Windows 11 ระบบปฏิบัติการเวอร์ชันล่าสุดจากทาง Microsoft ที่มีการปล่อยอัปเดตสำหรับนักพัฒนาไปแล้วและกำลังจะปล่อยตัวเต็มที่แก้ไขบั๊กต่างๆในการใช้งานในปลายปีนี้ หลายคนคงได้ลองโหลดตัวเวอร์ชัน Windows Insider Program และลองใช้งานบน Windows 11 กันแล้ว แต่ก็มีบางอย่างที่เราอาจจะไม่ได้สังเกตว่า Microsoft ได้ทำการเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงไปจาก Windows 10 จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย
1. บอกเวลาโดยประมาณในการอัปเดต Windows
ปกติแล้วเวลาที่เราอัปเดตตัว Windows แล้วเราก็ต้องมานั่งรอโดยที่ดูได้แค่เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จในการอัปเดตและรอไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจบ โดยที่ไม่รู้เลยว่าใช้เวลาไปเท่าไหร่หรือเราต้องรอกี่นาที ใน Windows 11 ได้มีการใส่เวลาโดยประมาณในการอัปเดตแต่ละครั้ง ทำให้เราสามารถรอเครื่องอัปเดตเสร็จได้และบอกเวลากับคนจะขอใช้โน้ตบุ๊กหรือคอมเราตอนที่เราอัปเดตหรือหัวหน้าตามงานตอนที่เราอัปเดตเครื่องพอดี
2. Volume Mixer โฉมใหม่
ใน Windows 11 หน้าตาของ Volume Mixer แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง จากที่ปกติแล้วเมื่อเรากด Volume Mixer ก็จะมีหน้าต่างเล็กๆตรงมุมขวาล่างขึ้นมาให้เราปรับเสียงในแต่ละโปรแกรม แต่ใน Volume Mixer ตัวใหม่ นอกจากที่จะมีหน้าต่างที่ใหญ่ขึ้น เราสามารถควบคุมระดับเสียงของแต่ละโปรแกรมได้เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือสามารถปรับ Input หรือไมค์และ Output หรือลำโพงได้ในหน้า Volume Mixer เลย
นอกจากนี้เรายังสามารถดูรายละเอียดของอุปกรณ์ด้านเสียงที่เราเชื่อมต่อและปรับแต่งเสียงหรือดูอัปเดตตัวไดรเวอร์ของอุปกรณ์ชิ้นนั้นๆได้ด้วย
3. เมนูในหน้า Windows รูปแบบใหม่
หน้าตาของตัวเลือกเมื่อเราคลิกขวาบนหน้า desktop หรือ File Explorer ได้รับการปรับปรุงให้เข้ากับธีมของ Windows 11 ที่ดูใสเคลียร์ , มินิมอลและเข้าถึงง่าย และยังมีตัวเลือกในการเข้าถึงด่วนต่างๆ เช่น ตัด , คัดลอก , เปลี่ยนชื่อ หรือวางที่ก็ได้รับการปรับปรุงหน้าตาเช่นกัน แต่เราก็ยังสามารถใช้คีย์ลัด Shift + F10 เพื่อเป็นการเปิดแถบตัวเลือกด่วนได้เช่นกัน
4. เข้าถึงการปรับแต่งเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น
ในการเปิด/ปิดเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไม่ว่าจะเป็น Wi – Fi หรืออินเทอร์เน็ตที่มาจากสาย LAN ถ้าเป็น Windows 10 เราจะต้องเข้าไปปรับผ่าน Control Panel > Network and Internet > Network and Sharing Center > Change adapter setting เราถึงจะทำการเปิดหรือปิดการใช้งานอินเทอร์เน็ตช่องทางนั้นๆได้ แต่ใน Windows 11 เราสามารถเข้าถึงการเปิด/ปิดช่องทางอินเทอร์เน็ตได้ง่ายกว่าเดิมนั่นเอง
5. การควบคุมแอปพลิเคชันพื้นหลัง
ปกติแล้วแอปพลิเคชันที่เราดาวน์โหลดจาก Microsoft Store เราก็สามารถปรับแต่งให้ตัวแอปพลิเคชันทำงานบนพื้นหลังได้หรือปิดไปเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ของตัวเครื่องก็ทำได้ และใน Windows 11 ก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่เข้าถึงได้ง่ายกว่า ปรับแต่งได้ง่ายกว่านั่นเอง
6. Windows Backup และการสำรองข้อมูล
ใน Windows 10 เราสามารถสำรองข้อมูลได้โดยการใช้ฟีเจอร์ Backup บน Windows 10 แต่เราก็ไม่สามารถเลือกการสำรองข้อมูลได้ละเอียด ทำได้แค่เลือกว่าจะสำรองข้อมูลไปที่ไหนเท่านั้น แต่ใน Windows 11 นอกจากการออกแบบหน้าต่างใหม่แล้ว เรายังสามารถเลือกสำรองข้อมูลโดยจะสำรองตัวแอปพลิเคชันหรือไม่สำรองก็ได้
แต่สำหรับใครที่คุ้นชินกับการสำรองข้อมูลแบบเดิมก็สามารถเข้าถึง Backup Options ได้เหมือนเดิม
7. ตัวเลือกบนแถบ File Explorer บางตัวหายไป
ตัว File Explorer บน Windows 11 มีความมินิมอลและแสดงคำสั่งในกรคัดลอก , วาง , ตัดและสร้างโฟลเดอร์ใหม่เท่านั้น เครื่องมือหรือตัวเลือกนอกจากนั้นจะอยู่ใน See more ทั้งหมด
ด้วยการวางตำแหน่งและการจัดตัวเลือกที่สำคัญเท่านั้นมาแสดงแทนที่การแสดงปุ่มเครื่องมือทั้งหมดเหมือน Windows 10 ทำให้การใช้งานเป็นไปได้ง่าย และหน้าตาของ File Explorer ออกมาสวยงามกว่าเดิมด้วย
8. Taskbar ที่หนาขึ้น
สำหรับใครที่ได้ลองเล่น Windows 11 แล้วก็อาจจะเพลิดเพลินกับฟีเจอร์ต่างๆ บน Windows 11 และการปรับแต่ง Taskbar ที่สามารถย้ายให้ปุ่มต่างๆไปอยู่ตรงกลาง , ชิดซ้ายหรือชิดขวาก็ได้ และถ้าใครตาดีลองสังเกต Taskbar ดู เพราะจริงๆแล้ว Taskbar ของ Windows 11 จะสูงขึ้นและหนากว่า Windows 10 อยู่ 6 พิกเซลนั่นเอง
ทั้งหมดนี้คือ 8 สิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงจาก Windows 10 ไปเป็น Windows 11 ที่หลายคนอาจจะไม่ได้สังเกตหรือพลาดไป บางข้อก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ใช้งานง่ายขึ้น บางข้อก็เป็นเหมือนการจับผิดภาพของเหล่าแฟนพันธุ์แท้ Windows เลย