ไม่มีใครอยากรู้ ไม่มีใครถามความเห็นและไม่มีใครสนใจ แต่เราจะบอกว่านี่คือ 9 เกมที่ GamingDose อยากให้มีภาคต่อ
เราทุกคนล้วนต่างมีเกมโปรดของตนเองไม่ต่ำกว่าหนึ่งเกม และแน่นอนว่าเราก็ต้องการให้เกมโปรดของเรานั้นมีภาคต่อออกมาให้ไวที่สุด แน่นอนครับ พวกเราเองก็มีเช่นกันกับเกมในดวงใจที่อยากให้มันมีภาคต่อออกมาเสียที บ้างก็กำลังจะออกและบ้างก็ยังมองไม่เห็นแม้แต่วี่แวว เรามาดูกันครับว่าเกมที่เราอยากให้มีภาคต่อนั้นมีเกมอะไรกันบ้าง
1. Jokeboy กับ Warcraft
ได้ยินชื่อ Warcraft หลายคนอาจจะนึกว่าผมอยากได้ภาคต่อของเกม MMORPG (ที่ล่าสุดเดินทางมาจนถึงแผ่นดินแพนด้าแล้ว) แต่สำหรับผมแล้ว Warcraft ที่ต้องการคือ Warcraft ในภาคของเกมวางแผนการรบหรือ RTS ซึ่งวันคืนเหล่านั้นจบลงไปตั้งแต่ Warcraft 3 และ Blizzard ดันมาปั้น World of Warcraft จนดังและไม่มีทีท่าว่าจะหวนกลับไปทำ “ภาคต่อที่แท้จริง” ของเกมตระกูลนี้เสียที
ในอดีตชื่อ Warcraft เคยหมายถึงเนื้อหาการต่อสู้การรบที่ยิ่งใหญ่ เรื่องราวของผู้กล้า ที่มืดหม่นจริงจัง ไม่ใช่ว่าผมหาว่า World of Warcraft เลวร้ายแต่อย่างใด (เพราะผมเองก็เล่นมาก่อนแล้ว) แต่สำหรับผมแล้ว Warcraft ที่แท้จริงยังไงก็ยังต้องเป็นเกม RTS นั่นเอง ก็ได้แต่หวังว่า Blizzard จะหวนคืนกลับไปพัฒนาเกมที่ผมและแฟนๆในอดีตอีกหลายคนทั่วโลกรอคอย
ความเป็นไปได้: รุ่นลูกเราอาจจะได้เล่นนะ
2. Sett กับ The Saboteur
ภารกิจลับ ลอบสังหาร แผนการกอบกู้ประเทศชาติและ Parkour … คงจะมีน้อยเกมนักที่จะมีสิ่งเหล่านี้อย่างครบครัน แต่ The Saboteur นั้นตอบสนองทุกความต้องการของผมครับ ในตอนแรกที่คิดว่าหากมีหนึ่งเกมที่ผมอยากเห็นภาคต่อ เป็นคำถามที่ยากจะตอบในทันทีครับผม เนื่องจากว่าในใจของผมนั้น Alpha Protocol เองก็เป็นหนึ่งในสองคำตอบของผมเช่นกัน แต่หากมานั่งนึกคิดให้ดี พิจารณากันให้ถี่ถ้วนพร้อมมองไปยังเหล่ากล่องเกมของผมนั้นคงต้องขอเลือก The Saboteur ให้เป็นคำตอบของเกมที่ผมอยากให้มีภาคต่อครับ
The Saboteur มาพร้อมกับรูปแบบการ Liberate พื้นที่ด้วยภาพขาวดำแสดงถึงพื้นที่ที่ถูกครอบงำด้วยเหล่านาซีเปรียบได้กับความรู้สึกที่สิ้นหวังท้อแท้และไร้ซึ่งอนาคต และผู้เล่นจะเป็นวีรบุรุษปลดปล่อยอิสระภาพให้กับประชาชนจนทั้งเมืองปารีสต้องกลับมามีสีสันสดใสอีกครั้ง ฟังดูอาจไม่น่าแปลกใหม่ แต่ทว่าในยุคนั้นเกมที่มีการปลดเปลื้องพันธนาการ Liberate ในยุคนั้นเรียกได้ว่าแทบไม่มีเลยทีเดียว ด้วยประเด็นและความคิดสร้างสรรค์ที่ทีมพัฒนาพยายามปรุงแต่งให้เป็นเอกลักษณ์ทำให้ใครหลายคนต้องมองข้ามข้อเสียทางด้านเกมเพลย์ออกไปโดยไม่รู้ตัว ได้แต่หวังว่าจะมีใครสักคนหันมาหยิบเกมนี้จากทีมพัฒนาที่ระเหยกลายเป็นผงมาปรุงแต่งตั้งปั้นกันใหม่กันนะครับ เพราะเพียงลำพังเกม Stealth บน PC มีแค่ Splinter Cell และ Assassin’s Creed คงไม่พอ…
ความเป็นไปได้: ทีมพัฒนาก็ระเหิดสลายไปแล้ว ก็รอกันต่อไปเผื่อ EA จะประสาทกลับหยิบมาทำใหม่
3. KirosZ กับ Need For Speed: Underground 2
สำหรับเกมที่ผมอยากให้มีภาคต่อคือ Need for Speed: Underground Series นั่นเองครับ เพราะสำหรับผมแล้ว NFS ภาคที่ดีที่สุดคือ Underground 2 เพราะมีระบบที่สนองนิ๊ดคนที่คลั่งไคล้ความเป็น Street Racer อย่างเต็มตัว ไม่ว่าจะเป็นการแต่งรถที่ครบเครื่อง ตั้งแต่ Body Part, ประตูปีกนก, ใส่เครื่องยนต์ ใส่ระบบเครื่องเสียง ไปจนถึงการใส่แสงไฟนีออนใต้รถ อ่าห์… นึกแล้วมันช่างน่าหลงใหลเสียนี่กระไร อีกทั้งยังจะมีระบบ Dyno ที่ปรับแต่ง จูนรถได้ละเอียดสุดๆ ประดุจดั่งเปิดอู่ด้วยตนเอง โหมด Drag แข่งทางตรงที่ดิบ เถื่อน สะใจ
แต่… สิ่งที่แย่คือไม่มีการสารต่อความเทพเหล่านี้อีกต่อไปแล้ว การปรับจูนรถได้ถูกแก้ไขให้เป็นการลากแถบเส้น ซ้าย-ขวา การแต่ง Body part ต่างๆ ได้ถูกปรับเป็น Set ที่ไร้ซึ่งความสวยงาม ส่วนตัวแล้ว ผมเฝ้ารอเหลือเกิน วันที่จะมีการจัดทำ Need for Speed: Underground 3 เกมที่จะใส่ความเป็น Street Racer ให้กลับมาแบบดิบๆ เถื่อนๆ กดไนตรัสใส่หน้ากันในช่วงทางตรงก่อนเข้าเส้นชัย ถ้าวันนั้นมาถึง เชื่อเถอะ เกมแข่งรถมันจะต้องคึกคักอีกครั้งอย่างแน่นอน !!
ความเป็นไปได้: EA หมดสัญญากับเหล่าซูเปอร์คาร์ทั้งหลายแหล่เมื่อไหร่อาจกลายเป็นจริง
4. SEPTH กับ Brothers in Arms: Hell’s Highway
ย้อนไปในช่วงที่หลากหลายค่ายพัฒนาพยายามจะรีดเค้นขุมพลังของ Unreal Engine 3 ออกมา หากยังจำกันได้ก็จะมีเกมนี้ที่ต่อยอดจากเกม Tactical Shooter ที่ถือกำเนิดมาในปี 2005 อันเป็นตระกูลนามว่า Brothers in Arms ที่ในภาคนี้มีการนำเสนอเรื่องราวที่ทำให้เราได้คิดถึงซีรีย์อย่าง Bands of Brothers ไปจนถึง The Pacific ในแง่ของความโหดร้ายของสงคราม และยังมีประเด็นทางจิตวิทยาควบคู่ไปกับการรบอย่างยิ่งเมื่อเราต้องเป็นผู้สั่งการเองในเกม ทำให้การออกศึกครั้งนี้ไม่เป็นดั่ง COD ที่นับได้ว่าเป็นทางเลือกใหม่ของผู้คลั่งไคล้เกมสงครามโลกครั้งที่สองในช่วงเวลาการมาของเกมสงครามสมัยใหม่ เสียแต่ว่าตัวเกมภาคนี้กลับไม่ได้รับการต่อยอดขยายความต่อจากตอนจบของภาคนี้ที่ทิ้งไว้อย่างที่ควรจะเป็น แต่กลายเป็นการรีบู้ทใหม่สไตล์หนังเควนตินอย่าง Inglorious Basterds ไปอย่างน่าเสียดาย
ความเป็นไปได้: จากบทสัมภาษณ์ล่าสุด Gearbox Software ถึงกับต้องถอด Brother in Arms: Furious 4 ออกจากตระกูล Brother in Arms เพราะโดนด่าเสียหมา เพราะฉะนั้นภาคต่อของ Brother in Arms อาจเป็นไปได้หลังปี 2015
5. Bagame (บ้าเกม) กับ Beyond Good & Evil
จริง ๆ ส่วนตัวมีหลายเกมเลยทีเดียวที่อยากให้ผู้พัฒนาสร้าง ‘ภาคต่อ’ โดยไม่ทิ้งค้างร้างลาให้ผู้เล่นหน้าเฉา (ล่าสุดก็ Brutal Legends เกมนึงล่ะ…) แต่ที่ยกเอา Beyond Good & Evil เกมแอ็คชันผจญภัยของ Ubisoft Montpellier ขึ้นโผในครั้งนี้ เหตุผลก็ง่ายๆ เพียงเพราะรู้สึกได้ว่านี่คือผลงานที่เป็นการกลั่นในจังหวะ ‘ขาขึ้น’ ที่สุดของทีมพัฒนา และครบเครื่องในทุกปัจจัยความสนุกที่เกมชั้นดีพึงเป็น กราฟิกน่ารัก เพลงประกอบยอดเยี่ยม เนื้อหาสุดเฉียบน่าติดตาม ตัวละครน่าจดจำ การเล่นแสนสนุกท้าทายแต่ไม่ยากเกินกว่าจะเข้าใจ และเหนือสิ่งอื่นใด คือเกมนี้แทบจะ ‘ไร้พิษภัย’ และ ‘ไร้ความรุนแรง’ อย่างสิ้นเชิง ซึ่งสวนทางอย่างยิ่งกับแนวคิดหลักๆ ของแวดวงในเวลานั้นที่เรทติ้งต่ำกว่า M คือสิ่งที่รับไม่ได้ในมุมมองของผู้จัดจำหน่ายและนายทุนเจ้าของเงิน
ทั้งหมดนี้ ทำให้ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่ามันคงจะดีไม่น้อยถ้า Beyond Good & Evil ได้กลับมาโลดแล่นอีกครั้งในยุคสมัยใหม่แห่งวิดีโอเกมส์ที่กำลังจะมาถึง ที่ความเปิดกว้าง หนทาง และกลุ่มตลาดมีความหลากหลายไม่จำกัดจำเขี่ยดังเช่นในจังหวะที่ภาคแรกได้วางจำหน่ายไปเมื่อสิบปีที่แล้วน่ะครับ
ความเป็นไปได้: อัพเดตล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคมปีก่อนบอกว่าตัวเกมเข้าสู่ช่วงเริ่มพัฒนาเพื่อวางจำหน่ายใน Next-Gen Console และตัวเกมภาคต่อได้เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยเพราะฉะนั้นเป็นไปได้สูงมาก
6. Manman02 กับ Back to the Future : The Game
ตัวผมเองเป็นแฟนตัวยงของ Back to the Future อยู่แล้ว ผมขอสารภาพ ณ จุดนี้เลยว่าผมเคยดู BttF แบบมาราธอนวน 3 ภาควันนึงเต็มๆไม่มีหยุดพักเลย(คอมพ์แทบพังอ่ะครับ)ซึ่งการที่ผมได้สัมผัสกับเกมที่เรียกได้ว่าเป็น”ภาคต่อ”อย่างแท้จริงของ BttF นั้นก็นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยเติมเต็มชีวิตของผมได้ แล้วยิ่งการที่หมอบราวน์ได้ Christopher Lloyd ซึ่งก็แสดงในบทเดียวกันในหนังไตรภาคมาให้เสียงพากย์ก็ยิ่งเติมเต็มเข้าไปใหญ่ ผมตัดสินใจเล่นเกมทั้ง 5 EP จบภายในเวลาหนึ่งอาทิตย์ และเล่นต่อรอบสองแบบรวดเดียวจบไม่มีพัก พร้อมกับต่อด้วยรอบที่สามทันที แต่สิ่งหนึ่งที่ผมต้องการที่สุดคือ ผมอยากเห็น”ภาคต่อ”ของมันอีก เพราะใน OUTATIME ซึ่งเป็น EP สุดท้ายของเกมนั้นได้ขึ้นไว้ช่วงท้ายว่า To be Continued แสดงว่ามันจะต้องมีอีก การผจญภัยของ Marty McFly ไม่ได้จบลงแค่นี้อย่างแน่นอน มันจะต้องมีต่อ และนั่นก็ทำให้ผมเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อเรื่อยมา…
ความเป็นไปได้: Telltale Games ยังคงหากินกับ The Walking Dead Season Two อาจจะต้องรอจนหน้าเหี่ยวเลยก็เป็นได้
7. โจรปล้นใจ กับ Fallout Series
ถ้านับซีรีย์เกมที่ผมชอบที่สุดในชีวิตแล้ว นอกจาก Grand Theft Auto กับ King of Fighter ที่ผมตั้งหน้าตั้งตารอ ก็มี Fallout นี่แหละที่อยากเห็นภาคต่อมากที่สุด แม้จะรู้อยู่แล้วว่ามันมีชัวร์ๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่อยากจะรู้ข้อมูลก่อนชาวบ้านเขาอยู่ดี
ความเป็นไปได้: Erik Todd เจ้าของเสียงพากษ์ Three Dogs ใน Fallout 3 แง้มในทวิตเตอร์ไว้แต่ไม่แน่ชัดว่าจะใช่ Fallout 4 หรือไม่อย่างไร
8. Torshop กับ Dune
ผ่านร้อนผ่านหนาวมากับวงการเกมก็หลายปีดีดัก เหล่าเกมวางแผนทั้งดีและเกือบดีก็ผ่านมือมามิใช่น้อย แต่สิ่งที่อยู่ในความทรงจำนั้นกลับเป็นเกมวางแผนเกมแรกที่ได้เล่นนั่นก็คือ Dune II เกมวางแผนที่อ้างอิงรายละเอียดต่างๆ จากนิยายวิทยาศาสตร์ของ Frank Herbert นักเขียนชื่อดัง โดยตัวเกมนั้นนำเสนอการรบพุ่งแย่งชิงพื้นที่บนดาว Arrakis เพื่อสิ่งที่เรียกว่า Spice โดยเจ้าตัวเครื่องเทศนี้หากเสพไปนานๆ เข้าจะช่วยเพิ่มความสามารถทางพลังจิตได้สุดๆ จนถึงขนาดที่ว่าสามารถหาพิกัดจั๊มที่ปลอดภัยให้กับยานอวกาศที่ต้องการสัญจรไปมาตามจุดต่างๆของจักรวาลได้เลยเชียว (Sci-fi สุดๆ) ซึ่งในยุคนั้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีเกมวางแผนใดจะเอามาเปรียบได้เลย จนมาถึงช่วงเวลาปัจจุบันก็ได้มีการ Remake ออกมาถึง 2 ครั้ง นั่นก็คือ Dune 2000 ที่เหมือนเอา C&C ภาคแรกมาใส่สิ่งก่อสร้างและยูนิตในจักรวาลของ Dune จากนั้นก็ปรุงรสนิดหน่อยด้วยวีดีโอคั่นฉากที่ใช้คนแสดงตามสไตล์ Westwood ซึ่งขอบอกเลยว่าไม่ประสบความสำเร็จอย่างรุนแรง จนกระทั่งช่วงปี ค.ศ. 2001 ที่ Emperor : Battle for Dune ได้ออกมาให้ยลโฉมกันซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จอยู่พอสมควร เนื่องด้วยกราฟฟิกที่ทันสมัย ระบบการเล่นที่เข้าถึงได้ง่าย ทำให้ตัวเกมได้รับคำชมจากหลากหลายสำนัก แต่ใครจะไปคิดล่ะ ว่านั่นดันเป็นภาคสุดท้ายของมันเพราะเนื่องด้วยในปัจจุบัน ค่าย Westwood ก็ได้ล่มสลายขายกิจการให้ EA เป็นที่เรียบร้อย ลิขสิทธิ์ของตัวเกม Dune ก็กลับสู่อ้อมอกของครอบครัว Frank Herbert ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายที่ไม่ได้พ่วงไปกับลิขสิทธิ์ C&C ให้ EA เอาไปยำเล่น ท้ายที่สุดนี้ ก็ได้แต่เพียงหวังว่าจะมีผู้ผลิตเกมที่มือถึงซักจ้าว นำซีรี่ย์ Dune ให้กลับมาโลดแล่นในวงการเกมได้อีกซักครั้งหนึ่งเถอะ
ความเป็นไปได้: เลิกหวังดีกว่ามั้ง…
9. XTER-VENDETTA กับ Battlefield 2142
ผมรักซีรีส์ Battlefield มาตลอด แม้จะไม่ได้มีโอกาสแตะภาคต้นตำรับ อย่าง Battlefield 1942 และภาคเสริมต่างๆ ของมันก็ตาม แต่หลังจากที่ผมเหนื่อยหน่ายกับยุคของ Counter-Strike และสนุกกับเพื่อนๆ เป็นบางครั้งบางคราวตามร้านเกม ใน Half-Life: Deathmatch ผมได้มีโอกาสแตะเกม เกมหนึ่ง ที่มีชื่อว่า ‘ Battlefield 2 ‘ ความรู้สึกที่ได้ มันเปรียบเสมือน ผมได้เห็นแสงธรรมส่องลงมาจากยอดขุนเขาพระศิวะ ทอดยาวผ่านบันไดเจ็ดพันขั้น ให้ผมเดินขึ้นไปหา (เว่อร์ Shipหาย lol)
แต่แล้วในเวลา 1 ปี หลังจากที่ Battlefield 2 และภาคเสริมออกวางจำหน่ายทุกตัว DICE ก็ได้ประกาศภาคใหม่ของ Battlefield ออกมาทันที ในชื่อ ‘ Battlefield 2142 ‘ เปลี่ยนภาพลักษณ์ของสมรภูมิ ไปสู่โลกอนาคต ที่เป็นช่วงเวลาของภาวะโลกร้อนอย่างคับขัน น้ำแข็งในขั้วโลกละลายลงมาปกคลุมในหลายๆ ประเทศ 2 ขั้วอำนาจโลก จึงเปิดศึกกัน เพื่อการแย่งดินแดนที่ยังอบอุ่น โดยตัวเกมได้นำเสนอรูปแบบคลาสใหม่ ที่จากเดิมใน Battlefield 2 มีถึง 7 คลาส ให้เหลือเพียง 4 คลาส แต่ใน 4 คลาสนี้ ผู้เล่นสามารถเลือกที่จะปรับแต่ง ให้ตัวผู้เล่นมีความชำนาญได้อีก 2 สาขา นั่นก็คือ ผู้เล่นจะสามารถแตกแขนงคลาสออกมาได้ถึง 8 คลาส รวมทั้งการสู้รบด้วยยานพาหนะแบบใหม่ ที่เป็นหุ่นยนต์ยักษ์ 2 ขา สูง 15 ฟุต สร้างความฮือฮาให้กับแฟนๆ Battlefield เป็นอย่างมาก และไม้เด็ดที่สุด คือโหมดการเล่นใหม่ ที่เรียกว่า ‘ Titan ‘ โดยยานรบ Titan จะเป็นป้อมปราการลอยฟ้า ที่ผู้บัญชาการ สามารถสั่งให้มันเคลื่อนที่ไปที่ใดก็ได้ในแผนที่ เพื่อปูพรหมถล่มกระสุนใส่ศัตรูเบื้องล่าง และเป็นจุดเกิดของทหารราบให้ได้ขึ้นกระสวยขนาดเล็กแล้วดีดตัวออกมาอย่างงดงาม เหาะเหินลงสู่พื้นสมรภูมิ เมื่อการยึดฐานปล่อยจรวดด้านล่าง สามารถทำลายเกราะของ Titan ศัตรูได้สำเร็จ เหล่าทหารราบก็สามารถดีดตัวขึ้นไป บุกถล่มยาน Titan ศัตรูจากข้างใน เกมการเล่นเปลี่ยนเป็นฉากต่อสู้ระยะประชิดภายในอาคารทันที โดยเหล่าศัตรูก็พร้อมที่จะประดังประเด ห่ากระสุนมาตามทางเดินแคบ ซึ่งต้องใช้พลังของทีมเวิร์คอย่างสูง ในการเจาะทะลวงการป้องกัน เพื่อเข้าสู่แกนกลางของตัวยาน และทำลายมันทิ้ง ซึ่งในขณะเดียวกัน ก็ต้องป้องกันยาน Titan ของฝ่ายเราเองไม่ให้ถูกทำลายเช่นกัน
ระทึกสุดขีด ยิ่งใหญ่สุดขั้ว ช่วงเวลากว่า 800 ชั่วโมงใน Battlefield 2142 เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่น่าจดจำในชีวิตการเล่นเกมของผม ถึงแม้ภาคต่อๆ มา อย่าง Battlefield: Bad Company 2, Battlefield 3 ก็ทำให้ผมประทับใจบ้าง แต่ความประทับใจที่สุดในซีรีส์นี้ ต้องยกให้ภาค Battlefield 2142 ภาคเดียว และเป็นที่น่าเสียดายมากๆ ที่ทาง DICE ได้ละทิ้งสมรภูมิโลกอนาคตไปแล้วกว่า 7 ปี ทั้งโลกเกมที่มีเอกลักษณ์ ทั้งแนวคิดต่อเกมการเล่น ยังคงเป็นอะไรที่น่าสานต่อมากๆ ยิ่งถ้าถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี Frostbite 3 ก็น่าจะเดากันได้แล้วว่า มันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน แม้เราจะได้เห็นภาพ Easter Egg ที่ออกมายั่วให้อยาก แล้วจากไป ใน DLC Battlefield 3: End Game แต่ผมก็ยังคงคาดหวังจะได้เห็นการสานต่อ Battlefield 2142 อยู่เหมือนเดิม
ความเป็นไปได้: DICE ไม่น่าปล่อยให้ภาคต่อของเกมระดับตำนานนี้จางหายไป แต่ทำไงได้ในเมื่อ Asset ในมืออย่าง Battlefield ซีรี่ย์หลักและ Bad Company นั้นน่าจะทำเงินได้มากกว่าซึ่ง EA ก็คงจะคิดแบบเดียวกัน