แม้เกม Racing อยู่คู่กับวงการเกมมานาน แต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ที่บางคนอาจจะไม่ชอบเกมแนวดังกล่าว เพราะตัวเกมเน้นแต่การแข่งเพียงอย่างเดียว และแนวดังกล่าวไม่ค่อยมีวิวัฒนาการอย่างเห็นได้ชัดในเชิงเกมเพลย์ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เกมแนว Racing ได้รับความนิยมลดลงหากเทียบกับอดีต
แต่แน่นอน หนึ่งในสาเหตุหลักที่เกม Racing ยังไม่หายไปไหน เพราะเกมแอ็กชันหลายเกม เริ่มมีการใส่โหมด Racing เป็นมินิเกมเสริม และเกมเหล่านั้นสามารถออกแบบระบบได้ดี จนสนุกไม่แพ้เกม Racing เพียว ๆ
นี่คือ 7 โหมด Racing สุดระทึก สนุกไม่แพ้เกม Racing เป็นทางเลือกสำหรับคนที่อยากเล่นเกมแข่งขันท้าประลองความเร็ว แต่ไม่อยากซื้อเสียเงินซื้อเกมแนวดังกล่าว เพื่อทำการ Racing เพียงอย่างเดียว
Sleeping Dogs – Racing
ถึงแม้ Sleeping Dogs เป็นเกมแอ็กชัน Open-World เน้นการเล่าเนื้อเรื่อง กับระบบการต่อสู้ที่ดุเดือด แต่มีมินิเกมอย่างหนึ่งที่สนุกสนานไม่แพ้คอนเทนต์หลัก และหลายคนมักจะมองข้าม ซึ่งนั่นโหมดการแข่งขันรถยนต์แบบผิดกฎหมาย
สนามแข่งใน Sleeping Dogs มีตั้งแต่ถนนทางด่วนเป็นเส้นตรงส่วนใหญ่ และสนามแข่งในซอยที่มีโค้งหักมุมเป็นจำนวนมาก ด้วยความหลากหลายของการดีไซน์สนามแข่ง ทำให้โหมด Racing ของเกมดังกล่าว มีความสนุกสนาน น่าตื่นเต้น และมีความท้าทายใช้ได้เลยทีเดียว
Assassin’s Creed Origins – Chariot Racing
ในสนามประลองขนาดใหญ่ Hippodrome ที่เขต Alexandria ผู้เล่นสามารถเลือกทำกิจกรรม Chariot Racing เป็นการแข่งขันขับรถม้าในสนามวงกลมขนาดเล็ก
Chariot Racing คล้ายกับเกม Burnout ในยุคกรีกโบราณ ที่ผู้เล่นสามารถชนรถม้าของคู่แข่งให้ออกนอกจากสนามได้ และสามารถใช้พลัง Boost หรือ Draft เพื่อเพิ่มความเร็วรถม้าของคุณ แม้สนามแข่งอาจจะไม่ค่อยหลากหลายเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าเป็นกิจกรรมแข่งขันเล็ก ๆ ที่เล่นแล้วสนุกสนาน ไม่รู้สึกเสียเวลาหรือน่าเบื่อแต่อย่างใด
The Witcher 3: Wild Hunt – Horse Racing
โหมด Horse Racing ในเกม The Witcher 3 เปรียบเสมือนเป็นการแข่งขัน Rally ที่เปลี่ยนจากรถเป็นม้าแทน ในสนามแข่งจะมีทางโค้งมากมาย ภูมิประเทศค่อนข้างหลากหลาย และ HUD ไม่มีการบอกเส้นทางที่ชัดเจน เกมเมอร์จึงจำเป็นต้องใช้สมาธิอย่างมากกับการโฟกัสกับการมองถนนที่อยู่ตรงหน้า
นอกจากนี้ ม้าของผู้เล่นมีหลอดพลังงาน Stamina ที่หากกดวิ่งนานเกินไป จะทำให้ม้าเหนื่อยเกินจนไม่สามารถวิ่งต่อได้ จนกว่าหลอด Stamina กลับมาฟื้นอีกครั้ง ฉะนั้นระหว่างการแข่งขัน ผู้เล่นต้องคอยจัดการ Stamina ให้ดีด้วย
Cyberpunk 2077 – The Beast in Me
แม้ Cyberpunk 2077 มีข้อเสียมากมายที่ทำให้ตัวเกมโดนฉุดรั้งความสมบูรณ์แบบ และความสนุกไปบ้าง แต่ก็ไม่ปฏิเสธได้ว่าภารกิจแข่งรถซีรีส์ The Beast in Me ใน Cyberpunk 2077 ของ Claire Russell เป็นหนึ่งในภารกิจที่เล่นแล้วมีความน่าจดจำไม่แพ้เนื้อเรื่องหลัก
เพราะการแข่งขันรถยนต์ใน Cyberpunk 2077 เป็นสิ่งผิดกฎหมาย และ Night City ก็เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ที่อาชญากรรมเกิดขึ้นบ่อยจนกลายเป็นเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน ฉะนั้นการแข่งรถในเกมนี้จึงไม่มีกฎ สามารถทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ชนคู่แข่งจนออกจากสนาม หรือให้คู่หูใช้ปืนยิงรถคู่แข่งจนเสียหลัก แม้จะใช้ลูกเล่นตุกติกแค่ไหน สุดท้าย คนที่คว้าอันดับ 1 ก็คือผู้ชนะ
ถึงแม้ภารกิจแข่งรถ Cyberpunk 2077 จะมีให้เล่นน้อย และกิจกรรม Racing ไม่มีให้เล่นในโหมด Free-Roam แต่เนื่องจากภารกิจดังกล่าว มีการบังคับต้องตัดสินใจระหว่างการแข่งขัน รวมถึงนำเสนอเรื่องราวได้น่าสนใจ จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเกมเมอร์หลายคนจึงชื่นชอบภารกิจของ Claire Russell เป็นอย่างมาก
Yakuza: Like A Dragon – Dragon Kart
ใน Yakuza: Like A Dragon มีมินิเกมตัวใหม่อย่างหนึ่งที่ชื่อว่า “Dragon Kart” ซึ่งแน่นอนว่าเกมแข่งรถดังกล่าว เหมือนล้อเลียนมาจากเกม Mario Kart ของ Nintendo ก็ว่าได้
ระหว่างการแข่งขัน ผู้เล่นสามารถเก็บพลัง Power-Up เช่น การยิงจรวด การวางกับดัก และพลังอื่น ๆ ที่ทำการรบกวนผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามเป็นเวลาชั่วคราว นอกจากนี้ ก่อนเริ่มการแข่งขัน ผู้เล่นสามารถอัปเกรดรถ Kart ของตัวเอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพยานพาหนะของเรา ด้วยองค์ประกอบดังกล่าว Dragon Kart จึงเป็นหนึ่งในมินิเกมขนาดใหญ่ของ Yakuza: Like A Dragon และพิสูจน์ให้เห็นว่าทีมงานมีความสามารถมากพอที่จะสร้างเกมแข่งรถเกมหนึ่งได้
Watch_Dogs 2
คล้ายกับเกมตระกูล Grand Theft Auto ระหว่างโหมด Free-Roam ผู้เล่นสามารถเดินทางไปทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อปลดล็อกไอเทมเสริม รับเงินจำนวนหนึ่ง หรือเก็บความสำเร็จให้ครบ 100%
แน่นอนว่า Watch_Dogs 2 ก็มีโหมด Racing ต่าง ๆ ให้เลือกทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการแข่ง Drone Racing, eKart Racing, Motocross Racing (การแข่งทางชัน) หรือแม้การแข่งขันด้วยเรือใบสุดแปลกประหลาด ก็มีให้เล่นในเกมนี้ด้วยเช่นกัน
Grand Theft Auto Online
Grand Theft Auto เกือบทุกภาค ล้วนมีโหมด Racing ให้เกมเมอร์สามารถเลือกสนามแข่ง แล้วไป Racing ประลองความเร็ว เพื่อคว้าอันดับที่ 1 แล้วรับเงินรางวัลค่าขนมไปซื้อสิ่งของต่าง ๆ ซึ่งมันเป็นหนึ่งในกิจกรรมเสริมสำหรับคนอยากรวยทางลัด
แต่ Grand Theft Auto V และ Online ได้ยกระดับโหมด Racing ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ตั้งแต่เพิ่มสนามแข่งที่สลับระหว่างถนนลูกรังกับถนนปกติ, มีโหมดสร้างสนามแข่งด้วยตัวเอง, สามารถตั้งค่าจำกัด Performance หรือประเภทของรถ และแน่นอน ในเกมนี้ ผู้เล่นสามารถใช้รถคันไหนก็ได้ในการเข้าร่วมแข่งขัน จึงทำให้ประสบการณ์ในการเล่นเกมแข่งรถใน GTA แทบจะใกล้เคียงกับ Forza Horizon เลยก็ว่าได้