แม้เกม Open-World จะมีแผนที่ขนาดใหญ่ เดินทางนานเท่าไหร่ก็ไม่ถึงขอบแผนที่สักที ก็ไม่ได้หมายความว่าโลกในเกมนั้น มีความน่าจดจำพอที่พาเราดื่มด่ำเข้าไปในเกมได้ โดยเกม 6 เหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่าแผนที่ Open-World และเมืองในเกมที่ดีนั้น ไม่จำเป็นใหญ่อย่างเดียวเสมอไป แล้วจะมีเกมอะไรบ้าง ก็เข้าไปอ่านได้เลย
เมืองโยโกซูกะ – Shenmue
จะบอกว่าเป็นเกม Like A Dragon/Yakuza มาก่อนกาลก็ว่าได้ Shenmue คือเกมแอ็กชัน Beat’em Up ของ SEGA ที่เคยขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในเกมใช้ต้นทุนในการสร้างสูงที่สุดในโลก
ในเกมนี้ ผู้เล่นรับบทเป็น Ryo Hazuki นักศิลปะการต่อสู้วัยหนุ่มได้ออกเดินทาง เพื่อตามหา Lan Di แล้วทำการล้างแค้นที่สังหารพ่อของเขาให้สำเร็จ โดยเกมนี้ใช้ฉากหลังเป็นย่านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเมืองโยโกซูกะ จังหวัดคานางาวะ ในระหว่างการเล่น ผู้เล่นสามารถเดินทางไปไหนก็ได้ตามสไตล์เกม Open-World
จุดเด่นของ Shenmue คือตัวเกมมีความใส่ใจในรายละเอียดสูงมาก ตั้งแต่สามารถปฏิสัมพันธ์กับวัตถุเกือบทุกอย่าง, มีมินิเกมหลากหลายให้ทำ และกิจกรรมของ NPC ก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอดทุกวัน ด้วยการออกแบบบ้านเมืองได้อย่างมีชีวิตชีวา Shenmue จึงขึ้นแท่นเป็นเกมจากปี 1999 ที่ล้ำหน้ามาก่อนกาล แม้ตัวเกมจะประสบความล้มเหลวในด้านการสร้างรายได้ก็ตาม
ห้างสรรพสินค้า Willamette Parkview Mall – Dead Rising
Dawn of the Dead เป็นภาพยนตร์สยองขวัญชิ้นเอกของ George A. Romero ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับสื่อหนัง และเกมมากมาย โดยหนึ่งในเกมที่ได้แรงบันดาลใจจากหนังเรื่องดังกล่าวอย่างชัดเจนคือ Dead Rising ของ Capcom
ใน Dead Rising ผู้เล่นรับบทเป็น Frank West นักถ่ายรูปข่าวอิสระที่เข้ามาในห้างสรรพสินค้า Willamette Parkview Mall เพื่อหาข้อมูลความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ความวุ่นวายในเมือง Willamette ที่สุดท้าย ก็ได้รู้ความจริงว่าเมืองดังกล่าวกำลังระบาดจากเชื้อไวรัสปริศนาจนผู้คนกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด
Dead Rising คือเกม Open-World ที่ภายในเวลา 72 ชั่วโมง ผู้เล่นจะต้องดำเนินเนื้อเรื่องหลัก ถ่ายรูปเหตุการณ์ และทำเควสต์ช่วยเหลือ NPC โดยภายใน 72 ชั่วโมง ผู้เล่นจะเดินทางไปไหนก็ได้ตั้งแต่ร้านอาหารเต็มไปด้วยไอเทมฟื้นชีวิต, ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่บางอุปกรณ์สามารถหยิบมาใช้เป็นอาวุธ, ร้านขายเสื้อผ้า ที่สามารถสวมใส่ชุดได้ตามใจชอบ แต่แน่นอน ระหว่างการผจญภัยในห้าง เกมเมอร์ต้องปะทะกับซอมบี้ และบอส Psychopath ที่ดุร้ายกว่าซอมบี้ซะอีก
เขตหนึ่งในกรุงลอนดอน – Assassin’s Creed: Syndicate
ก็จริงที่ Assassin’s Creed: Syndicate ไม่ใช่เกม AC ที่น่าจดจำเป็นพิเศษ แต่แฟน ๆ ไม่ปฏิเสธว่าการผจญภัยในกรุงลอนดอน ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ช่วยมอบประสบการณ์การเล่นเกม AC ที่ค่อนข้างสดใหม่ในตอนนั้น
จากเดิมที่เกมตระกูล Assassin’s Creed ให้เราได้ผจญภัยในดินแดนประวัติศาสตร์ที่ย้อนยุคกลับไปหลายปี แต่สำหรับเกมภาคนี้ เราต้องเดินทางในกรุงลอนดอน ณ ยุควิคตอเรีย (ช่วงปี 1837-1901) ที่ไม่ห่างไกลจากปัจจุบันมากนัก เนื่องจากช่วงเวลานั้น ประเทศอังกฤษกำลังมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม โรงงานต่าง ๆ เริ่มหันมาใช้เครื่องจักรแทน, อัตราการเกิดอาชญากรรมที่สูงขึ้น และมีการใช้แรงงานเด็กอย่างทรมาน ทำให้โลกของ Assassin’s Creed: Syndicate มีบรรยากาศแตกต่างจากเกมอื่นทั่วไป
เมือง Bullworth – Bully
แม้ Bully เป็นเกม Open-World ที่มีแผนที่ขนาดเล็กกว่าเกมอื่น ๆ ของค่าย Rockstar Games อย่าง Grand Theft Auto และ Red Dead Redemption เนื่องจากเกมนำเสนอเป็นธีมการกลั่นแกล้ง และการใช้ชีวิตในโรงเรียนเอกชนที่ “ห่วยแตก” ที่สุดอย่าง Bullworth Academy แต่ความเล็กของแผนที่ ไม่ได้ทำให้การผจญภัยของเกมนี้สนุกน้อยกว่า GTA แต่อย่างใด
ก็จริงที่ Bully มีข้อจำกัดในด้านการผจญภัยที่ผู้เล่นจะโดนไล่จับ เพราะโดดเรียน และต้องเข้านอนไม่เกินเวลาตี 2 มิฉะนั้นตัวละครเอกจะนอนสลบคาที่ ซึ่งสร้างความรำคาญให้ผู้เล่นบางคนได้ แต่นอกเหนือจากนั้น แผนที่เมือง Bullworth ก็ยังเต็มไปชีวิตชีวา โดยหลังเลิกเรียน ผู้เล่นสามารถแวะทำกิจกรรมคลายเครียดที่สวนสนุก, เล่นมินิเกมแข่งขันจักรยาน, เล่นตู้เกมอาร์เคด และอื่น ๆ อีกมากมาย ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Bully ถึงถูกเรียกว่า GTA เวอร์ชันเด็กโค่ง
เกาะ Eastshade – Eastshade
Eastshade เป็นเกม Open-World ที่แตกต่างจากเกมอื่น เพราะเกมนี้ไม่ได้โฟกัสกับเนื้อเรื่องที่เข้มข้น หรือการเอาตัวรอด แต่เป็นเกมแนวผจญภัยที่เน้นการเสพบรรยากาศอย่างแท้จริง
ในเกมนี้ ผู้เล่นรับบทเป็นศิลปินอิสระคนหนึ่ง ได้ออกเดินทางในเกาะขนาดเล็ก Eastshade เพื่อค้นหาแรงบันดาลใจในการผลิตผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง โดยระหว่างการเล่น เกมเมอร์จะได้พบปะกับ NPC ที่เป็นมิตร, สิ่งมีชีวิตหลากหลาย และสภาพแวดล้อมที่มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ ด้วยเกาะที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก รายละเอียดต่าง ๆ ของแผนที่จึงสามารถจัดเต็มไม่มีกั๊ก แถมเป็นเกมที่เหมาะสำหรับคนอยากผ่อนคลายอย่างไม่ต้องสงสัย
ย่าน Kamurocho – Like A Dragon/Yakuza
ใน Like A Dragon/Yakuza ทุกภาค (รวมถึงเกมภาค Spin-off อย่าง Judgment) ใช้ฉากหลังเป็น Kamurocho ย่านความบันเทิง ที่อ้างอิงมาจากย่านในชีวิตจริงอย่าง Kabukicho ประเทศญี่ปุ่น แน่นอนว่าถนนดังกล่าวเป็นแหล่งรวมของสถานที่บันเทิง ไนท์คลับ และเลิฟโฮเทล จึงไม่แปลกใจเท่าไหร่ว่าทำไมย่านนี้จึงเข้ากับเกม Like A Dragon ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับวงการยากูซ่า และอาชญากรรมใต้ดินเป็นอย่างดี
ถึงแม้ Kamurocho เป็นเพียงย่านถนนขนาดเล็ก แต่ด้วยการออกแบบแผนที่โดยมีความใส่ใจในรายละเอียดสูง มีผู้คนสัญจรไปมาเป็นจำนวนมาก มีกิจกรรมให้ทำมากมาย และย่าน Kamurocho มีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ทำให้แฟน ๆ ยังคงหลงใหล Kamurocho ราวกับบ้านหลังที่สอง แม้เป็นย่านที่เต็มไปด้วยอันตรายก็ตาม