วางจำหน่ายมาแล้วเป็นที่เรียบร้อย สำหรับเกมแอคชัน RPG ที่ทั่วโลกตั้งตารออย่าง Elden Ring ซึ่งก็เรียกได้ว่าออกสตาร์ทอย่างสวยงามสุด ๆ ด้วยคำวิจารณ์แง่บวกจากสื่อแบบถล่มทลาย และยังมียอดผู้เล่นพร้อมกันเฉพาะบน Steam ทะลุไปกว่า 700,000 คนแล้ว
แต่แน่นอนว่าด้วยความที่มันเป็นเกมจากทีมงาน FromSoftware ก็ทำให้ยังคงมีเอกลักษณ์ของความยากอยู่ และสำหรับใครที่เป็นมือใหม่ของเกมแนว ๆ นี้ หรือเป็นมือเก๋าแล้ว แต่อยากใช้เวลาเล่นให้คุ้มค่ามากขึ้น ไม่ต้องวิ่งหลงวนตายกันบ่อย ๆ ก็มาดูเทคนิคเบื้องต้น 7 ข้อจากเรากันได้เลย
1. การเลือกคลาสเริ่มต้น และค่าสเตตัส
Elden Ring จะมีคลาสให้ผู้เล่นได้เลือกแนวทางของตัวเอง ซึ่งแม้ว่าจริง ๆ แล้วมันก็เป็นเพียงเซ็ตไอเท็มเริ่มต้นที่ทีมงานจัดสรรมาให้ มีค่าสเตตัสที่แตกต่างกันไปบ้าง แต่มันก็มีความสำคัญในช่วงต้นเกมมากพอสมควรทีเดียว
ดังนั้นใครที่ตั้งเป้าว่าอยากจะเล่นสายไหน เราก็แนะนำให้เลือกคลาสเริ่มต้นให้ตรงสายไปเลย เพราะอย่างน้อยก็จะได้ประหยัดเวลา ไม่ต้องมาคอยหาอุปกรณ์ให้ครบ เช่นใครเป็นสายที่ชอบโล่แน่น ๆ ดาบหนัก ๆ ก็อาจเลือกเป็นอัศวินเร่ร่อน (Vagabond) หรือผู้ส่งสารลับ (Confessor) ซึ่งคลาสเหล่านี้จะมีโล่ที่ป้องกันกายภาพแบบ 100% มาให้ตั้งแต่ต้นเลย และสบายมากสำหรับคนชอบความช้าแต่ชัวร์
หรือใครเป็นเซียนหลบ ชอบอาวุธที่มีความรวดเร็ว คลาสซามูไร ก็เป็นตัวเลือกที่ดีมาก เพราะนอกจากชุดเกราะเท่ ๆ แล้วเราก็ยังได้ดาบอันเลื่องชื่ออย่าง Uchigatana มาใช้กันตั้งแต่ต้นเกม (ซึ่งเป็นจุดที่เซอร์ไพรส์ผู้เล่นหน้าเก่าพอสมควร)
ในด้านของค่าสเตตัส จะมี 2 ค่าที่ควรพิจารณาก่อนเลยคือ
– Vigor / พลังชีวิต สิ่งจำเป็นสำหรับทุกสายอาชีพ ใครที่รู้ตัวว่าอาจจะพลาดโดนบอสโจมตีได้บ่อย ก็แนะนำให้อัป Vigor ขึ้นมาเยอะ ๆ ก่อนเลยตั้งแต่ต้นเกม โดยหลัก ๆ แล้วก็พยายามเน้นอย่าให้เลือดน้อยจนเกินไป จนโดนบอสโจมตีเพียง 1-2 ทีก็ร่วงแหลกสลายไปเสียก่อน
– Endurance / ความทนทาน (เพิ่ม Stamina, แบกของได้เยอะขึ้น) ใครที่มั่นใจกับความว่องไว และรู้ว่าน่าจะหลบท่าบอสได้แม่น ๆ ก็แนะนำให้แบ่งส่วนหนึ่งจาก Vigor มาอัปค่านี้ด้วย จะได้บริหารจัดการ Stamina ของตัวเองง่ายขึ้น และหลบได้บ่อยครั้งขึ้นด้วยนั่นเอง
หลังจากที่อัปทั้ง 2 ค่าจนพอใจแล้วระดับหนึ่งในช่วงต้นเกม ก็แนะนำให้อัปค่าอื่นขึ้นมาตามความต้องการของอาวุธที่อยากเล่น ซึ่งอาวุธที่หาได้ในช่วงต้นเกมมักจะต้องการค่าสเตตัสที่เกี่ยวข้องอยู่ประมาณ 10-20 ก็ให้แบ่งมาอัปส่วนนี้จนกว่าจะถึงขั้นต่ำ เพื่อให้สามารถใช้งานมันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
จากนั้นลำดับถัดไป ก็ให้อัปตามระดับการเสริมพลังของอาวุธที่จะใช้ โดยอาวุธแต่ละชิ้นจะมีรายละเอียดบอกไว้ว่ามีความรุนแรงขึ้นอยู่อะไรบ้าง ไล่ตั้งแต่ S (สเตตัสมีผลเยอะสุด), A, B, C ไปจนถึง D (สเตตัสมีผลน้อยสุด) ที่เราต้องทำก็คือดูว่าค่าไหนเยอะที่สุด ก็ให้อัปส่วนนั้นขึ้นมาก่อนเป็นลำดับแรก
ตัวอย่างเช่นดาบเล่มหนึ่ง ระบุไว้ว่าสเกลกับ Strength (แข็งแกร่ง) “D” และ Dexterity (ชำนาญ) “C” ก็ให้เน้นอัป Dex นำมาก่อนได้เลย หรือถ้าคิดว่าอาจจะเปลี่ยนไปเล่นอาวุธอื่นที่เป็นสาย Strength ด้วย ก็อาจจะอัป Strength เผื่อไว้สักประมาณ 15-20 เพื่อให้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำสำหรับใช้อาวุธ Strength ต่อไป
2.เน้นอัปเกรดอาวุธเพียงแค่ชิ้นเดียวก่อน
Elden Ring มีทรัพยากรอัปเกรดอาวุธจำกัดมาก โดยหินที่ใช้อัปเกรดอย่าง Smithing Stone (หินแร่) จะแบ่งออกเป็นหลายระดับซอยย่อยสุด ๆ ดังนั้นจึงมีโอกาสที่เราจะไปสำรวจแล้วไม่เจอหินแร่ระดับที่ตัวเองต้องการ ทำให้ต้องไปแวะดูจุดอื่นต่อ จนกว่าจะเจอระดับที่ใช่สำหรับการอัปเกรดอาวุธ (อย่างน้อยก็ในช่วงต้นเกม)
ดังนั้นเราจึงแนะนำว่าให้ทุ่มทรัพยากรหินอัปเกรดทั้งหมด ไปกับอาวุธเพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้นก่อน และขอให้เลือกอาวุธที่จะอัปเกรดให้ดี ดูว่าท่าโจมตีเหมาะกับสไตล์ตัวเองหรือไม่ สเกลพลังเป็นอย่างไร เพราะมันจะต้องอยู่กับเราไปอีกนานทีเดียว
โดยสำหรับเกมนี้ อาวุธประเภทเดียวกันจะมีค่าโจมตีเริ่มต้น (Base Stat) ในระดับ +0 ที่ไม่เท่ากัน หากในภายหลังเราพบอาวุธชิ้นที่มี Base Stat สูงกว่าอาวุธปัจจุบัน ตรงนี้ก็จะต้องชั่งน้ำหนักเอาเองว่ามันสูงจนคุ้มมากพอ ที่จะเปลี่ยนมาทุ่มหินอัปเกรดให้กับชิ้นนั้น ๆ แทนหรือไม่
3.คุ้นเคยกับการกลิ้งหลบ
การกลิ้งหลบ คือสกิลที่ทรงพลังที่สุดตลอดมาของเกมตระกูล Souls เพราะมันจะทำให้คุณรอดตายจากสารพัดท่าโจมตีสุดอันตราย แม้ว่าจะเห็นกันจะ ๆ ว่าโดนเต็ม ๆ แต่ด้วยความที่ขณะกลิ้งหลบนั้นมี iframes (Invincibility Frames) อยู่ประมาณหนึ่ง ก็จะช่วยให้คุณรอดพ้นจากท่าเหล่านั้นได้
ทั้งนี้ผู้เล่นก็ต้องหลบให้ถูกจังหวะการโจมตีของศัตรูด้วย โดยสิ่งที่เราพอจะแนะนำได้เกี่ยวกับการกลิ้งหลบ มีดังต่อไปนี้
– บางท่าจะโจมตีหลาย Hit และต่อเนื่อง หลบแค่ครั้งเดียวจะไม่รอด ดังนั้นถ้าเจอท่าพวกนี้ ให้พยายามกลิ้งหลบรัว ๆ แบบถอยห่างออกมาจากตัวศัตรู
– บางท่า (โดยเฉพาะบรรดาบอส) จะหน่วงเวลาง้างนานกว่าจะโจมตีจริง ๆ ทำให้เราอาจจะกะจังหวะยาก เผลอกดกลิ้งเร็วเกินไป ตรงนี้ให้ฝึกเป็นนิสัยว่ากลิ้งพลาดเมื่อไหร่ ให้กลิ้งซ้ำต่อทันที จะมีโอกาสรอดสูง ถ้ากลิ้งรอบที่สองแล้วบอสก็ยังไม่โจมตี ก็ให้รีบกลิ้งต่อครั้งถัดไปอีกจนกว่าบอสจะออกท่ามาในที่สุด
– (สายประชิด) ถ้าเป็นท่าโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียว และเรารู้ว่าหลังโจมตีไปแล้วมันจะมีระยะเวลาให้ได้สวนกลับประมาณหนึ่ง ให้กลิ้งแบบ “พุ่งสวนเข้าไปหาตัวศัตรู” เพื่อร่นระยะและเตรียมโจมตีต่อได้เลย
– ถ้าโดนอะไรสักอย่างจนล้ม อย่ารอจนกว่าเราจะลุกขึ้นเอง เพราะเมื่อผ่านไปเสี้ยวเวลาหนึ่ง ศัตรูจะสามารถซ้ำเราที่กำลังนอนอยู่บนพื้นได้ ซึ่งในช่วงนั้นเราก็สามารถกดกลิ้งหลบได้แล้วด้วยเหมือนกัน ทว่าทางที่ดีคืออย่าเพิ่งกดกลิ้งรัว ๆ ออกมาเลย ให้รอดูจังหวะว่าศัตรูกำลังจะเข้ามาซ้ำเรา จึงค่อยกลิ้งหลบ (ขณะนอนพื้น) เพื่อสร้างจังหวะโจมตีสวนต่อ หรือถอยมากินยาฟื้นพลัง
4.อย่าเก็บรูนไว้กับตัวเยอะเกินไป
เป็นกฎเหล็กข้อสำคัญของทุกเกมจากทีมงาน FromSoftware เลยก็ว่าได้ นั่นคืออย่าพยายามพกของมีค่าที่สุดอย่างรูน (Rune) ไว้กับตัวมากจนเกินไป เพราะเราไม่รู้ว่าเมื่อใดจะพลาดท่าตาย 2 รอบติด ๆ กัน จนเสียดายรูนก้อนใหญ่ไปโดยใช่เหตุ
ทางที่ดีคือควรจำไว้คร่าว ๆ ทุกครั้งขณะอัปเลเวล ว่าในเลเวลถัดไปเราจะต้องใช้รูนเท่าใด จากนั้นเมื่อฟาร์ม / สำรวจจนถึงจำนวนนั้นแล้ว ก็ควรรีบวาร์ปกลับมาหาพร (Grace) แล้วอัปขึ้นมา 1 เลเวลทันที ให้รูนเหลืออยู่กับตัวน้อยที่สุด
ซึ่งถ้ารูนขาดไปแค่นิดเดียว ก็ให้ใช้ไอเท็มประเภทรูนทองคำ (ก้อนกลม ๆ สีทอง) เพิ่มรูนของตัวเองขึ้นมาจนกว่าจะเพียงพอต่อการอัปเลเวลได้
ในกรณีที่เราสำรวจโลกกว้างอาจจะไม่เสี่ยงมาก แต่หากเป็นในดันเจี้ยน แล้วรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในภาวะวิกฤตที่ยาเหลือน้อย เลือดเหลือไม่มาก แต่รูนเหลือเพียบไปหมด ก็ให้ใช้วิธีลอบเร้นแทนเพื่อลดการเสียขวดยาโดยไม่จำเป็น และหาจังหวะถอยกลับมายังพร (Grace) ล่าสุดที่เคยนั่งพักอยู่ เพื่อฟื้นฟูพลังก่อนก็จะเป็นการดีกว่า
ซึ่งถ้ายังดันทุรังแบกรูนปริมาณมาก ๆ สำรวจดันเจี้ยนต่อ ก็มีโอกาสที่เราจะหลุดเข้าไปเจอบอสโดยไม่รู้ตัว และเพราะว่าเกมนี้ไม่มีวิธีหนีออกจากบอสดันเจี้ยนแบบไม่ต้องเสียรูน จึงทำให้มีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้นที่จะรักษารูนไว้ต่อไปได้ คือต้องสู้ให้ชนะ ซึ่งจะชนะตั้งแต่รอบแรกเลยก็ได้ หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องเก็บรูนที่ตกพื้นให้ได้ ทุกครั้งที่ตายแล้ววนกลับมาสู้บอสใหม่
5.ถ้าไม่ไหว ให้ถอยก่อน
Elden Ring จะมีพื้นที่ดันเจี้ยนหลักที่มีความยากสูงขึ้นมา แตกต่างจากพื้นที่เปิดกว้างอย่างชัดเจน ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นบทพิสูจน์ฝีมือ ก่อนที่เนื้อเรื่องจะได้คืบหน้าต่อไป
ดังนั้นหากรู้สึกว่าดันเจี้ยนหลักเหล่านี้มันโหดหินเกินไป หรือสู้บอสของดันเจี้ยนไม่ไหว ตายแล้วตายเล่าก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะผ่าน ก็ไม่จำเป็นต้องรีบฝืนไปต่อ เพราะพื้นที่โลกกว้างยังมีอะไรให้เราแวะสำรวจอีกเยอะมาก เช่น
– ดันเจี้ยนที่มีอาวุธ, ไอเท็มดี ๆ ซ่อนอยู่เสมอ แต่ต้องไปลุ้นอีกทีว่าจะตรงสายที่เราอยากเล่นหรือไม่
– จุดแลนด์มาร์คต่าง ๆ เช่นแคมป์ศัตรู, ซากปรักหักพัง ซึ่งจะมีไอเท็มอยู่เช่นกัน
– ให้ความสำคัญกับดันเจี้ยนที่เป็นเหมืองแร่เป็นอันดับ 1 เพราะในนั้นจะมีหินแร่ที่ใช้อัปเกรดอาวุธได้อยู่ด้วย ซึ่งจะทำให้อาวุธเราดีขึ้น และกลับไปสู้บอสในดันเจี้ยนหลักได้ง่าย โดยหินแร่พวกนี้จะเป็นก้อนเรืองแสงสีเหลือง ๆ หรือสีขาว ฝังอยู่ตามกำแพงภายในเหมือง
– พยายามสังเกตหาป้ายหินศิลาทรงสูง ๆ อยู่เสมอเมื่อเข้าสู่พื้นที่ใหม่ (ในแผนที่จะมีไอคอนรูปป้ายนี้บอกตำแหน่งเอาไว้) เพราะเมื่อสำรวจแล้วก็จะได้รับชิ้นส่วนแผนที่ของโซนนั้น ๆ มา และทำให้ดูแผนที่สะดวกขึ้น เห็นรายละเอียดอะไรเยอะขึ้น
– พยายามสังเกตหาต้นไม้สีทองเล็ก ๆ ขนาดไม่สูงมากตามฉาก ที่ต้นเหล่านี้จะมีเมล็ดที่เอาไว้อัปเกรดจำนวนครั้งการใช้ยาฟื้นฟูของเรา เพราะฉะนั้นถ้าเห็นผ่านตามาเมื่อใด ก็ไม่ควรพลาดเด็ดขาดแม้แต่ต้นเดียว
นอกจากนี้ ก็จะมีบางครั้งที่ผู้เล่นไปค้นพบเส้นทางลับและพาไปสู่สถานที่ใหม่ ๆ ที่ไม่คุ้นตา หากรู้สึกว่าศัตรูแถวนั้น หรือบอสประจำพื้นที่นั้นมันโหดกว่าที่เคยเจอมาก ๆ ก็ให้สันนิษฐานไว้เลยว่ามันเป็น “กำแพง” สำหรับผู้เล่นใหม่ ที่ทีมงานต้องการจะไล่ให้เราไปสำรวจที่อื่นก่อน แล้วค่อยแวะเข้ามาอีกรอบภายหลัง ฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องฝืนมากเกินไป ยกเว้นแต่ว่าอยากจะสำรวจขำ ๆ สักพัก เผื่อจะเจอของดีอะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง
6.สู้บนหลังม้า ได้เปรียบกว่าในหลายโอกาส
แม้ว่าการขี่ม้าจะทำให้เรากลิ้งหลบไม่ได้ แต่ก็แลกมาด้วยความคล่องตัวอันมหาศาล ที่จะช่วยให้รอดพ้นจากการโจมตีสุดอันตราย (และมีระยะกว้างมาก ๆ) ของหลายศัตรูที่พบ
แล้วด้วยความที่ท่าโจมตีหลาย ๆ ท่า ก็มักจะโดนตัวม้าของเราก่อน จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่ควรขี่ม้าไว้ เพราะการไม่เสียเลือดก็เท่ากับไม่เสียปริมาณขวดยา ทำให้สำรวจโลกได้นานขึ้นด้วยนั่นเอง
โดยอาวุธที่เหมาะกับการขี่ม้าก็จะเป็นพวกสายเวทมนตร์ ที่ทำให้คุณสามารถรักษาระยะห่างจากศัตรูได้ง่ายขึ้น และร่ายเวทโจมตีจากจุดปลอดภัยได้เสมอ ขณะเดียวกันก็ยังเหมาะกับผู้ที่ใช้อาวุธกายภาพขนาดยาว เช่นดาบตั้งแต่ Greatsword ขึ้นไป เพราะอาวุธพวกนี้มีระยะการโจมตีกว้าง ทำให้เราสามารถขี่ม้าแบบแฉลบ ๆ เข้าไปหาดงศัตรู แล้วโจมตีโดนได้แบบไม่ต้องเล็งอะไรให้มากความ
ทั้งนี้ก็ควรระวังการตกจากหลังม้าไว้ด้วย เพราะคุณจะเข้าสู่สถานะไร้การป้องกันโดยสมบูรณ์แบบ และในตอนนี้จะกลิ้งหลบขณะที่นอนอยู่ไม่ได้แล้ว ทางที่ดีจึงอย่าพยายามตกจากหลังม้าบ่อย โดยถ้ากำลังอยู่ในไฟต์อันตราย แล้วม้าใกล้ตายก็ให้รีบถอยมาห่าง ๆ ศัตรู แล้วกดใช้ Rowa Raisin (คราฟต์จากผลโรอาที่หาได้ทั่วไปในเกม) เพื่อฟื้นพลังม้าขึ้นมาเล็กน้อย
7. สอดส่องหาจุดฟาร์มที่เข้ากับตัวเอง
แดนมัชฌิมานั้นมีขนาดกว้างและลึกแบบเหนือจินตนาการ ด้วยสเกลระดับนี้ก็ทำให้ทีมงานไม่สามารถจะรักษาความสมดุลไว้ได้ทั้งหมด บางพื้นที่เราจะเจอช่องโหว่ว่ามีกลุ่มศัตรูที่ดูกำจัดได้ง่ายเกินเหตุ และได้รูนกลับมาเยอะ ซึ่งถึงแม้จริง ๆ แล้วมันอาจจะง่ายเพราะสายที่เราเล่นมันได้เปรียบ แต่นี่ก็คือโอกาสอันดีที่จะได้ปักหลักฟาร์มรูนแบบไม่ลำบากยากเย็นอะไร
โดยจุดที่ควรพิจารณามาเป็นพื้นที่สำหรับฟาร์ม มีดังต่อไปนี้
– ต้องไม่ห่างจากพร (Grace) มากเกินไป จะได้วนฟาร์มซ้ำบ่อย ๆ ไม่เสียเวลา
– ไม่เสี่ยงตายมาก เล่นแบบใช้สมาธิไม่เต็มร้อยก็ฟาร์มได้เพลิน ๆ (จะได้หาอย่างอื่นดูไปด้วยระหว่างฟาร์ม)
จุดที่เราแนะนำในช่วงต้นเกม (สายอาวุธประชิด) จะอยู่ตรงค่ายทหารหน้าประตูวายุ (พร “หน้าด่าน”) ซึ่งสามารถย่องไปเก็บทหารได้ทีละตัว ถ้าเกิดพลาดโดนจับได้จนท่าไม่ค่อยดี ก็วิ่งกลับมาพักที่พรได้โดยเร็ว
จุดต่อมาคือปราสาทสตอร์มวีล (พร “ห้องเล็กด้านใน”) ที่ถ้าวิ่งตรงจากห้องเริ่มต้นมาเรื่อย ๆ ก็จะพบกับบรรดาแก๊งไห (ในรูปด้านบน) ซึ่งโจมตีเชื่องช้า และมีเพียงแค่ไหตัวใหญ่เท่านั้นที่ต้องระวังความอันตรายของมัน ตรงจุดนี้จะฟาร์มได้ประมาณรอบละ 900 รูน และเมื่อเคลียร์ไหครบทุกตัวแล้วก็กดเปิดแผนที่วาร์ปกลับมาที่พรเดิมเพื่อวนลูปอีกครั้ง
อีกจุดที่น่าสนใจจะอยู่ในช่วงท้าย ๆ เกม ซึ่งถ้าเจอศัตรูตัวกลมเล็กสีขาว ถือแตรอยู่ในมือ ศัตรูพวกนี้จะไม่อันตรายมากและสามารถจัดการได้ครบทุกตัวในโซน ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง (รวมกับตัวที่พ่นไฟได้อีก 1 ตัว) โดยจะได้ประมาณรอบละเกือบหมื่นรูน
แน่นอนว่ายังมีจุดฟาร์มอื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพอยู่อีกเยอะมาก ซึ่งก็คาดว่าสักพักน่าจะเริ่มมีคนเอามาแชร์ หลังจากที่เล่นกันจนคืบหน้าไปถึงระดับหนึ่งแล้ว
ทั้งนี้เราก็ขอให้ผู้อ่านมีความสุขกับการสำรวจดินแดนอันกว้างใหญ่ของ Elden Ring และหวังว่าแนวทางทั้ง 7 ข้อนี้ จะช่วยให้เล่นได้โดยสะดวกขึ้นไม่มากก็น้อย