Need for Speed Unbound ถือว่าเป็นเกมภาคล่าสุดที่เปิดตัวได้อย่างน่าสนใจ เพราะมีการนำเสนออาร์ตสไตล์ที่ดูฉูดฉาดกว่าภาคก่อนอย่างเห็นได้ชัด แล้วภาคนี้มีอะไรบ้าง นี่คือ 20 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Need for Speed Unbound และทิศทางใหม่ที่แตกต่างจากภาคก่อน
1. พัฒนาโดย Criterion Games ทีมผู้สร้าง Burnout กับ Need for Speed ภาคอดีต
จากเดิมที่ Need for Speed ภาค 2015, Payback และ Heat สร้างโดยทีมงาน Ghost Games (ปัจจุบัน คือ EA Gothenburg) ในภาคนี้ ตัวเกมได้พัฒนาโดยค่าย Criterion Games ที่เกมเมอร์ชาว Racing น่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี
สำหรับคนที่ไม่รู้จัก Criterion Games เป็นค่ายเกมของ EA ที่เคยฝากผลงานเกม Racing เด็ด ๆ อย่างซีรีส์ Burnout กับ Need for Speed ภาค Hot Pursuit และ Most Wanted ฉบับ Reboot มาก่อน ด้วยทีมงานดังกล่าวมีประสบการณ์สร้างเกมแข่งรถมานาน ก็ถือว่ามั่นใจได้ระดับหนึ่งว่าตัวเกมจะต้องออกมามีคุณภาพตามมาตรฐานแน่นอน
2. ตัวเกมสร้างด้วย Frostbite Engine
Need for Speed Unbound ยังคงพัฒนาโดยใช้ Frostbite Engine ซึ่งเป็นเอนจินเกมเดียวกับที่ใช้ใน Battlefield 2042, FIFA กับเกมอื่น ๆ อีกหลายเกมของค่าย EA
ถึงแม้ Frostbite เป็นเอนจินเกมประสิทธิภาพสูง สามารถเรนเดอร์ฉากสภาพแวดล้อม ตัวละครได้รายละเอียดสูง และนำเสนอภาพกราฟิกอย่างสมจริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า Frostbite มี “ชื่อเสีย” เกี่ยวกับการใช้งานที่ซับซ้อน ซึ่งส่งผลทำให้เกมบางเกมของ EA เช่น Mass Effect Andromeda กับ Battlefield 2042 เคยมีปัญหาด้านประสิทธิภาพ เพราะเอนจินตัวนี้มาแล้ว
ถึงอย่างนั้น เนื่องจาก Need for Speed Unbound ใช้เวลาพัฒนามานานเกือบ 3 ปี ฉะนั้นเราจึงมั่นใจว่าตัวเกมต้องมีความพร้อมในระดับหนึ่งแล้ว
3. อาร์ตสไตล์ใหม่ ผสมผสานระหว่างการ์ตูน และแนวสมจริง
ซีรีส์ Need for Speed ได้เผชิญหน้ากับวิกฤตตัวตน (Identity Crisis) มานานมากแล้ว แม้เกมดังกล่าวมีชื่อเสียงเกี่ยวกับระบบแต่งรถ และการขับขี่สไตล์อาร์เคด รวมถึงภาค Heat เริ่มกลับเข้าสู่แนวทางอย่างที่ควรจะเป็น หลังจากมีกระแสตอบรับที่ไม่ดีติดต่อกัน 2 ภาค แต่โดยรวมแล้ว EA ยังต้องทำการบ้านเพิ่มเติมว่าจะต้องทำอย่างไรให้ NFS มีความแตกต่างจากชาวบ้านให้ได้
ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงเป็นสาเหตุหลักที่ Need for Speed Unbound หันมาใช้อาร์ตสไตล์ที่ผสมผสานระหว่างการ์ตูน และสมจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่เกม NFS ไม่เคยทำมาก่อน โดยตัวละครจะมีรูปร่างเป็นการ์ตูน, เอฟเฟกต์รอบรถกับควันจากล้อ เป็นงานศิลปะ Street Art ยกเว้นโมเดลรถ และฉากต่าง ๆ จะยังเน้นงานภาพที่สมจริง
แนวทางใหม่ของ Need for Speed Unbound มีกระแสตอบรับที่มีทั้งคนชอบ และคนไม่ชอบปะปนกันไป ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะความชอบของงานศิลปะเป็นเรื่องรสนิยมส่วนตัว ไม่มีผิดไม่มีถูก ถึงอย่างนั้น เกมดังกล่าวก็ถือว่าได้สร้างกระแสเป็นที่น่าสนใจ เพราะเป็นการนำเสนอที่ดูแปลกตาจากเกม NFS ภาคก่อนอย่างเห็นได้ชัดเจน
4. การปรับแต่งภาพลักษณ์รถยังจัดเต็ม
ระบบการปรับแต่งภาพลักษณ์รถยนต์ เป็นสิ่งที่ขาดหายไปไม่ได้ในเกมตระกูล Need for Speed ซึ่งแน่นอนว่าระบบดังกล่าวก็ได้กลับมาอีกครั้งในภาค Unbound พร้อมตัวเลือกการปรับแต่งที่ดูเหมือนจะมีความละเอียด หลากหลายกว่าเกมภาคก่อน
5. เอฟเฟกต์รถยนต์สามารถเปิด-ปิดได้ตามใจชอบ
ไม่ใช่เกมเมอร์ทุกคนจะชื่นชอบเอฟเฟกต์รอบรถยนต์ และอาร์ตสไตล์การ์ตูนด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา ตั้งแต่เป็นการพรากความสมจริง, ไม่อินกับอาร์ตสไตล์, เอฟเฟกต์บดบังวิสัยทัศน์ และอื่น ๆ อีกมากมาย จนบางคนคาดหวังว่าเอฟเฟกต์ต่าง ๆ ในเกมจะสามารถเปิด-ปิดได้
ล่าสุด EA กับ Criterion Games ออกมายืนยันแล้วว่า ผู้เล่นสามารถเปิด-ปิดเอฟเฟกต์รอบรถยนต์ได้ตามความต้องการ ด้วยการถอดพาร์ทออกในโหมดแต่งรถ พร้อมเผยในวิดีโอเกมเพลย์ว่าบางเอฟเฟกต์ สามารถปลดล็อกได้จากการทำความท้าทายต่าง ๆ อีกด้วย
6. ครั้งแรกของ Need for Speed ที่สามารถถอดกระจังหน้า-หลังได้
เป็นครั้งแรกของเกม Need for Speed ที่ผู้เล่นสามารถถอดกระจังหน้า-หลังของรถได้ ซึ่งการถอดพาร์ทดังกล่าว ทำให้เรามองเห็นชิ้นส่วนภายในรถแบบชัดเจนมากขึ้น รวมถึงเป็นการลดน้ำหนักให้รถเบาขึ้นอีกด้วย (แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าการถอดพาร์ท มีผลต่อการขับขี่หรือไม่)
7. เซตติงอยู่ใน Lakeshore City
ในโลก Need for Speed Unbound มีฉากหลังเป็นเมือง Lakeshore City ที่ได้รับแรงบันดาลใจ และมีต้นแบบมาจากเมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐฯ
เบื้องหน้า Lakeshore City เป็นเมืองสงบสุขเมืองหนึ่งที่น่าอยู่อาศัย แต่เบื้องหลัง เป็นแหล่งรวมของเหล่านักซิ่งใต้ดินที่หลายคนเดินทางมาเมืองนี้ เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง ในจุดเริ่มต้น ผู้เล่นจะมี Safe House หลังแรกชื่อว่า “Rydell’s Rydes” ซึ่งเป็นทั้งบ้านสำหรับซ่อมตกแต่งรถคันโปรด และแหล่งหลบหนีจากตำรวจในเวลาเดียวกัน
8. โลกในเกมยังคงมีการสลับเวลากลางวัน-กลางคืน
เหมือนกับ Need for Speed ภาคก่อนหน้านี้ ผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะแข่งขันรถยนต์ในช่วงเวลากลางคืน หรือช่วงเวลากลางวัน แต่ถึงอย่างนั้น ยังไม่มีการคอนเฟิร์มว่าเกมภาคนี้จะใช้ระบบ Day-Night เหมือนภาค Heat หรือไม่ ซึ่งก็ต้องรอรายละเอียดเพิ่มเติมจากทีมงานต่อไป
9. มีระบบ Cross-Play เล่นเกมเจอทุกคนจากหลายแพลตฟอร์ม
Need for Speed Unbound รองรับการเล่น Cross-Play ระหว่าง PC, PlayStation 5 กับ Xbox Series X/S ได้ตั้งแต่วันแรกของการเปิดตัว ซึ่งหมายความว่าหากเล่นโหมด Multiplayer ก็การันตีได้เลยว่าเกมเมอร์จะต้องเจอกับคู่แข่งจากหลายแพลตฟอร์มเกือบตลอดเวลา ไม่เล่นเกมแบบเหงา ๆ อีกต่อไป
10. ตัวเกมจะสนับสนุนในระยะยาว
EA กับ Criterion Games สัญญาว่า Need for Speed Unbound จะมี Post-Launch Content เป็นการเพิ่มเนื้อหาใหม่เป็นระยะ ๆ หลังจากเกมปล่อยวางจำหน่ายแล้ว รวมไปถึงจะมีการสนับสนุนตัวเกมในระยะยาว ซึ่งพวกเราคาดหวังว่าเกมภาคนี้จะไม่หยุดสนับสนุนอย่างรวดเร็วเหมือนภาค Heat ที่มีอายุขัยเพียง 7 เดือนเท่านั้น
11. มีรถให้ขับทั้งหมด 143 คัน
ทีมพัฒนาเกม ออกมาคอนเฟิร์มแล้วว่าใน Need for Speed Unbound มีรถยนต์ให้ขับทั้งหมด 143 คัน (ไม่นับ DLC) ซึ่งมีรถสปอร์ตญี่ปุ่นโดนใจวัยรุ่น, รถซีดานประสิทธิภาพสูง ทั้งหรูและแรง, รถคัลท์ ๆ ที่ไม่เหมือนใคร รวมไปถึงรถซูเปอร์คาร์ในฝัน ที่ทุกคันสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของผู้เล่น
โดยเกมเมอร์สามารถรับชมรายชื่อรถทั้งหมดที่ เว็บไซต์ทางการของ Need for Speed
12. ไม่มี Toyota, Audi กับ Hyundai ในวันเปิดตัว
น่าเสียดายที่ Toyota ยังไม่กลับมาใน Need for Speed ด้วยสาเหตุบางอย่าง ที่คาดว่ามีความเกี่ยวข้องกับธีมเกมแข่งรถแบบผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ Toyota ไม่ค่อยอยากจะสนับสนุนเท่าไหร่นัก
แต่อย่างไรก็ตาม มีจุดสังเกตว่ารถ Audi กับ Hyundai ที่มักปรากฏตัวใน NFS ทุกภาค กลับไม่ได้โผล่ในเกมภาคนี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่ารถ Toyota, Audi กับ Hyundai อาจจะกลับมาในเกมผ่านรูปแบบ DLC หรือขาดจากลากับเกมภาคนี้อย่างถาวร
13. Singleplayer มีเนื้อหาเป็นการก้าวสู่สุดยอดนักแข่ง
เนื้อเรื่องของเกม Need for Speed Unbound มีเนื้อหาที่ “คุณ” ต้องเข้าสู่วงการแข่งรถใต้ดิน ไต่เต้าจากนักแข่ง “ไอ้มือใหม่” สู่นักแข่งระดับมือโปรฯ แล้วได้รับชัยชนะการแข่งขัน Street Racing สุดยิ่งใหญ่อย่าง “The Grand” และเรียกคืนรถที่ถูกขโมยจากการถูกปล้นกลับมาให้ได้
แน่นอนว่าการเข้าร่วมแข่งขัน The Grand จะต้องผ่านบทพิสูจน์มากมาย ไม่ว่าจะการแข่งคว้าชัยอันดับ 1, หลบหนีจากการถูกไล่ล่าโดยเจ้าหน้าที่ และเอาชนะคู่แข่งอันหยิ่งยโสให้ได้
14. ตำรวจยังคงเป็นตัวป่วนที่เข้ามาขัดขวางความสนุก
งานเลี้ยงย่อมต้องโดนขัดขวางโดยผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อยู่เสมอ พวกมันจะปรากฏตัวระหว่างการแข่งขันเป็นประจำ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของผู้เล่นที่ต้องหลบหนีจากตำรวจด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่งหากทำไม่สำเร็จ ก็เตรียมตัวนอนในซังเต และถูกปรับเงินหนัก ๆ ได้เลย
15. ระบบ Heat Level กลับมาอีกครั้ง
Heat Level จากเกมภาคก่อนได้กลับมาอีกครั้งในภาคนี้ สำหรับคนที่ไม่รู้จัก Heat Level เปรียบเสมือนเป็น Wanted Level ของ GTA ที่ยิ่งการไล่ล่าตำรวจใช้เวลายืดเยื้อมากเท่าไหร่ ตำรวจก็จะยิ่งโหดขึ้น ตั้งแต่เปลี่ยนรถให้มีประสิทธิภาพสูง และอึดกว่า, เริ่มมีการใช้อุปกรณ์เสริม หรือใช้เฮลิคอปเตอร์ติดตามการเคลื่อนไหว ที่การันตีได้เลยว่าตำรวจจะไม่มีทางปล่อยให้คุณได้ลอยดวลง่าย ๆ อย่างแน่นอน
16. ได้แร็ปเปอร์ตัวจริงเสียงจริง พร้อมรถยนต์คันโปรดมาอยู่ในเกม
หนึ่งในตัวละครหลักของเกม Need for Speed Unbound คือ A$AP Rocky แร็ปเปอร์ชื่อดังในชีวิตจริงที่จะมาในหมาดนักซิ่งที่รักความท้าทาย และความเร็วสูง ซึ่งเขาไม่ได้โผล่ในเกมเฉพาะแค่ภาพลักษณ์อย่างเดียว แต่มาพร้อมรถคันโปรดอย่าง Mercedes-Benz 190E 2.5-16 Evo รถซีดาน 4 ประตูที่ผ่านการตกแต่งอย่างหนัก จนดูผ่าน ๆ เหมือนรถแข่งที่ใช้ลองสนามกีฬา Motorsport ก็ว่าได้
17. Brodinski ได้เป็นผู้แต่งเพลงประกอบเกม
เพลงประกอบเกมเกือบทั้งหมดของ Need for Speed Unbound ถูกแต่งโดย Brodinski โปรดิวเซอร์ที่จะนำเพลง Techno และ Trap มาเป็นตัวพรีเซนต์วัฒนธรรมการแข่งขันรถใต้ดินของ Lakeshore City อย่างถ่องแท้
18. วันวางจำหน่าย
Need for Speed Unbound มีกำหนดการวางจำหน่ายพร้อมกันทั่วทุกแพลตฟอร์ม วันที่ 2 ธันวาคมปีนี้ ในระบบ PC (ในแพลตฟอร์ม Steam, Origin, Epic Games Store) , PlayStation 5 (PlayStation Store) และ Xbox Series X/S (Xbox Store)
19. ไม่ลงเกมคอนโซลเจเนอเรชันเก่า
ข่าวร้ายสำหรับเกมเมอร์บางคน เพราะ EA ยืนยันแล้วว่า Need for Speed Unbound ลงในระบบ PlayStation 5, Xbox Series X/S และ PC เท่านั้น แล้วจะไม่มีแผนลงในเกมคอนโซลรุ่นเก่าอย่าง PlayStation 4 กับ Xbox One
อย่างไรก็ตาม ในข่าวร้ายก็ย่อมมีเรื่องราวดี ๆ เนื่องจากเกมลงให้เฉพาะเกมคอนโซลรุ่นใหม่เท่านั้น ก็หมายความว่า Need for Speed Unbound เป็นเกม Next-Gen อย่างเต็มรูปแบบ สามารถอวดโฉมประสิทธิภาพกับกราฟิกแบบจัดเต็ม เพราะไม่ต้องทำเกมเผื่อลงเกมคอนโซลรุ่นเก่าอีกต่อไป
20. รูปแบบเกม Edition ต่าง ๆ
Need for Speed Unbound วางจำหน่ายเกมใน 2 รูปแบบระหว่าง Standard Edition ราคา 1,899 บาท และ Palace Edition ในราคา 2,199 บาท
ใน Standard Edition มีเฉพาะแค่เกมหลักเพียงอย่างเดียว ส่วน Palace Edition จะมีการแจกรถ “Custom Car” จำนวน 4 คัน (หนึ่งในนั้นเป็นรถ VW Golf GTI), Gassy Driving Effect, Mashman Decals กับ License Plate, ท่าโพสต์ กับแบนเนอร์อาร์ตเวิร์คพิเศษ และ Clothing Pack ที่ข้างในประกอบไปด้วย 20 ชุด
นอกจากนี้ สำหรับคนที่สั่งซื้อ Pre-Order เกมล่วงหน้า จะได้รับ Driving Effect, License Plate, Banner Artwork กับ Sticker และเงิน $150,000 Bank สำหรับโหมด Multiplayer ไปใช้ได้ฟรี ๆ