การพัฒนาเกม Open-World ให้โลกมีชีวิตชีวา มีรายละเอียดสูงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องใช้งบประมาณ และเวลาสร้างเกมที่สูงมาก ด้วยเหตุผลดังกล่าว 6 เกม Open-World เหล่านี้ แม้ถ่ายทอดภาพกราฟิกได้สวยงาม ออกแบบโลกเกมได้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่น่าเสียดายที่ขาดหรือไม่มีกิจกรรมให้ทำหลากหลาย ซึ่งเป็นองค์ประกอบทำให้เกม Open-World สมบูรณ์แบบ โลกมีชีวิตชีวามากขึ้นด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา แล้วมีเกมอะไรบ้าง ก็เข้าไปอ่านกันได้เลย
Cyberpunk 2077
แม้ไม่ปฏิเสธว่า Cyberpunk 2077 คือเกมประจำปี 2020 ที่สร้างความผิดหวังให้กับเหล่าเกมเมอร์เป็นอย่างมาก แต่ก็ต้องยอมรับว่า Night City เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนที่มีความน่าหลงใหล ประชากรในแต่ละพื้นที่มีรสนิยมการแต่งกาย วิถีการใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ และงานสถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งก็เป็นการตอกย้ำถึงปัญหาภายในเมือง Night City ที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ ด้วยความหลากหลายของเมือง จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ Night City แทบไม่มีกิจกรรมยามว่างให้ทำนอกเหนือจากทำภารกิจเพียงอย่างเดียว
Mafia: Definitive Edition
Lost Heaven คือเมืองสมมุติที่มีต้นแบบมาจากชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐฯ โดยตัวเกมอธิบายว่าเป็น “แหล่งรวมของความโสโครก” ซึ่งเต็มไปด้วยการคอร์รัปชัน และถูกปกครองโดยแก๊งมาเฟียที่มีอำนาจเหนือนักการเมือง หลังจากผ่านพ้นช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression)
ถึงอย่างนั้น ในความโสโครกของ Lost Heaven ก็มีความเจริญรุ่งเรืองแสดงออกมาให้เห็นอยู่บ้าง ไม่ว่าจะมีจุด Landmark มากมาย, มีระบบการขนส่งสาธารณะ อย่างการบริการแท็กซี่ รถไฟฟ้า รถ Tram รวมถึงมีสนามบินสำหรับรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่น่าเสียดาย เนื่องจาก Mafia เป็นเกมดำเนินเนื้อเรื่องแบบเส้นตรง และแทบไม่มีคอนเทนต์เสริม ทำให้เมือง Lost Heaven ขาดความน่าสนใจ แม้ว่าเมืองจะมีความสวยงามก็ตาม
L.A. Noire
คล้ายกับ Mafia: Definitive Edition แม้เมือง Los Angeles ของเกม L.A. Noire สามารถจำลองได้อย่างสมจริง และมีชีวิตชีวา แต่น่าเสียดายที่ตัวเกมขาดคอนเทนต์กิจกรรมเสริม และเป็นเกมดำเนินเนื้อเรื่องแบบตรง จึงไม่ค่อยมีเหตุผลอะไรที่เราต้องใช้เวลาว่างในการออกผจญภัยทั่วเมือง เพราะ Free-Roam ของเกมนี้ไม่มีอะไรให้ทำ นอกเหนือจากขับรถ เดินเล่นชมความเจริญรุ่งเรืองของเมือง Los Angeles ที่ได้ฉายาว่าเป็น “City of Angel” จริง ๆ
One Piece World Seeker
One Piece World Seeker คือเกมแอ็กชัน-ผจญภัยที่โดนวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นเกม Open-World ที่มีโลกว่างเปล่า ไม่มีความน่าจดจำ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าทีมงานอาจจะเข้าใจแค่ว่าการสร้างเกม Open-World คือแผนที่ต้องมีขนาดใหญ่ และเดินทางไปไหนก็ได้ โดยมองข้ามในส่วนที่สำคัญที่สุดไป ก็คือการสร้างโลกให้มีชีวิตชีวา
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ปฏิเสธได้ว่ากราฟิกมีความสวยงามสมกับเกมที่ใช้ขุมพลัง Unreal Engine และบางสถานที่ในเกมก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอีกด้วย ถึงเกมจะมีกระแสตอบรับที่แย่ แต่หากมีการประกาศทำภาคต่อ เราเชื่อว่าแฟน ๆ หลายคนคาดหวังว่า Bandai Namco และ Ganbarion จะนำความผิดพลาดของเกม One Piece World Seeker มาเรียนรู้ เพื่อให้เกมภาคต่อ มีโลก Open-World ที่มีชีวิตชีวามากขึ้น
Halo Infinite
Halo Infinite คือเกมภาคแรกของตระกูล Halo ที่มีโหมดเนื้อเรื่อง Singleplayer โดยใช้แผนที่แบบ Open-World ถึงแม้ตัวเกมได้รับเสียงชื่นชมในด้านการเล่าเรื่อง เกมเพลย์ และการผจญภัยสนุกสนานด้วยอุปกรณ์ Grappling Hook แต่ผู้เล่นบางส่วนได้วิจารณ์ว่าโลกของ Halo Infinite ค่อนข้างเงียบเหงา ระบบการควบคุมรถที่ไม่ดี รวมถึงกิจกรรมเสริมขาดความน่าดึงดูด จนถึงมีคอนเทนต์ค่อนข้างน้อย ซึ่งเป็นการฉุดรั้งความสมบูรณ์แบบของโหมด Singleplayer ที่เกมเมอร์หลายคน โดยเฉพาะแฟน ๆ คาดหวังไว้ว่ากับเกมไตเติลพรีเมียมจาก Microsoft Xbox
The Crew 2
The Crew 2 เป็นอีกหนึ่งเกมที่พิสูจน์ให้เห็นว่าแม้สามารถจำลองแผนที่ประเทศสหรัฐฯ ได้มีขนาดใหญ่เท่า 1 ต่อ 1 และแต่ละพื้นที่ แต่ละเมือง ล้วนมีสถานที่ Landmark ไม่ซ้ำกัน แต่กลับไม่สามารถงัดศักยภาพที่ทำให้เมืองมีชีวิตชีวาได้อย่างเต็มที่ เพราะขาดคอนเทนต์เสริมที่นอกเหนือจากการแข่งขันเพียงอย่างเดียว ถ้าหากตัวเกมมีระบบการซื้อบ้าน ซื้อของแต่งกาย หรือเดินเข้าสถานที่ต่าง ๆ ได้นอกเหนือจากงานพบปะของเหล่านักซิ่งเพียงอย่างเดียว มันอาจจะช่วยทำให้เกม The Crew มีชีวิตชีวามากขึ้นเลยทีเดียว