“อำนาจเปลี่ยนทุกสิ่ง” คือคำโปรยของเกม Call of Duty ภาค Advanced Warfare แต่อะไรแฝงอยู่หลังประโยคและเนื้อหาดังกล่าวของเกม วันนี้ GamingDose พาไปเจาะลึกล้วงกันสุดแก่นของเนื้อหาภาคนี้กัน
**คำเตือนบทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของโหมดเนื้อเรื่องหลักของตัวเกม Call of Duty: Advanced Warfare**
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยควันจากระเบิดและเปลวเพลิง เสียงจากปืนไรเฟิลในมือของเหล่าทหารและปืนใหญ่ต่อต้านอากาศยานดังระงม แสงไฟจากหลอดป้ายโฆษณาร้านค้ายังคงส่องสว่าง สวนทางกับสภาพตึกและถนนที่ถูกทำลายจากการสู้รบ เสียงรายงานจากหน่วยดังผ่านวิทยุถึงกองกำลังของข้าศึกและหุ่นโดรนที่กำลังเคลื่อนที่เข้าใกล้ตำแหน่งของ Mitchell ตัวเอกของเกม
นี่คือช่วงเวลาในศตวรรศที่ 21 ในปี 2054 หรืออีกกว่า 40 ปีนับจากโลกที่เรารู้จักในปัจจุบัน และประเทศอเมริกาก็ยังคงพาตัวเองเข้าสู่การสู้รบในผืนแผ่นดินของประเทศอื่น ใน “สงคราม” ของคนอื่นไม่แตกต่างจากโลกที่เราคุ้นเคยกันดีในความเป็นจริงและในช่วงเวลาปัจจุบัน นี่คือภารกิจเปิดตัว Call of Duty: Advanced Warfare ภาคใหม่ที่พาเราไปสู่ยุคสมัยใหม่ของสงครามและการสู้รบ และหากมองให้ลึกลงไปแล้ว Advanced Warfare เป็นมากกว่าแค่เกมธรรมดา มันคือจดหมายที่ถูกส่งมอบให้กับคนยุคปัจจุบัน จดหมายที่มีเนื้อหาว่าด้วยเรื่องของการเมือง อำนาจ ประชาธิปไตย และสงครามที่ไม่เคยจบสิ้น…
Advanced Warfare พาเราไปรับบทพลทหาร Mitchell ที่เข้าร่วมกองทัพสหรัฐพร้อมกับเพื่อนสนิท Will สองวัยรุ่นเข้าร่วมกับกองทัพด้วยใจหึกเหิมพร้อมความฝันในการได้รับใช้ชาติที่ตนรักและเชื่อมั่นอย่างสุดหัวใจว่าสิ่งที่ตนทำและสงครามที่ตนเองรบคือความถูกต้อง แน่นอนว่าสหรัฐช่วยเหลือเกาหลีใต้ต้านการบุกของทัพเกาหลีเหนือด้วยสำเร็จ การรบจบลงด้วยชัยชนะแลกกับชีวิตทหารของกองทัพสหรัฐ 6 พันนาย สงครามมาพร้อมกับความสูญเสีย Mitchell เสียแขนซ้าย ส่วน Will เสียชีวิตลงในการต่อสู้
ชั้นอยากรับใช้ชาติไม่ใช่พ่อตัวเองวะ
– Will Irons
และในงานศพของ Will เราก็ได้พบกับ Jonathan Irons ประธานบริษัททหารรับจ้าง Atlas บริษัทมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ ผู้เป็นพ่อของ Will หลังงานศพ Jonathan เอ่ยปากชวน Mitchell ให้มาทำงานให้กับ Atlas พร้อมข้อเสนอในการมอบแขนเทียมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดให้
Mitchell รับข้อเสนอและโอกาสดังกล่าวทันที (น่าสนใจที่ตัวเกมตัดฉากระหว่าง Mitchell ยืนมองนามบัตรมาเป็น Mitchell ทำงานให้กับ Atlas แล้วภายในพริบตาเดียว) ในฐานะทหารผ่านศึกที่พิการ Mitchell สูญเสีย “อำนาจ” ไป และก็เป็น Jonathan ผู้มีอำนาจล้นฟ้าที่หยิบยื่นโอกาสที่สองพร้อมกับแบ่งปัน “อำนาจ” ให้กับ Mitchell ในรูปแบบของแขนเทียมดังกล่าว แน่นอนว่าในช่วงแรก Mitchell พยายามเต็มที่ในการที่จะพิสูจน์ตนเองและตอบแทน Jonathan
และครึ่งแรกของเกมเราก็จะกลับเข้าสู่วังวนของ Call of Duty ที่คุ้นเคย ภายใต้ชื่อของ Atlas Mitchell ออกทำภารกิจต่างๆตามที่ได้รับคำสั่ง สู้กับผู้ก่อการร้าย ช่วยเหลือตัวประกัน เราสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมกับชุดสูท Exo และเทคโนโลยีพร้อมกำลังทหารของ Atlas ที่หนุนหลังเราอยู่ “อำนาจ” คือสิ่งที่เรารู้สึกตลอดเวลา และอำนาจดังกล่าวก็กำลังจะหายไป…
กลุ่ม KVA ก่อการร้ายครั้งใหญ่ได้สำเร็จ เราไร้อำนาจครั้งแรกเมื่อไม่สามารถหยุดยั้งการโจมตีดังกล่าวได้ทัน หน้าจอกลายเป็นสีดำและโหลดฉากใหม่และเวลาก็ผ่านไป 4 ปี โลกถึงการเปลี่ยนแปลงเมื่อเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทั่วโลกที่โจมตีและทำลาย Atlas ก้าวขึ้นมามีบทบาทในทุกพื้นที่ทั่วโลกในการดูแลรักษาความปลอดภัย และช่วยเหลือประชากรในพื้นที่ต่างๆ Jonathan ขึ้นมาเป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดบนโลกใบนี้ เค้ากุมอำนาจเบ็ดเสร็จของกองกำลังทหารและเงินทุนกลุ่มใหญ่ที่สุดบนโลก
เมื่อเบาะแสสำคัญถึงที่อยู่ของ Hades หัวหน้ากลุ่ม KVA ถูกค้นพบปฎิบัติการโจมตีเพื่อสังหาร Hades ถูกเริ่มต้น แต่ปฎิบัติการทหารบนแผ่นดินของประเทศกรีซถือเป็นสิ่งที่กองทัพไม่สามารถอนุญาตให้เกิดขึ้นได้และเมื่อนายพลเอ่ยปากถามกับ Jonathan ว่าการปฎิบัติการโจมตีครั้งนี้ ใครเป็นผู้ยินยอมมีอำนาจสั่งการ?
ด้วยอำนาจของกูเองนี่แหละ
– Jonathan Irons
เราถูกย้ำอีกครั้งว่า Jonathan คือผู้ถือไพ่สูงสุด ด้วยอำนาจที่เค้ามีระเบียนแบบแผนเดิม รัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตย หรืออำนาจใดๆก็ไร้ความหมาย นี่คือการปกครองแบบเผด็จการสูงสุดและในชั่วขณะหนึ่ง Mitchell และผู้เล่นก็ดูจะรู้เห็นเป็นใจเห็นด้วยกับอำนาจและการตัดสินใจดังกล่าว เราเชื่อมั่นว่า Jonathan ทำในสิ่งที่ถูกต้อง Hades ต้องชดใช้ในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีก่อน และมีเพียงอำนาจของ Jonathan และ Atlas เท่านั้นที่จะทำให้เป้าหมายดังกล่าวเป็นจริง
เราไม่รู้ว่าในใจลึกๆแล้ว Mitchell เห็นด้วยกับอำนาจดังกล่าวมากน้อยแค่ไหน แต่นี่เป็นสิ่งที่เราพบเห็นได้ในสังคมทั่วไป เราคุ้นเคยกันดีกับการก้มหน้ายอมรับอำนาจสูงสุดที่อยู่เหนือกว่าเราพร้อมปลอบใจตัวเองว่า “เขาทำในสิ่งที่จำเป็น” หรือ “ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้” ภายใต้เป้าหมายที่เราเห็นดีเห็นงาม สุดท้ายผลลัพธ์ย่อมสำคัญกว่าวิธีการ The end justifies the means.
หนึ่งในบทพูดที่น่าสนใจที่สุดของ Jonathan กลับเป็นคำพูดของเขาที่มาจาก Trailer (และไม่มีในเกม) ที่เน้นย้ำว่าในมุมมองของเขานั้นประชาธิปไตยและเสรีภาพหาใช่สิ่งสำคัญ
“ผู้คนไม่ได้ต้องการประชาธิปไตย …พวกเขาต้องการขอบเขต , กฏและการป้องกันเพื่อปกป้องตัวเองจากผู้บุกรุกและพวกเดียวกันเอง”
– Jonathan Iron
Mitchell และหน่วยบุกเข้าไปในกรีซและสังหาร Hades ลงได้สำเร็จและก็เหมือนกับที่ทุกคนเดาได้กันตั้งแต่ต้น ความจริงเบื้องหลังมันไม่สวยงามอย่างที่คาดไว้เมื่อมีหลักฐานมัดตัวว่า Jonathan รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ จะถูกโจมตีแต่เขากลับไม่หยุดยั้งมัน เพราะ Jonathan มองเห็นว่านี่คือโอกาศสำคัญที่จะทำให้ความฝันของเขาเป็นจริง ความฝันในการสร้างโลกที่มีรัฐบาลเดียว กองทัพเดียว โดยมีเขาเป็นผู้นำสูงสุด
Kevin Spacey เล่นบท Jonathan Irons ได้อย่างยอดเยี่ยม เราจะได้รับรู้ว่าทุกอย่างที่เขาทำไปเพราะเขาเชื่อมั่นในโลกใบใหม่ที่ดีกว่า โลกที่ไร้ซึ่งสงครามและการสู้รบ โลกที่ไม่ต้องมีทหารมาเสียสละชีวิตในสงครามที่ไร้ความหมาย ทหารผู้เชื่อมั่นในประเทศและรัฐบาลของตนเองอย่างสุดหัวใจอย่าง Will ลูกชายคนเดียวของเขา
Advanced Warfare ดำเนินเรื่องในปี 2054 และ Jonathan ก็พูดถึงความทรงจำในวัยเด็ก ที่สหรัฐส่งทหารเข้าไปสู้รบในอิรัก Jonathan เบื่อและสะอิดสะเอียนกับสงครามเหล่านี้ เป้าหมายของเขาไม่ใช่เงิน อำนาจ การล้างแค้น หรือเพื่อทำลายรัฐหรือเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่ง แต่เพื่อหยุดยั้งสงครามที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยไม่สนว่าต้องแลกมาด้วยอะไรในปัจจุบัน
เนื้อเรื่องในเกมคือปี 2054 และ Jonathan ก็อยู่ในวัยกลางคนภายในเกม เขาเป็นมหาเศรษฐีที่สร้างตัวมาจากยุคก่อน ทำให้ Jonathan ก็คือ “พวกเรา” เหล่าวัยรุ่นทุกคนที่กำลังใช้ชีวิตอยู่ในช่วงปี 2014 วัยรุ่นและเด็กที่น่าจะได้เล่น Call of Duty กันมาทุกภาคและผ่านสงครามและการสู้รบมากมายที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังจะเกิดขึ้นอีกใน 40 ปีข้างหน้า ความขัดแย้งเป็นสิ่งที่พวกเราเห็นจนชินชา
Jonathan เป็นตัวร้ายที่น่าสนใจแนวความคิดและเป้าหมายของเขาเป็นสิ่งที่ “เป็นไปได้” ลองถามตัวเองว่าหากคุณมีอำนาจและสามารถหยุดยั้งสงครามบนโลกใบนี้ได้ตลอดกาล คุณจะทำมันรึเปล่า และราคาที่คุณยอมจ่ายนั้นมากขนาดไหน ? แต่สำหรับ Jonathan Irons แล้วเขายอมจ่ายไม่อั้นเพื่อเป้าหมายที่เขาเชื่อสุดหัวใจ
เรากลับไปยัง Mitchell ที่ซึ่งครึ่งหลังของเกมคุณจะรู้สึกถึงความไร้อำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ หลายต่อหลายฉากที่ Mitchell และผู้เล่นได้แต่ทำตามคำสั่งเช่นเดิม พร้อมกับล้มเหลวในภารกิจที่จะหยุดยั้ง Jonathan เราทำได้เพียงนั่งมองความโหดร้ายของสิ่งที่ Jonathan ทำเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย และตัว Mitchell เองก็ถือว่าเป็น “ชนชั้นธรรมดา” ในสงครามครั้งนี้ หลายต่อหลายครั้งเขาต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นอย่าง Cormack หรือ Gideon หลายต่อหลายครั้งที่ Mitchell แทบเอาชีวิตไม่รอดจากการต่อสู้
และตัวเกมก็มาถึงช่วงท้ายเมื่อ Mitchell และคนอื่นๆโดนจับแขนเทียมของเขาถูกทุบจนไร้ประโยชน์ ตัวเขาและเพื่อนถูกจับกุม Jonathan ปรากฎตัวพร้อมความมุ่งมั่นตั้งใจแน่วแน่ไม่เปลี่ยนแปลงเช่นเคย “ลูกของแกตายในขณะสู้ในสิ่งที่เค้าเชื่อ” Cormack ก่นด่าสาปแช่ง Jonathan
ตายเพื่อสิ่งที่เชื่อก็ไม่ได้หมายว่ามันจะเป็นความจริง
– Jonathan
Mitchell หลบหนีออกมาได้ (โดยเป็น Gideon ที่ช่วยเหลือเขาออกมา) ก่อนที่ตัวเกมจะพาเราเข้าสู่บทสุดท้ายและฉากสุดท้ายที่ Mitchell และ Jonathan เผชิญหน้ากันลำพังบนยอดตึก
แรงระเบิดผลักให้ Jonathan กระเด็นตกลงแต่เขาคว้าแขนเทียมของ Mitchell เอาไว้พร้อมออกคำสั่งให้ Mitchell ดึงเขาขึ้นไปเพราะตัวเขาจะไม่ยอมปล่อยมือและหาก Mitchell ดึงเขาขึ้นไปช้าทั้งคู่ก็จะต้องจบชีวิตพร้อมกัน ฉากนี้สะท้อนอะไรหลายๆอย่าง “แขนเทียม” ซึ่งคืออำนาจที่ Jonathan แบ่งปันให้กับ Mitchell กลับกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่ยึดยื่้อชีวิตของผู้มีอำนาจสูงสุดตลอดมาอย่าง Jonathan เอาไว้ ตลอดฉากเราจะได้ยิน Jonathan ตะโกนทวงบุญคุณทั้งหมดที่เขาเคยมอบให้กับ Mitchell โอกาสที่สองและอำนาจที่เขาเคยหยิบยื่นให้กับ Mitchell กลายเป็นความหวังเดียวที่เขาจะรอดชีวิตต่อไป
สิ่งที่ Mitchell ตัดสินใจทำคือการตัดแขนเทียมของตนเองทิ้ง บ่งบอกเป็นนัยๆว่าการเอาชนะอำนาจที่เหนือกว่าที่ปกครองเรามาโดยตลอดอาจต้องทำโดยการทำลาย “อำนาจ” ที่เราถูกแบ่งให้มาเสียก่อน Mitchell ใช้แขนขวาตัดแขนซ้าย ใช้พลังของตนเองทำลายของที่ยืมมาเพื่อลุกขึ้นต่อต้านอำนาจสูงสุด คล้ายจะบอกกับเราว่าการปลดปล่อยตัวเองเราต้องทำด้วยตนเอง และพลังที่แท้จริงนั้นอยู่กับเรามาโดยตลอดนั่นเอง
Only the dead have seen the end of war.
— Mitchell