่ยกเลิกการพัฒนาไป และใน Wild Rift ในช่วง Open Beta นี้จะมีให้เล่นทั้งหมด 49 คน

Champion ที่มีให้เล่นในช่วงทดสอบ (ในวัน Open Beta จะมีมากกว่านี้) // ภาพโดย YikeZ

4. เล่น Tutorial mode  เพื่อรับรางวัล

เช่นเดียวกับเกมทั่วไปที่จะมีโหมด Tutorial และเป็นปรกติเช่นกันที่โหมดฝึกฝนนี้จะให้รางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเป็นการเริ่มต้นที่ดีและสร้างความประทับใจแรกแก่ผู้เล่นในการที่จะอยู่กับเกมนี้ไปอย่างยาวนาน Wild Rift ก็เช่นกัน ในโหมด Tutorial ของเกมจะถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน ในส่วนแรกจะเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอเหมือนกันเมื่อเข้าเกมมา โดยจะเป็นการแนะนำการควบคุมพื้นฐานในเกม และให้เราได้มีโอกาสได้ลองเล่น Champion บางส่วน ประกอบด้วย Garen, Jinx, Blitzcrank, Ahri, และ Master Yi ซึ่งก็จะแทนตำแหน่ง Figther, Carry, Mage, Support, และ Jungle ตามลำดับ

ในโหมดฝึกภาคบังคับนี้จะไม่ยาวมากนัก และเมื่อจบการฝึกเราก็ได้จะรับ Champion 1 ในตัวที่ให้ทดลองเล่นมาด้วยฟรี ๆ  เพราะฉะนั้นแล้วในโหมดนี้ให้เราทำการลองเล่น Champion ที่ให้ลองครบทุกตัวเพื่อให้รู้ว่าตัวเองเหมาะสำหรับใครหรือสายไหนมากที่สุด อย่างไรก็ตาม Champion ทั้งหมดที่เห็นก็จะมีแจกฟรีครบทุกตัวเมื่อเรา LV มากขึ้น เพราะงั้นจะหลับตาเลือกก็ไม่เป็นไร 😀

และในโหมดฝึกขั้นสูง จะเป็นการแนะนำระบบต่าง ๆ ของเกมที่ลึกกว่าในโหมดบังคับ ประกอบด้วยโหมดฝึก 9 อย่าง ซึ่งเมื่อผ่านการทดสอบจนครบแล้ว เราก็จะได้ Blue motes ที่เพียงพอสำหรับการซื้อ Champion 1 ตัวเป็นของรางวัล ซึ่งก็สามารถเอาไปปลดล็อกแชมป์ฯ ที่เราอยากเล่นออกมาได้ทันที เพราะฉะนั้นหากเกิดถูกใจใครขึ้นมาแล้วเงินไม่พอซื้อ ก็ให้เปิดโหมดฝึกขึ้นมาทำได้เลย

เล่น Tutorial ให้ครบ 9 ภารกิจเพื่อรับ Blue motes เอาไปปลดล็อค Champion ได้ 1 คน

5. อย่างพึ่งรีบซื้อ Champion (บางตัว) เพราะมีแจกฟรี

ต่อจากข้อ 4 เมื่อได้ blue motes มาแล้วก็อย่างพึ่งเครื่องร้อน เพราะ Champion บางคนนั้นสามารถได้มาฟรี ๆ เป็นรางวัล Level Up ตามรายชื่อดังนี้ เรียงจาก Lv 1-10 กันเลยทีเดียว

  • Garen, Jinx
  • Ahri
  • Blitzcrank
  • Master Yi
  • Ashe
  • Annie
  • Vi
  • Nasus
  • Lux
  • Janna

ซึ่งทั้งหมดก็เป็น Champion เล่นง่ายและมีครบทุกสายที่จำเป็นในการเล่น ดังนั้นก็ขอให้ทุกคนตรวจสอบ Level Reward กันก่อนที่จะเลือกซื้อ Champion คนไหน เพราะในช่วงเปิด Open Beta ก็อาจมีการเปลียนแปลงของรางวัลในส่วนนี้อีกครั้งได้

Champion ทั้งหมดที่มีให้ลองเล่นในช่วง Tutorial จะมีแจกฟรีทั้งหมดในภายหลัง เพราะฉะนั้นอย่างพึ่งรีบซื้อ

6. เล่น Champion ให้ตรงสาย

ทีนี้ก็เริ่มเข้าสู่เรื่องสำคัญกันบ้าง การเลือก Champion ให้ตรงสายนั้นสำคัญอย่างมากต่อการเอาชนะเกม โดยการแบ่งประเภทของ Champion ใน Wild Rift จะมีความแตกต่างกับเกมอื่น ๆ เล็กน้อยในชื่อที่ใช้เรียก แต่ในภาพรวมก็มีทั้งหมด 6 สายเช่นเดียวกับ Mobile-MOBA ทั่วไป ได้แก่

  1. Tank – แนวหน้าประจัญบาน อึดถึกตายยาก คอยคุ้มกันเพื่อน ๆ ให้ปลอดภัย
  2. Fighter – หน่วยต่อสู้ระยะประชิด เป็นกำลังหลักในการปะทะ
  3. Marksman หรือ Attack Damage Carry (AD Carry) – ตัวทำความเสียหายด้านกายภาพหลักของทีม
  4. Mage หรือ Ability Power Carry (AP Carry) – ตัวทำความเสียหายด้านเวทมนตร์หลักของทีม
  5. Controller – หน่วยสนับสนุนทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้ของเพื่อนและลดความสามารถของศัตรู
  6. Specialists – สายพิเศษที่ทำได้หลากหลาย หรือมีความสามารถที่เฉพาะทางมาก ๆ

โดยทั่วไปแล้ว ผู้เล่นทั้ง 5 คนในทีมควรที่จะเล่น Champion สายที่ไม่ซ้ำกันเลยในทีมเดียวกัน เพื่อให้แต่ละคนแสดงประสิทธิภาพของ Champion ที่หยิบมาได้ดีที่สุด และยังเป็นการเพิ่มภาระในการป้องกันให้กับทีมตรงข้ามอีกด้วย เพราะหากมีสายซ้ำกันเช่น มีแต่ AD Carry แต่ไม่มี AP Carry ทีมตรงข้ามก็อาจไอเทมป้องกันการโจมตีกายภาพมาทั้งหมด ทำให้เราเสียเปรียบมากในการต่อสู้ระยะยาว

สามารถชมรายละเอียดแบบเจาะลึกได้ที่ Link ด้านล่างนี้ ซึ่งอาจจะขาด Champion บางคนที่พึ่งอัปเดตเข้ามาภายหลัง แต่ข้อมูลนี้ก็เป็นประโยชน์มากพอที่จะใช่จำแนกชนิดของ Champion ที่เข้ามาในอนาคตได้

การแบ่ง Champion ตามสายของ LOL (ภาพโดย Reporting4Booty)

7. ใช้ Objective ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

หากไม่นับมอนเตอร์ป่าทั่วไปที่มีอยู่ในเกม Mobile MOBA เกมอื่น ๆ เหมือนกันแล้ว ในส่วนขององค์ประกอบต่าง ๆ ที่อยู่ใน Map โดยภาพรวมแล้วก็ถือว่าใกล้เคียงกับ Mobile MOBA เกมอื่น ๆ โดยเกมยังจะมี 3 เลน, 9 Tower (Turret) มีแคมป์ป่า, แคมป์ Red และ Blue รวมถึงมีหลุมของมอนเตอร์ขนาดใหญ่อีก 2 แห่ง โดยจะอธิบายเป็นข้อ ๆ ดังนี้

  • Red Brambleback (Red Buff) – มอนเตอร์สีแดง อยู่ทางป่าเลนล่างของผู้เล่นเสมอ เมื่อฆ่าจะได้บัพเพิ่ม True Damage ให้การโจมตีปรกติและทำให้ Slow แต่ไม่มีผลเพิ่มการพื้นฟู HP เหมือนใน PC ผลของ Red Buff ทั้งหมดจะแรงขึ้นหากเป็น Champion โจมตีระยะประชิด บัพอยู่ได้ 90 วินาที (1 นาทีครึ่ง) และ Red Buff จะเกิดใหม่ทุก ๆ 150 วินาทีหลังถูกฆ่า (2 นาทีครึ่ง)
  • Blue Sentinel (Blue Buff) – โกเลมสีฟ้า อยู่ป่าเลนบนของผู้เล่นเสมอ เมื่อฆ่าจะได้บัพเพิ่มการ Regeneration ของ mana และ energy แต่จะไม่มีบัพลด Cooldown skill เหมือนใน PC แลกมากับความสามารถที่หากไม่ได้อยู่สนสถานะต่อสู้ระยะหนึ่ง จะให้ผล Regen HP ด้วย บัพอยู่ได้ 90 วินาที (1 นาทีครึ่ง) Blue Buff จะเกิดใหม่ทุก ๆ 150 วินาทีหลังถูกฆ่า (2 นาทีครึ่ง)

Blue buff และ Red buff

  • Rift Scuttler (แมลง Ward) – จะเกิดบริเวณหลุมมังกรและบารอนในช่วงต้นเกม เมื่อฆ่าได้พื้นฟู Hp/Mp พร้อมกลายเป็น Ward ชั่วคราวให้ทีมนั้น ๆ และทำให้ Champion ทีมเดียวกันที่เดินผ่านได้รับความเร็วการเคลื่อนที่เพิ่มขึ้น เมื่อ Rift Scuttler ทั้งเลนบนและล่างตาย (ต้องตายทั้งคู่) ก็จะสุ่มเกิดใหม่ใน 25 วินาทีหลังจากสภาพ Ward ชั่วคราวหายไป และหลังจากนี้จะมีเกิดแค่ตัวเดียวเท่านั้นไปตลอดทั้งเกม (สุ่มไม่เลนบนก็เลนล่าง) มีความสำคัญอย่างมากสำหรับ Jungle โดย Rift Scuttler จะไม่โจมตีผู้เล่น แต่จะเดินหนีไปเรื่อย ๆ เมื่อถูกโจมตี
  • Rift Herald – จริง ๆ แล้วมันคือ Rift Scuttler ที่ถูกพลังของ The Void ดูดเข้าไป เกิดเมื่อครบ 6 นาทีในหลุมบารอนและจะเกิดเพียงตัวเดียวเท่านั้นในเกม โดยจะอยู่เลนบนสำหรับ Blue team และอยู่เลนล่างหากเป็น Red team
  • เมื่อฆ่าได้ Champion ที่ฆ่าจะได้รับสกิลในการเรียก Rift Herald ออกมาเป็นพวกชั่วคราว โดยมันเดินเข้าสู่เลนที่ใกล้ที่สุด สามารถโจมตี minion และ Champion ได้หากถูกโจมตีก่อน และมีสกิลในการโจมตีอย่างรุนแรงใส่ Turret (ป้อม) แนะนำให้กดใช้ในเลนที่กำลังได้เปรียบ

Rift Scuttler (ตัวเล็ก) และ Rift Herald (ตัวใหญ่)

  • Elemental Dragon – มังกรใน Wild Rift มีทั้งหมด 4 ธาตุ มังกรทุกธาตุจะเกิดแค่ 1 ครั้งตลอดทั้งเกม มังกรตัวแรกเกิดใน 4 นาที และจะเกิดใหม่ใน 4 นาทีหลังจากตาย เมื่อมังกรตายครบ 3 ตัว มังกรตัวที่ 4 จะเกิดเป็น Elder Dragon ที่แข็งแกร่งกว่ามังกรทั่วไป และจะออกมาเป็นธาตุที่ยังเหลืออยู่ที่ยังไม่เกิดเสมอ มังกรจะเกิดในหลุมมังกร ที่จะอยู่เลนล่างสำหรับ Blue team และอยู่เลนบนหากเป็น Red team
  • มังกรจะให้บัพที่ติดตัวทีมไปตลอดทั้งเกม จึงมีความสำคัญอย่างมากและไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะไม่ฆ่ามังกรหากมีโอกาสทำได้โดยมั่นใจว่าศัตรูจะไม่รู้ตัว มังกรแต่ละธาตุจะให้บัพดังต่อไปนี้ โดยที่ Elder Dragon จะให้บัพในลักษณะเดียวกันแต่จะให้ผลมากกว่าเสมอ (แสดงในวงเล็บด้านล่าง)
    • Mountain Dragon: สร้างโล่ที่มี Hp เท่ากับ 6 (9) % ของ Max Hp เรา หลังจากที่ไม่ถูกโจมตีเป็นเวลา 5 วินาที
    • Ocean Dragon: มอบบัพดูเลือดทั้งกายภาพและเวทมนตร์ 8 (12) %
    • Cloud Dragon: มอบบัพเพิ่มความเร็วการเคลื่อนที่ 7.5 (11.5) % โดยผลจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าหากไม่ได้ต่อสู้
    • Infernal Dragon: เพิ่มความเสียหายที่ทำได้จากทุกรูปแบบ 8 (12) %
    • หากมังกรที่ฆ่าเป็น Elder Dragon จะมีบัพที่ทำให้การโจมตีทำความเสียหายต่อเนื่องเป็น True damage ด้วย

Elemental Dragon และสัญลักษณ์ของทั้ง 4 ธาตุ

  • Baron Nashor – มอนเตอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดในเกม เกิดตัวแรกเมื่อครบ 10 นาที และเกิดใหม่ทุก ๆ 3 นาทีเมื่อตาย ทีมที่ฆ่าได้จะได้นับบัพสุดแกร่งที่เพิ่มความสามารถของ Minion ใกล้ ๆ ตัวอย่างมาก, ลดเวลาการ Recall พร้อมเพิ่มความเสียหายที่เราทำได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เกิดในหลุมบารอน ที่จะอยู่เลนบนสำหรับ Blue team และอยู่เลนล่างหากเป็น Red team
  • เช่นเดียวกับ Elemental Dragon นี้เป็น Objective ที่สำคัญมากและควรฆ่าทันทีที่มีโอกาสทำได้ ทั้งนี้ก็ควรดูความพร้อมของทีมด้วยทั้งในด้านพลังและจังหวะ เพราะไฟต์หน้าบารอนมักเป็นจุดพลิกของเกมที่เกิดขึ้นได้บ่อยครั้งและตัวบารอนเองก็มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

Baron Nashor มีความแข็งแกร่งมาก แต่บัพที่ได้หลังจากการฆ่าจะช่วยให้ชนะเกมได้ง่ายขึ้นมาก

สำหรับ Jungle ของเกมที่จำเป็นต้องปะทะกับมอนเตอร์เหล่านี้เป็นประจำ ทาง Wild Rift ก็ได้มีออฟชั่นพิเศษสำหรับสกิลที่ใช้ฟาร์มอย่าง Smite ที่จะมีให้เลือกชนิดเช่นเดียวกับใน PC โดยจะได้หลังจากที่จัดการแคมป์ของมอนเตอร์ป่าไปได้แล้ว 4 แห่ง

  • Challenging Smite (สีแดง) – สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงใส่ยูนิตที่ไม่ใช่ Champion หรือ Turret และ Heal ตัวเองหากยิงใส่มอนเตอร์ป่า หากยิงใส่ Champion จะสร้างความเสียหายพร้อมทำให้เป้าหมายถูกโจมตีแรงขึ้น
  • Chilling Smite (สีฟ้า) – สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงใส่ยูนิตที่ไม่ใช่ Champion หรือ Turret และ Heal ตัวเองหากยิงใส่มอนเตอร์ป่า หากยิงใส่ Champion จะสร้างความเสียหายพร้อม Slow เป้าหมาย 

และอีกสิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือ ใน Wild Rift ผู้เล่นจะต้องกลับฐานเพื่อซื้อของ ไม่สามารถจากที่ไหนก็ได้เหมือนเกมอื่น ๆ จุดนี้ทำให้การเล่นต้องมีการวางแผนมากขึ้นเพราะการทิ้งเลนไปซื้อของและเติม HP นั้นคือเวลาที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถโจมตีสวนมาได้

Challenging Smite (สีแดง) และ Chilling Smite (สีฟ้า) จะปรากฏให้เลือกหลังจากจัดการแคมป์ป่าได้ 4 แห่ง

8. ไปให้ถูกเลน (Baron, Dragon)

สิ่งหนึ่งที่อาจทำให้ผู้เล่นใหม่งงงวยกันก็คือ วิธีการเรียกเลนของเกม โดยเฉพาะคนที่มาจากฝั่ง PC และไม่เคยเล่น Mobile-MOBA มาก่อน โดยในเกมตอนนี้จะไม่มี Top lane, Bottom lane อีกต่อไป จะมีเพียง Baron lane แทน Top lane และ Dragon lane แทน Bottom lane

ที่เป็นเช่นนี้เพราะแผนที่ของ Red team จะถูกกลับข้างมาอยู่ด้านล่างซ้ายเหมือน Blue team ทำให้ตำแหน่งของ Objective เปลี่ยนไปด้วย (เปลี่ยนไปเหมือน Blue team) ยกเว้นหลุมบารอนและหลุมมังกร โดยหลุมบารอนของทีมแดงอยู่ด้านล่าง ทำให้ Baron lane หรือก็คือ Solo lane เปลี่ยนมาอยู่ด้านล่างด้วย ส่วนเลนคู่ (Duo lane) ที่ปรกติคือเลนล่างก็จะย้ายไปเลนบน และถูกเรียกว่า Dragon lane แทน เนื่องจากมังกรของทีมแดงจะอยู่ด้านบนนั่นเอง

วิธีดูว่าเลนไหนคือเลนอะไร สามารถดูได้จากสัญลักษณ์ที่อยู่ในฐานของเรา

การไปให้ถูกเลนในช่วงต้นเกมนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากกกกกก (ก. ล้านตัว) และแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่แยกระหว่างผู้เล่นที่พอเข้าใจระบบของเกมแล้ว กับผู้เล่นหน้าใหม่ไร้ประสบการณ์ได้เลย (ยกเว้นผู้เล่นระดับสูงที่มีแผนการที่แยบยลกว่านั้น) เพราะมันส่งผลถึง Timing ของเกมรวมถึงประสิทธิภาพของ Champion ที่จะไปในเลนนั้น ๆ อีกด้วย โดยเลนที่จะไปนั้นจะสัมพันธ์กับตำแหน่งที่เราเล่น ดังนี้

  • Baron lane (บนของทีมฟ้า – ล่างของทีมแดง) เป็นเลนของ Fighter หรือ Champion ที่มีความสามารถในการเอาตัวรอดได้ด้วยตัวคนเดียวสูง ที่ไฟต์เตอร์ต้องมาเลนนี้ก็เพราะเป็นที่อยู่ของ Baron ที่จะเกิดเมื่อครบ 10 นานที อันเป็นช่วงกลางเกมไปแล้ว ทำให้การต่อสู้ใหญ่ ๆ มักจะไม่เกิดที่เลนนี้ และเป็นเลนที่ไกลจากผู้เล่นอื่น ๆ ที่เหลือ ทำให้ Champion ในเลนนี้จะต้องแข็งแกร่งอยู่แล้วพอสมควร
  • Middel lane (เลนกลาง) เป็นเลนของ Mage หรือ Carry ที่เน้นการใช้สกิล เหตุที่เมจต้องมาเลนนี้ก็เพราะเป็นเลนที่ Minion ปะทะกันเร็วที่สุด ทำให้ Level ของ Champion ในเลนนี้จะขึ้นเร็วกว่าเลนอื่น ๆ ทำให้สกิลดีขึ้นตามลำดับ การอยู่ตรงกลางยังทำให้ง่ายที่เพื่อนจะมาช่วยหากเกิดปัญหา และลักษณะเลนที่สั้นทำให้มีความปลอดภัยพอสมควรแม้อยู่คนเดียว และยังสามารถเดินไปช่วยเลนบนหรือล่างได้เร็วอีกด้วย
  • Dragon lane (ล่างของทีมฟ้า – บนของทีมแดง) คือเลนของ Support และ Carry ตัวหลัก เนื่องจากเป็นเลนของตำแหน่งสำคัญอย่าง AD Carry ทำให้เลนนี้จำเป็นต้องมี 2 คนเพื่อความปลอดภัยและทำให้ Carry เล่นได้ง่ายขึ้น เพราะตัวเลนมีฟุ่มไม้ที่ช่วยในการซ่อนตัวได้ด้วย อีกเหตุผลที่เลนนี้ต้องมากัน 2 คนก็เพราะเป็นเลนใกล้หลุมมังกร ที่จะเกิดตัวแรกในนาทีที่ 4 ทำให้สองคนที่อยู่เลนนี้ต้องทำหน้าที่เฝ้ามังกร หรือช่วย Jungle สังหารมังกรหากมีโอกาสทำได้

ใน Wild Rift ผู้เล่นสามารถสังเกตได้ง่าย ๆ ว่าไหนคือ Baron lane หรือ Dragon lane ด้วยการดูลัญลักษณ์ที่พื้นในฐานของตัวเอง โดยในช่วงเริ่มเกมนั่นก็จะมีการบอกอย่างชัดเจนด้วยว่าเลนไหนเป็นเลนเดี่ยวหรือเลนคู่ การไปผิดเลนนั่นนอกจากทำให้เล่นยากแล้ว ยังส่งผลให้ประสิทธิภาพโดยรวมของทีมต่ำลงด้วย ดังนั้นไปให้ถูกเลนจึงจะดีที่สุด อย่างน้อยก็ในเรื่องจำนวน (เลนบารอน 1 เลนมังกร 2) แม้ว่าเราจะหยิบ Champion มาผิดสายก็ตาม

ส่วนประกอบของแผนที่แบบคร่าว ๆ

9. ปรับแต่งเกมให้เป็นของเรา !!!

สิ่งสำคัญมาก ๆ อย่างสุดท้ายที่เราขอแนะนำก็คือ การปรับแต่งตัวเกมให้เหมาะกับเราเอง โดยใน Wild Rift ผู้เล่นสามารถปรับแต่งหน้าต่างผู้เล่นได้อิสระมาก ๆ ในส่วน Option ของเกม จะให้ปุ่มไหนอยู่ดำแหน่งใด หรือมีขนาดที่ใหญ่แค่ไหนก็ได้ ขึ้นอยู่กับความถนัดของเราเอง ซึ่งสามารถปรับแต่งได้หลาย Preset เพื่อให้เหมาะสำหรับ Champion บางคนได้อีกด้วย สิ่งนี้จะช่วยรีดประสิทธิภาพในการเล่นของเราออกมาได้อย่างสูงสุด ช่วยให้การเล่นเกมสนุกและเพิ่มโอกาสที่จะชนะได้มากขึ้นเช่นกัน

อีกส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ FPS โดยใครที่อุปกรณ์มีประสิทธิภาพมากพอ ก็ขอแนะนำให้ปรับการตั้งค่าของเกมให้เป็นแบบ 60 FPS เพราะสิ่งนี้จะทำให้เกมไหลลื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ช่วยให้การรับรู้และการตอบโต้ของเราดีขึ้น แลกกับการใช้พลังงานและความร้อนที่เกิดจากการใช้หน่วยประมวลผลของเกม

นอกจากนั้นแล้วก็เป็นการปรับในเรื่องแมคคานิคของเกม เช่นการเลงเป้า (เลงใกล้สุดหรือเลง Hp ต่ำสุด), การ Auto cast, การแพนกล้อง และอื่น ๆ ในส่วนนี้ก็ขอให้ทุกคนทำความเข้าใจและปรับแต่งได้ตามใจชอบ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้ามในหลาย ๆ เกมเพราะมันดูยุ่งยาก แต่หากเข้าใจและใช้มันได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว ก็เหมือนกับว่าเราได้นำหน้าคนอื่น ๆ ไปแล้วก้าวหนึ่งโดยที่ยังไม่ได้เริ่มเกมเลยทีเดียว

หน้าต่างการปรับแต่งปุ่มและ UI ในเกมของ Wild Rift จะเห็นได้ว่าสามารถปรับได้ละเอียดมาก

10. เป็นผู้เล่นที่ดีอยู่เสมอ

ในข้อนี้จะเรียกว่าเป็นการพูดคุย, ขอร้อง, ขอให้ระวัง, หรือแนะแนวกันอีกครั้งก่อนเข้าเกมก็ได้ โดยเชื่อว่าแต่ละคนก็น่าจะเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเกม MOBA หรือแนว PvP เกมอื่น ๆ มาไม่มากก็น้อย ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นใน Wild Rift ก็ไม่ต่างกัน เราอาจเจอทั้งผู้เล่นที่ดี, เก่ง, เกรียน, หัวร้อน, หรืออะไรก็ตามที่พอจะนึกออกได้ บางทีอาจมา 2-3 แบบในคนเดียวกัน ก็สุดแล้วแต่บุญแต่กรรมที่แต่ละคนทำเอาไว้

ใน LOL: Wild Rift นี้ เรียกได้ว่าอาจจะเป็นครั้งแรกของหลาย ๆ คน ที่จะได้เล่นเกมในระดับ international เป็นครั้งแรก เพราะเซิร์ฟเวอร์ของเกมจะเป็นแบบรวมหลาย ๆ ประเทศเข้าด้วยกัน ทำให้เรามีโอกาสสูงที่จะเจอผู้เล่นต่างชาติในทีม แน่นอนว่ามันย่อมตามมาด้วยความวุ่นวายที่เกิดจากเล่น, การสื่อสาร, และอื่น ๆ ที่เรามีโอกาสเจอมากขึ้น มากกว่าการเล่นกับคนชาติเดียวกัน สิ่งนี้ทำให้ระบบดูแลผู้เล่นของ Wild Rift มีความเข้มงวดเป็นอย่างมาก

ตัวอย่างเช่น โทษของการ AFK ในช่วงทดสอบคือ การแบนสูงสุดถึง 12 ชม. แม้จะเป็นการหลุดแบบไม่ได้ตั้งใจก็ตาม และโทษของการกระทำอื่น ๆ ที่ร้ายแรงกว่าก็เพิ่มขึ้นตามความผิดที่ได้ทำนั้น เช่นการแบนผู้ที่ขาย ID ระหว่างการทดสอบนานถึง 720 ชม. และสูงสุดคือขั้นแบน Riot ID ที่ทำให้ข้อมูลในเกมอื่น ๆ ถูกบล็อกไปด้วย

ตัวอย่างผู้ที่ AFK จะถูกแบนโดยอัตโนมัติ ตั้งแต่ 5 นาที ไปจนถึง 12 ชม.

ที่เป็นเช่นนี้เพราะ Riot Game กำลังจะกลายเป็นค่ายที่ต้องดูแลเกมเป็นจำนวนมากครั้งแรก ทำให้พวกเขาต้องมั่นใจว่าทุกคนที่อยู่ในการดูแลจะต้องมีประสบการณ์ในเกมที่ดีที่สุด แม้การแบนอาจจะไม่ช่วยแก้ปัญหา แต่มันก็ช่วยลดโอกาสที่คนอื่น ๆ จะไปเจอกับคนแย่ ๆ เหล่านั้น แม้จะเล็กน้อยแต่ Riot ก็ไม่ลังเลที่จะทำแน่นอน

สำหรับผู้ที่เล่นที่ประพฤติตัวดีและเล่นอย่างขาวสะอาดมาตลอดอยู่แล้ว ในเกม LOL แบบ PC ก็มีระบบหนึ่งที่ชื่อ Honor system ที่ยังไม่ถูกเพิ่มเข้ามาใน Wild Rift เป็นระบบที่จะให้รางวัลกับคนที่เล่นเกมอย่างถูกต้อง ยกย่องคนที่มีน้ำใจนักกีฬา และส่งเสริมพวกเขาให้อยู่ในแนวทางนั้นต่อไป ซึ่งก็เชื่อว่าในอนาคต Wild Rift ก็จะมีระบบนี้เช่นกัน ดังนั้นก็ขอให้ทุกคนรักษาความดี ดุจกาชารักษาความเค็ม !! เพราะมันจะส่งผลดีในอนาคตแน่นอน 😀

สามารถ Download ได้ที่ Link ด้านล่างนี้ และติดตามข่าวสารเพิ่มเติม และสมัคร ID เข้าเล่นเกมได้ที่ wildrift.leagueoflegends.com แล้วพบกันใน Rift !!

 

Source: League of Legends: Wild Rift, leagueoflegends.fandom.com, zilliongamer.com, digiparadise.com, reddit.com, YikeZ, duniagames.co.id, millenium.gg, Reporting4Booty

Pathiphan Tepinta

Back to top