รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง! เป็นกระแสกันไปทั่วบ้านทั่วเมืองหลังจากมีข่าวทีมพัฒนาเกม ซึ่งตัดสินใจขายบ้านของตัวเองเพื่อมาเติมเต็มความฝันของตนเองและเพื่อนที่ได้ลาจากโลกไป แต่ว่าเขาไม่ใช่รายแรก วันนี้ GamingDose พาไปย้อนรอย เหล่าทีมและนักพัฒนาชื่อดังซึ่งตัดสินใจยอมเสี่ยงในตอนเริ่มต้นไปชมกันเลย
ความฝันเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนมีกันทั้งนั้น ต่างกันเพียงแค่ใครทำตามฝันของตนเองได้สำเร็จและใครยอมลงทุนยอมเสี่ยงแค่ไหน ในการเดินไปตามเส้นทางความฝันดังกล่าว เป็นมาตรฐานเดียวกันในทุกวงการไม่เว้นแม้แต่วงการเกมของเรา โลกเราเต็มไปด้วยคนยอมเสี่ยงและเต็มไปด้วยผู้มีความฝัน วันนี้เราลองไปดูเหล่านักฝันที่ทำตามความต้องการตนเองจนสำเร็จกัน
Markus Alexej “Notch” Persson
หรือที่รู้จักกันในชื่อของ Notch เจ้าของบริษัท Mojang ผู้สร้างเกม Minecraft Notch เกิดในปี 1979 และเมื่ออายุได้เพียง 7 ขวบก็เริ่มหัดเขียนโปรแกรมบนเครื่อง Commodore 128 ของพ่อทันที และเมื่อายุได้ 8 ขวบ Notch ก็สร้างเกมแรกของตัวเองสำเร็จ เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน Notch เริ่มทำงานให้กับบริษัทเกมหลายแห่ง รวมไปถึงเว็ปไซท์ king.com โดยใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ในการเข้าแข่งขันการสร้างเกมอินดี้
Notch เริ่มต้นพัฒนาเกม Minecraft ในเวลาว่างดังกล่าวช่วงปี 2009 ขณะทำงานประจำให้กับ Jalbum.net หลังตัวเกมถูกปล่อยออกสู่สายตาชาวโลก และเริ่มได้รับความนิยม Notch ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เพื่อมาสร้างเกม Minecraft แบบเต็มตัว จนนำไปสู่การก่อตั้งบริษัท Mojang ในที่สุดในปลายปี 2010 แน่นอนว่าหลังจากนั้น Minecraft ก็เข้าสู่ช่วงโด่งดังระดับโลกเป็นตำนานบทใหม่เป็นที่เรียบร้อย หากใครเล่นบอร์ดเกมอินดี้ในเว็ปนอกช่วงนั้น ก็จะได้เห็น Notch เอาเกมเข้าไปปล่อย เพื่อขอรับความคิดเห็น
Blizzard Entertainment
กว่าจะมาเป็นยอดบริษัทยักษ์ใหญ่ในตำนานอย่างทุกวันนี้ น้อยคนรักที่จะรู้ว่าบริษัทนี้มีความเป็นมายังไง Blizzard ถูกก่อตั้งขึ้นภายใต้ชื่อแรกเริ่มเดินทีว่า Silicon & Synapse โดยนักศึกษาจบใหม่สามรายจากมหาวิทยาลัย California Michael “Mike” Morhaime , Allen Adham และ Frank Pearce ถึงแม้จะไม่มีอะไรรับประกันถึงความสำเร็จในอนาคต แต่ด้วยจิตใจซึ่งรักในวีดีโอเกมนำพาทั้งสามให้มาพบกัน Michael และ Allen รู้จักกันด้วยความบังเอิญจากการนั่งข้างกันใน Class Computer Lab และดันใช้รหัสผ่านเดียวกันในการล็อคคอม
ขณะที่ Allen มารู้จักกับ Frank หลังจากทั้งคู่ลงเรียนใน Class วิชา A.I. ซึ่ง Allen พบว่าน่าเบื่อมากๆก็เลยโดดเรียนไปนั่งเล่นเกม และได้พบกับ Frank ซึ่งก็โดดเรียนมานั่งเล่นเกมเหมือนกัน (ฮา)
Michael เรียนจบและได้งานทำในบริษัทชั้นนำในตอนนั้น แต่ตัดสินใจเดินตามฝันด้วยการลาออกมาก่อตั้งบริษัทของตนเอง (ในตอนนั้นพ่อของ Michael มองว่าเป็นเรื่องที่ทั้งโง่และบ้ามากในการลาออกจากสายงาน IT เงินเดือนมหาศาล มาตั้งบริษัทเกมกับเพื่อนวัยแค่ 20 กว่าๆ) ขณะที่ Allen เกลี่ยกล่อมให้ Frank ยอมลาออกจากงานประจำมาร่วมทีมได้สำเร็จ
สุดท้ายทีม Silicon & Synapse ก็ถือกำเนิดขึ้น โดยการที่ Michael ยืมเงินมาจากยายเป็นจำนวน 15,000 เหรียญ โดย หมื่นเหรียญแรกหมดไปกับการก่อตั้งบริษัท ส่วนอีก ห้าพันเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตของ Michael ในช่วง 3 ปีแรกตอนที่ Silicon & Synapse ยังแทบไม่มีผลกำไร น้อยคนที่จะรู้ว่าค่ายในตำนานอย่าง Blizzard ถือกำเนิดขึ้นจากเงินเก็บของคุณยายของ Michael “Mike” Morhaime ประธานของบริษัท
แรกเริ่มเดิมที ทีมงานทั้งสามเช่าห้องแคบๆอยู่และเริ่มต้นโดยการรับจ้าง Port เกมจากค่ายอื่น (มีมุกตลกเล็กๆตรงชื่อของค่ายในตอนแรก อย่าง Silicon & Synapse ซึ่งเวลาโทรติดต่องานทีไร คนส่วนใหญ่มักได้ยินและเข้าใจว่า “เฮ้ย ซิลิโคนนั้นที่เค้าเอาไว้ยัดนมหญิงไม่ใช่เรอะ….”)ก่อนจะเริ่มต้นลงทุนพัฒนาเกมแรกของตน และโด่งดันจนกลายเป็น Blizzard ในปัจจุบัน
Beta Dwarf Entertainment
ค่ายเกมหน้าใหม่ ซึ่งกำลังมาแรงจากเกมแรกของค่ายอย่าง Forced ที่ฮิตติดลมจนขึ้นหิ้ง Top Seller ของ Steam มาแล้ว แต่กว่าจะมีวันนี้หนทางของทีมงานไม่ได้โรยด้วบกลีบกุหลาบและได้มาง่ายๆ
แรกเริ่มเดิมที Beta Dwarf ประกอบด้วยทีมงาน 8 คนที่มุ่งมั่นตั้งใจพัฒนาเกม แต่ไร้ซึ่งสถานที่จะอยู่ 3 ปีก่อนทั้งหมดตัดสินใจแอบเข้าไปใช้ห้องเรียนที่ถูกทิ้งไว้ไม่ได้ใช้งานในมหาวิทยาลัย ก่อนจะขนเอา เตียงนอน ตู้เย็น คอมพิวเตอร์ ไมโครเวฟเข้าไปไว้ในห้อง และอยู่อาศัยกันในนั้นนาน 7 เดือน จนโดนมหาลัยจับได้และไล่ออกมาในที่สุด
สุดท้ายทีมงานจึงต้องย้ายออกไปเช่าบ้านอยู่ และเช่นเดิม ทีมงานทั้งหมด (ที่ตอนนี้มีจำนวนเพิ่มมาก) ก็อยู่อาศัยใช้ชีวิตกันในบ้านหลังเดียวจนเวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี เงินเก็บที่มีมาของทีมงานกำลังจะหมดลง ทีมงานตัดสินใจนำเกมลงสู่โปรแกรม Kickstarter ระดมทุนมาได้อีก 65,000$ และเริ่มต้นพัฒนาเกมกันอีกครั้ง
แต่ปัญหายังไม่หมดเมื่อเวลาผ่านไปอีก 2 ปี แต่ตัวเกมก็ยังไร้วี่แวว ว่าจะมีใครสนใจเข้ามาเป็นผู้จัดจำหน่ายให้ แถมด้วยเมื่อดูจากผลงานที่มี Beta Dwarf เชื่อว่าพวกเขาต้องการเงินและเวลามากกว่านี้เพื่อสร้างเกมที่ดีอย่างที่ต้องการ ทีมงานต้องตัดสินใจเดิมพันครั้งใหญ่อีกครั้ง Beta Dwarf ตัดสินใจกู้เงินลงทุนเป็นจำนวน 2 แสนเหรียญและพัฒนาเกมต่ออีก 4 เดือน หลังผ่านการต่อสู้ยาวนานกว่า 3 ปี เกม Forced ก็ออกวางจำหน่ายบน Steam ได้สำเร็จ
Gabe Newell
ถึงแม้จะได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยระดับโลกอย่าง Harvard แต่มหาเทพอย่าง Gabe ของเราก็ไม่จำเป็นต้องเรียนให้จบถึงจะประสบความสำเร็จ เพราะสุดท้ายพี่แกตัดสินใจ Drop ออกจากมหาลัยวิทยาลัยแล้วตรงดิ่งไปทำงานทันที Gabe ใช้เวลาหลังจากนั้นกว่า 13 ปี ทำงานให้กับโคตรอภิมหาบริษัทอย่าง Microsoft สะสมทั่งชื่อเสียงและเงินทอง โดยมีผลงานสร้างชื่ออย่างการเป็น Producer ของระบบปฏิบัติการ Windows 3 รุ่นแรก ที่ออกวางจำหน่าย
หลังจากนั้น Gabe Newell ได้แรงบันดาลใจจาก Michael Abrash โปรแกรมเมอร์ของ Microsoft ที่ลาออกไปร่วมงานกับบริษัทเกม id Software ในการสร้างเกม Quake สุดท้ายในปี 1996 Gabe และ Mike Harrington พนักงานของ Microsoft อีกคนตัดสินใจลาออกเพื่อมาก่อตั้งบริษัท Valve ของตนเอง ทั้งสองคนใช้เงินเก็บของตนเองเป็นเงินทุนในการสร้างเกม Half-Life ภาคแรกขึ้นมา เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานของ Valve และ Steam ที่เกมเมอร์รู้จักคุ้นเคยกันดีในปัจจุบัน
ที่ว่ามานี้ยังไม่ใช่ทั้งหมดของเหล่าทีมพัฒนานักล่าฝันในวงการเกม ยังมีอีกมากมายหลายทีม ทั้งเล็กใหญ่ ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ สุดท้ายก็ขออวยพรให้เหล่าเกมเมอร์ชาว GamingDose ที่มีฝันทั้งหลายจนตั้งใจและทำฝันให้สำเร็จครับผม