Easy Mode เป็นตัวเลือกสำหรับคนชื่นชอบการเล่นเกมเป็นชีวิตจิตใจ และชอบเน้นเล่นง่ายมากกว่าความท้าทาย แต่แน่นอนว่ามีทีมพัฒนาบางกลุ่มได้ใส่ลูกเล่นบางอย่างไว้สำหรับการกลั่นแกล้ง หรือหยอกล้อเกมเมอร์ใน Easy Mode เพื่อสร้างสีสัน สร้างเสียงหัวเราะ กับเพิ่มความน่าจดจำให้ตัวเกมมากขึ้น แล้วจะมีอะไรบ้าง ก็สามารถรับชมได้เลยครับ
ปะป๋าขอเล่นได้ไหม? – Wolfenstein
มาเริ่มต้นกันด้วยการหยอกล้อผู้เล่นที่เลือกเล่น Easy Mode อย่าง Wolfenstein ซะก่อน โดยความยากระดับง่ายสุดของเกมนี้มีชื่อเรียกว่า “Can I play, Daddy? ” (ปะป๋าขอเล่นได้ไหม?) ซึ่งมาพร้อมกับหน้าของ B.J. Blazkowicz กำลังแต่งกายเป็นเด็กทารกที่ปากกำลังอมจุก และสวมหมวกเด็กทารกสุดน่ารักซะไม่มี
แม้ความยาก Can I play, Daddy? ไม่ได้มีการกลั่นแกล้งผู้เล่น (หรือง่าย ๆ คือเล่นเกมตามปกตินั่นแหละ) แต่ด้วยการตั้งชื่อระดับความยากที่มีเอกลักษณ์ กับสื่อสารถึงคนเล่นเกมระดับนี้ว่า “เป็นความยากที่เด็กน้อยเล่นกัน” ทำให้ซีรีส์ Wolfenstein กลายเป็นเกมโด่งดังทั้งระบบเกมเพลย์ และการนำเสนอเนื้อหาฆ่าล้างนาซีที่รุนแรง เลือดสาดกับสะใจ
ฉันยังหนุ่ม/สาวเกินไปที่พร้อมจะตาย – Doom
ถ้าหากความยากระดับง่ายสุดของ Wolfenstein คือ “ปะป๋าขอเล่นได้ไหม? ” สำหรับเกม Doom ก็จะคล้ายกับ Wolfenstein แต่เรียกแทนว่า “I’m too young to die” (ฉันยังหนุ่ม/สาวเกินไปที่พร้อมจะตาย) โดยเกมมีโอกาสดรอปกระสุนมากขึ้นเป็นสองเท่า และผู้เล่นสามารถทนต่อดาเมจจากศัตรู 1.5 เท่าอีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ระดับความยาก I’m too young to die จะง่ายสุดในเกม Doom แต่เกมเมอร์หัดเล่น Doom หลายคนก็ยังคงประสบปัญหาจากการ Game Over หลายครั้งจนผู้เล่นบางส่วนเข้าใจผิด และร้องเรียนว่าอาจจะเป็นบั๊กของเกม ก็ต้องบอกเลยว่าเกม Doom สร้างขึ้นมาเพื่อคนรักเกมยิงแบบ Old School อย่างแท้จริง
เจ้าหมานินจา – Ninja Gaiden Black
Ninja Gaiden Black เป็นเกม Hack and Slash สุดยาก ฉบับรีเวิร์กของแพลตฟอร์ม Xbox ที่มีการเพิ่มระดับความยากแบบพิเศษ 2 โหมด คือ Master Ninja ระดับยากสุด และ Ninja Dog ซึ่งเป็นระดับง่ายสุดของเกม
ระดับความง่ายสุดอย่าง Ninja Dog หรือเรียกว่าไอ้หมานินจา นอกจากจะมีชื่อโหมดที่สื่อให้ผู้เล่นรู้สึกต้องเขินอายแล้ว ทำให้ตัวเกมง่ายมากขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือเหมือนคนละเกม และผู้เล่นโดนบังคับให้ผูกริบบิ้นสีชมพูที่ข้อมือสุดน่ารักซึ่งขัดกับบรรยากาศเกมที่เป็นแนว Hack and Slash เลือดสาดอย่างสิ้นเชิง รวมถึง Ayane คู่หูของ Ryu จะหยอกล้อคุณว่า “อ่อนหัด” ตลอดทั้งเกมอีกด้วย
ความยากระดับง่ายสุดของ Postal 2 ก็ง่ายจริงสมกับชื่อของมัน เพราะศัตรูทั้งหมดในเกมจะถือพลั่วแทนอาวุธปืน ซึ่งตอนแรกก็ฟังดูเหมือนเป็นโหมดเกมที่เน้นเล่นเอาฮาเป็นหลัก แต่เวลาต่อมา ผู้เล่นจะเริ่มรู้สึกว่าตัวเกมได้แอบทำโทษเกมเมอร์ที่เลือกระดับง่ายมากอย่างแนบเนียน (หรือทีมงานไม่ได้ตั้งใจก็ไม่รู้) เพราะเนื่องจากศัตรูถืออาวุธพลั่วอย่างเดียว ทำให้ฝ่ายผู้เล่นจึงหาไอเท็มกระสุนปืนยากมาก ซึ่งทำให้เกมการเล่นช่วงกลางเกมค่อนข้างน่าเบื่อ ซ้ำซาก และไม่สนุกสนานเท่าที่ควร
นอกจากนี้ หากผู้เล่นเลือกระดับความยากที่ต่ำกว่า “Average” ลงไป หลอด Wanted ก็จะหายนานยิ่งขึ้น ทำให้การไล่ล่าตำรวจจึงยืดเยื้อกว่าเดิมอีกด้วย ซึ่งก็เริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าระดับง่ายสุดของเกม Postal 2 นั้น ทีมงานพยายามกลั่นแกล้งผู้เล่นจริง ๆ หรือทั้งหมดเป็นบั๊กที่ไม่ได้จงใจใส่มาตั้งแต่แรกกันแน่?
ถ้าหากคิดว่าภารกิจลอบเร้นบางตัวมันยากเกินไปสำหรับท่าน หมวก Chicken Hat จะช่วยให้เกมลดระดับความยากลงในระดับหนึ่ง เพราะหากสวมหมวก Chicken Hat แล้ว ศัตรูในเกมจะมองข้ามเกมเมอร์หากถูกจับได้เป็นจำนวนสามครั้ง และเกมเมอร์หมดโอกาสที่จะทำภารกิจจบได้ผลลัพธ์เกรด S
แต่ถ้าหากเกมเมอร์ตายแล้วตายอีกหลายรอบแม้จะสวม Chicken Hat แล้วก็ตาม ตัวเกมจะถามผู้เล่นว่าต้องการสวมหมวก “Lil’ Chick Hat” หรือไม่? ซึ่งถ้าหากเลือกใส่ในการเกิดรอบหน้า ศัตรูในเกมจะไม่สามารถมองเห็นผู้เล่นในทุกกรณี แต่คะแนนช่วงท้ายจะมีผลลัพธ์จบลงที่ 0 คะแนนโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น ก็ถือเป็นทางเลือกสำหรับเกมเมอร์ที่จนตรอกจนมุม และไม่สามารถดำเนินการเกมต่อไปได้ แต่แน่นอนว่าสำหรับใครที่ต้องการบันทึกสกอร์ท้ายภารกิจ คุณก็ต้องยอมกลับมาทำมิชชันใหม่อีกรอบเช่นกัน
ถ้าหากเกมเมอร์เล่นเกม Twisted Metal 2 จบด่านแรกใน Easy Mode ตัวเกมจะล็อกผู้เล่นไม่ให้เล่นต่อด้านที่สอง พร้อมโชว์ป้าย STOP แล้วเขียนว่า “No Loser Allowed” (ขี้แพ้ไม่ควรไปต่อ) ซึ่งถ้าอยากจะไปต่อด่านที่สอง เพลเยอร์ต้องสลับเล่นเป็นระดับความยากแบบ Normal หรือ Hard ขึ้นไปเท่านั้น
ถึงแม้การสื่อสารถึงเกมเมอร์จะดูใจร้ายไปหน่อย แต่ก็โชคดีที่ฉากจบ No Loser Allowed เป็นแค่ช่วงเริ่มต้นเกมเท่านั้น และใช้เวลาเล่นไม่นานในการจบด่านแรกอีกด้วย ก็ให้คิดซะว่า Easy Mode ของ Twisted Metal 2 ก็คือโหมดฝึกซ้อมดี ๆ ก่อนเล่นจริง แต่ตัวเกมตัดสินใจที่จะไม่บอกกันตรง ๆ กับผู้เล่นด้วยเหตุผลบางอย่าง
ฉากจบไม่สมบูรณ์ – Star Wars: Shadows Of The Empire
Star Wars: Shadows Of The Empire จัดว่าเป็นตำนานเกมที่กลั่นแกล้งคนเล่น Easy Mode ได้ใจร้ายจนหาสุดมิได้ เพราะการเล่น Easy Mode จะมีผลลัพธ์ทำให้ฉากจบของเกมเปลี่ยนแปลงจากเนื้อเรื่องที่มีตอนจบบริบูรณ์ในเกมอยู่แล้ว กลายเป็นเกมเนื้อเรื่องแบบตัดจบค้างคาทันที
วิธีเดียวที่จะสามารถปลดล็อกฉากจบที่แท้จริง หรือเล่นเนื้อหาเกมฉบับเต็มได้ ก็คือต้องเล่นเกมในระดับความยากแบบปานกลางขึ้นไปเท่านั้น และแน่นอนว่า Star Wars: Shadows Of The Empire ก็ไม่ใช่เป็นเกมที่มีเนื้อหาสั้น ๆ เพราะฉะนั้นถ้าหากคุณเล่นเกมโหมดเนื้อเรื่องระดับ Easy คุณจะต้องเริ่มต้นเกมใหม่ในความยากระดับ Normal อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็บอกเลยว่าเป็นการกลั่นแกล้งที่แสบมากจนเกมเมอร์หลายคนต้องเดือดกันมาแล้ว
แหล่งอ้างอิง : 15 Video Games That Mock You For Playing On Easy Mode, 10 Video Games That Mock You For Playing On Easy
