เกมบางเกมมีอายุมานานมากแล้ว บางเกมก็มีให้เล่นกันมาตั้งแต่สมัยตลับแฟมิคอมหรือเครื่องเพลย์สเตชั่นยุคแรก ๆ แต่เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนผ่าน เกมเหล่านี้ต่างต้องปรับตัวเพื่อให้มันทันสมัยและยังคงความน่าเล่นอยู่ แต่กลับกันมันก็เสี่ยงที่จะต้องเสียฐานผู้เล่นหน้าเดิมไป แต่บางเกม ด้วยความกล้าคิด กล้าลอง กล้าทำ ทำให้ตัวเกมภาคล่าสุดนั้น ทำให้แฟรนไชส์กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง และยิ่งทำให้เราอยากเห็นว่าถ้าทำต่อไปแล้วมันจะเป็นยังไงกันบ้าง กับ 5 เกมเหล่านี้
1.God of War (2018)
หลังห่างหายไปหลายปีจากภาค Ascention พี่โล้น Kratos กลับมาในมาดที่หลายคนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองนั่นคือความสุขุม แถมยังมีลูกติดอีกต่างหาก ภาพจำของ Kratos ที่ทุกคนจำได้ คือชายผู้โมโหโกรธา เดินหน้าล่าล้างแค้นเหล่าทวยเทพ นอกจากนั้นภาคนี้ยังเปลี่ยนให้เป็นเกม Action RPG ที่เน้นทักษะการควบคุมให้มากขึ้นกว่าภาคก่อน ๆ
หลายคนตอนแรกเห็นภาพลักษณ์ ธีมเกมก็เริ่มเป็นห่วงว่ามันจะไปรอดหรือไม่ แต่สุดท้ายหลังจากที่เกมออกมา มันก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และพร้อมพาตัวเกมไปในทิศทางใหม่ ๆ ที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งผู้กำกับเกมอย่าง Cory Barlog ต่างออกมาให้เครดิต Sony ถึงการที่มอบอิสระให้พวกเขาทำงานกันอย่างเต็มที่ และกล้าที่จะพาเกมไปสู่เส้นทางใหม่ ๆ นั่นเอง
2.DOOM (2016)
หลังจาก DOOM 3 BFG ปล่อยออกมาเมื่อปี 2012 หลายคนมองว่านี่มันมีกลิ่นอายของเกมสยองขวัญเยอะเกินไปมาก จนความคลาสสิคในการเป็นเกมยิงยับ ยิงแหลก แต่มันก็ยังโดนใจผู้เล่นอยู่ จนกระทั่งการมาถึงของ DOOM 2016
นอกจากมันจะยังมีปริศนาให้เราไขเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้ว สิ่งที่กลับมาคือเกมเพลย์ชนิดดุเดือดถึงเลือดถึงเนื้อมากกว่าครั้งไหน ๆ โดยเฉพาะการพุ่งเข้าไปทำ Glory Kill ที่ยิ่งทำเรายิ่งได้รับสิ่งตอบแทนมากขึ้น สมกับที่เราเรียกมันว่า “เกมเดินหน้ายิง” ได้เต็มปาก DOOM 2016 จึงกลายเป็นการกลับมาที่ทำให้แฟรนไชส์ DOOM เดินไปข้างหน้าอีกครั้ง และเราหวังเป็นอย่างยิ่งกว่า DOOM ETERNAL ที่กำลังะจออกในเดือนมีนาคมนี้ จะยิ่งทำให้มันน่าสนใจมากไปกว่าเดิม
3.Wolfenstein : The New Order (2014)
ล้มเหลวไปในปี 2009 แต่พวกเขาก็ลุกกลับขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็ว ถึงแม้จะใช้เวลากว่า 5 ปี Wolfenstein : The New Order กลับมาคืนชีพให้แฟรนไชส์ Wolfenstein อีกครั้งในปี 2014 พร้อมกับระบบเกมเพลย์สุดเดือดและเนื้อเรื่องที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน
การคืนชีพด้วยภาคนี้ทำให้ Wolfenstein มีภาคต่อตามออกมาเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคย้อนอดีตอย่าง The Old Blood , ภาค 2 หรือสองภาคล่าสุดอย่าง Youngblood และ Cyberpilot ซึ่งเราได้แต่คาดหวังว่ามันจะไม่เป๋จนหลุดกรอบเดิมไปอีก เพราะ Wolfenstein ถือเป็นอีกหนึ่งเกมที่ดุเดือดไม่แพ้ DOOM ถ้าหาก DOOM คือเกมที่ส่งเราลงไปไล่อัดปีศาจในนรก Wolfenstein ก็คือเกมที่ให้เราอัดพวกนาซีแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใด ๆ ทั้งสิ้น และความมันส์จัดอยู่ในระดับเดียวกัน แม้ว่า Wolfenstein จะไม่มีระบบ Glory Kill ก็ตาม
4.Tomb Raider (2013)
แม่สาวลาร่า ครอฟท์ถูกหยิบมารีบูตสร้างใหม่อีกครั้ง และคราวนี้มันอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีที่เพรียบพร้อม Tomb Raider ฉบับ Reboot ปี 2013 จึงประสบความสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย จากเนื้อเรื่องที่เข้มข้นและระบบเกมเพลย์ที่น่าจดจำ และทำให้ทีมพัฒนาตัดสินใจพัฒนาเกมต่อจนกลายเป็นไตรภาคชุดใหม่ ในภาค Rise และภาค Shadow
แม้สองภาคหลังจะโดนวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบบ้าง แต่หากจะให้พูดถึงจริง ๆ แล้ว การรีบูต Tomb Raider ในครั้งนี้ ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับภาคแรกในไตรภาคนี้ ที่ทำออมกาได้ดีจนแฟน ๆ กลับมาสนใจมันอีกครั้งจริง ๆ และในอนาคตเราอาจจะได้เห็นเกม Tomb Raider ภาคใหม่ตามออกมาอีกก็เป็นได้ (หวังว่าจะไม่มีการรีบูตอีกแล้วนะ เว้นช่วงหน่อย)
5.Resident Evil 7 (2017)
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า Resident Evil 6 แม้มันจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่ามากมายเพียงใด แต่มันก็ได้รับคำด่าและคำสาปแช่งจากแฟน ๆ Resident Evil มากมายไม่แพ้กัน เพราะตัวเกมได้กลายเป็นเกมแอ็คชั่นระเบิดภูเขาเผากระท่อมราวกับเอาไมเคิล เบย์ มากำกับก็ไม่ปาน
แต่ในงาน E3 2016 Capcom ก็ทำให้ทุกคนต้องอ้าปาก ตาค้างกันไปตาม ๆ กันกับการปล่อย Trailer แรกของภาค 7 ซึ่งมันกลับมาเป็นเกมแนว Survival Horror แบบเต็มรูปแบบ แถมยังเป็นเกมภาคแรกในซีรีส์ที่ใช้มุมมองบุคคลที่หนึ่ง ! ซึ่งถือเป็นการกระชากซีรีส์ Resident Evil เข้าสู่แนวทางใหม่ (ที่ควรจะเป็น) โดยสิ้นเชิง ต้องนับถือว่าความใจเด็ดของทาง Capcom จริง ๆ
แน่นอนว่าเมื่อเกมออกมันประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลจนทาง Capcom ได้รีเมคภาค 2 และ 3 ออกมาเพิ่ม แน่นอนว่าภาค 8 ยังไงเราก็น่าจะได้เห็นกันอยู่แล้ว แต่หวังว่ามันจะยังคงรักษามาตรฐานที่ดีเอาไว้ได้เหมือนภาคนี้ต่อไป