สำหรับเกมเมอร์ชาวไทยแล้ว Baldur’s Gate อาจจะเป็นชื่อที่ไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไหร่ หากไม่ใช่แฟนเกม CRPG หรือเกมเมอร์รุ่นเก๋าวัยกลางคน และเมื่อล่าสุด Baldur’s Gate 3 กลายเป็นปรากฏการณ์ครั้งใหม่ของวงการเกมก็ยิ่งทำให้หลายคนสงสัยกันอีกว่า เกม ๆ นี้มันมีดีอะไร
วันนี้เราจะไปมาไขข้อสงสัยทั้งหมดให้ฟังกัน
🔶 Baldur’s Gate คืออะไร ?
Baldur’s Gate คือผลงานเกม RPG ที่ใช้ฉากหลังเป็นโลก Forgotten Realms ซึ่งเป็นหนึ่งใน Campaign ของเกม Tabletop ที่โด่งดังที่สุดในโลกอย่าง Dungeons & Dragons
ตัวเกมต้นฉบับแบ่งออกเป็นสองสายที่โด่งดังที่สุดคือ Baldur’s Gate ฉบับเกม CRPG ที่วางจำหน่ายในปี 1998 ซึ่งพัฒนาโดย Bioware ทีมงานชื่อดังเจ้าของผลงานอย่าง Mass Effect และ Dragon Age ในยุคหลัง
Baldur’s Gate ประสบความสำเร็จอย่างสูงและถูกยกให้เป็นหนึ่งในเกม RPG ที่ยอดเยี่ยมที่สุดและมีความสำคัญที่สุดของวงการ ด้วยระบบการเล่นที่เป็นแบบ Real Time แต่สั่งหยุดเวลาได้ ยกระดับความตื่นเต้นให้เกม RPG และกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในยุคสมัยนั้น
อีกจุดที่ Baldur’s Gate ถูกชื่นชมอย่างมากก็คือเหล่าเพื่อนร่วมทีม หลายตัวละครถูกจัดให้เป็นตัวละครที่ดีที่สุดที่เคยมีเรื่องราวของวงการเกมและแฟนเกมภาคแรกก็ยังจดจำบทพูดและเรื่องราวการผจญภัยเหล่านั้นกันได้แม้จะผ่านมานานหลายสิบปี
Baldur’s Gate มีภาคเสริมตามมาอีกหนึ่งภาคในชื่อ Baldur’s Gate: Tales of the Sword Coast ก่อนจะตามหลังมาด้วยภาคที่สอง Baldur’s Gate II: Shadows of Amn และตัวเสริม Baldur’s Gate II: Throne of Bhaal ซึ่งทั้งหมดกวาดรางวัลและยอดขายจนนับไม่ไหวในตอนนั้น
นอกจากภาคหลักในแบบเกม CRPG แล้ว Baldur’s Gate ยังมีซีรีส์แยกในชื่อ Dark Alliance ซึ่งแปลงโฉมมาเป็นเกม Action RPG และประสบความสำเร็จอย่างสูงเช่นกันบนเครื่อง Console (มีฉบับ Remake หยิบกลับมาทำใหม่ในปี 2021 และโดนวิจารณ์ว่าเป็นเกมยอดแย่แห่งปี)
เล่ามาแบบนี้ก็พอจะมองเห็นภาพว่าจริง ๆ แล้ว Baldur’s Gate มีชื่อเสียงสะสมมาอย่างยาวนาน และก็ไม่น่าแปลกใจที่แฟนเกม CRPG และแฟน Baldur’s Gate จากภาคเก่ารวมไปถึงแฟนเกมผู้พัฒนาภาคสามอย่าง Larian Studios ทำไมถึงเฝ้าคอยการมาของ Baldur’s Gate 3 กันโดยตลอด
🔶 แล้ว CRPG มันคือเกมแนวไหน ?
เป็นชื่อย่อที่น่าจะผ่านตากันมาเยอะ แต่รู้หรือไม่ว่าความหมายจริงของมันนั้นเรียบง่ายมากเพราะตัวเต็มมันก็คือ Computer Role Playing Game หรือเกม RPG เล่นบน Computer นั่นเอง ที่ใช้เป็นแนวเกมก็เพราะในยุคสมัยนั้นเกม CRPG จะใช้พูดถึงเกม RPG ที่มีระบบการเล่นคล้าย ๆ กันกล่าวคือเป็นเกมสวมบทบาทที่มองจากมุมมองด้านบน ผู้เล่นบังคับตัวละครหลายตัวใน Party ออกทำภารกิจโดยมีตัวเลือกและแนวทางในการไขปัญหาที่หลากหลาย ถ้าพูดถึงเกมสมัยนี้ก็คือเกมอย่าง Dragon Age: Origins หรือ Disco Elysium หรือ Divinity Original Sin ผลงานสร้างชื่อของทีมงาน Larian Studios นี่เอง
🔶 แล้ว Larian Studios พวกเขาคือใคร ?
Larian ก่อตั้งขึ้นในปี 1996 ในประเทศเบลเยี่ยมแรกเริ่มเดิมทีทางค่ายพัฒนาเกมเล็ก ๆ สำหรับใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนของเด็กและมีงานพัฒนาเกมในคาสิโนอยู่บ้าง
ผลงานเกมสร้างชื่อชิ้นแรกของพวกเขาคือ เกม Divine Divinity ที่วางจำหน่ายในปี 2002 ตัวเกมเป็นเกม Action RPG ที่แสดงเอกลักษณ์ของค่าย Larian ไว้อย่างชัดเจน นั่นก็คือเรื่องความสมจริงของโลกในเกม ผู้เล่นสามารถขยับวัตถุต่าง ๆ ในเกมได้อย่างอิสระ แบกเตียงฟางไว้ไปกดนอนหลับเพิ่มพลัง
Divine Divinity มีวางจำหน่ายและมีการแปลเป็นภาษาไทยแบบเต็มรูปแบบกันด้วย (คู่มือตัวเกมและนิยายบทนำที่แถมมาในกล่องก็แปลไทย)
หลังจากนั้น Larian ก็มีผลงานตามมาก็หลายชิ้นทั้งหมดก็ใช้ฉากหลังเป็นโลกของเกม Divine Divinity ไม่ว่าจะเป็น Beyond Divinity ในปี 2004 Divinity II ในปี 2009 และ Divinity: Dragon Commander ในปี 2013
แต่ผลงานที่ส่งให้ชื่อ Larian ก้าวขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าในวงการเกมจริง ๆ คือ Divinity: Original Sin ในปี 2014 ตัวเกมเป็นเกม CRPG ที่โดดเด่นด้วยระบบการต่อสู้ และความเปิดกว้างของโลกในเกมผู้เล่นมีอิสระสามารถเลือกทำอะไรก็ได้ตามใจ
เมื่อ Divinity: Original Sin 2 ยกระดับภาคต้นฉบับไปอีกขั้น Larian ก็กลายเป็นสตูดิโอที่คอเกม CRPG เฝ้าจับตามอง และเมื่อปี 2019 หลังมีการประกาศว่า Baldur’s Gate 3 จะถูกพัฒนาโดยสตูดิโอแห่งนี้แฟน ๆ ก็ทำเพียงแค่เฝ้าคอยและเก็บเงินรอโดยไร้ความกังวล (แม้จะมีดราม่าเล็ก ๆ อยู่บ้างจากการเปลี่ยนแปลงของระบบต่าง ๆ จาก Baldur’s Gate ภาคต้นฉบับมาใช้ระบบใหม่ที่ Larian ถนัดแทน)
🔶 แล้วทำไม Baldur’s Gate 3 ถึงประสบความสำเร็จมากขนาดนี้ ?
กับยอดผู้เล่นพร้อมกัน 7 แสนคนบนระบบ Steam ยอดจอง Pre Order บน PlayStation 5 ที่ทะลุขึ้นมาเทียบชั้นเกมดัง รวมไปถึงคะแนนรีวิวจากหลายสำนักที่กดไปเต็ม 9 เต็ม 10 ก็คงไม่ต้องบรรยายกันให้มากความถึงความสำเร็จของ Baldur’s Gate 3
และต้องบอกว่าความสำเร็จของเกม ๆ นี้ก็เกินคาดกว่าที่นักวิเคราะห์หลายคนคาดเดากันไว้
ผู้เชี่ยวชาญของวงการเกมหลายคนยกหลายสาเหตุที่ทำให้เกมนี้ประสบความสำเร็จมาหลายข้อ
โดยหัวใจสำคัญที่สุดก็คือการใช้เวลา 3 ปีในช่วง Early Access ขัดเกลาตัวเกมจนสมบูรณ์แบบจริง ๆ นำไปสู่กระแสเสียงที่ผู้เล่นหลายคนเฝ้ารอ
นอกจากนั้นการที่ตัวเกมเป็นเกมเต็ม ๆ แบบไม่มี Microtransactions ไม่มีการขายพ่วงใด ๆ ทั้งสิ้นในยุคสมัยนี้ก็ยิ่งได้ใจของเกมเมอร์ไปเต็ม ๆ
ยังไม่รวมถึงกระแสปากต่อปากจากเกมเมอร์และสื่อพร้อมกับการที่ชื่อ Baldur’s Gate และ Setting จากเกม Dungeons & Dragons ก็ยังเป็นสิ่งที่แฟนเกมเฝ้าคอยมาเสมอ
ทั้งหมดผสมรวมกันออกมาเป็นสุดยอดผลงานที่ใครได้สัมผัสก็ต่างหลงรักและออกมาบอกต่อให้คนรักเกม CRPG ไปช่วยกันอุดหนุน เพราะดูแล้วน่าจะอีกนาน (นับสิบปี) กว่าเราจะมีเกม CRPG ที่ใช้ทุนสร้างสูงและมีความยอดเยี่ยมมากขนาดนี้ออกมาให้เล่นกัน