BY Nuttawut Apiratwarakul
16 Aug 22 2:53 pm

Alone in the Dark ต้นตำรับเกมสยองขวัญเอาตัวรอด ผู้แผ้วถางทางเดินให้เกมสมัยใหม่ตามรอย

220 Views

ถ้าพูดถึงเกมสยองขวัญเอาตัวรอดในทุกวันนี้ หลายคนก็คงจะนึกไปถึงชื่อเกมดังยอดฮิตอย่าง Resident Evil หรือไม่ก็เกมเก่าที่หลายคนยังรอคอยให้ถูกนำกลับมาสานต่ออย่าง Silent Hill ไม่ก็ Dead Space แต่รู้หรือไม่ว่าก่อนการมาถึงของเกมชื่อดังเหล่านี้ มีหนึ่งผลงานเกมที่เป็นผู้บุกเบิกเกมแนว Survival Horror เป็นเกมต้นฉบับผู้มาก่อนกาลและสร้างแนวทางให้เกมรุ่นหลังเอาไว้มากมาย ผลงานดังกล่าวก็คือเกมที่มีชื่อว่า Alone in the Dark นี่เอง

 

Alone in the Dark เป็นผลงานเกมจากปี 1992 โดยตัวเกมถูกออกแบบโดย Frédérick Raynal นักออกแบบเกมชาวฝรั่งเศส ตัวเกมจัดจำหน่ายและพัฒนาโดยค่าย Infogrames บนเครื่อง PC ในระบบ MS-DOS 

เนื้อหาของเกมบอกเล่าเรื่องราวลี้ลับที่เกิดขึ้นในปี 1924 หลัง Jeremy Hartwood ศิลปินชื่อดังได้ทำการแขวนคอตัวเองตายในคฤหาสน์ของตัวเอง ถึงการตายของ Jeremy จะดูน่าสงสัยแต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีใครแปลกใจ เพราะ Jeremy บอกคนอื่นว่าตนเองถูกไล่ล่าโดยปีศาจอยู่เสมอ คนรอบตัวก็คิดว่า Jeremy น่าจะมีอาการทางจิตและสุดท้ายก็ตัดสินใจฆ่าตัวตาย

Maxresdefault (1)

ตัวเกมเปิดโอกาสให้เราเลือกรับบทเป็นตัวละคร 2 ตัว โดยผู้เล่นสามารถเลือกเล่นเป็น Edward Carnby นักสืบเอกชนที่ถูกส่งเข้าไปในคฤหาสน์เพื่อตามหาเปียโนที่ถูกเก็บไว้ภายในตามคำสั่งของพ่อค้าของเก่า หรือเลือกเล่นเป็น Emily Hartwood หลานสาวของ Jeremy ผู้มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์เพื่อตามหาเปียโนเช่นกันเพราะเธอเชื่อว่าภายในเปียโนมีจดหมายบันทึกของ Jeremy ซึ่งจะเปิดเผยเรื่องราวเบื้องหลังการตายของเขาถูกเก็บไว้

เมื่อตัวเอกของเราเดินทางเข้าไปในคฤหาสน์ประตูก็ถูกปิดลง (ดูเป็นมุกที่เกมเมอร์คงคุ้นเคยกันสุด ๆ)  ก่อนจะถูกโจมตีไล่ล่าโดยปีศาจและต้องเอาตัวรอดจากสารพัดกับดักและอุปสรรค พอเล่าแบบนี้ทุกคนก็คงจะพอมองเห็นภาพว่าตัวเกม Alone in the Dark ทำไมถึงถูกยกให้เป็นเกมสยองขวัญเอาตัวรอด หรือเกม Survival Horror เกมแรกของโลก 

ในด้านของระบบการเล่นนั้น Alone in the Dark ก็เรียกได้ว่ามีทุกอย่างที่เกม Survival Horror ควรจะมี ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับศัตรู (อาจจะตลกหน่อยหากเทียบกับเกมสมัยนี้ก็ตรงที่ว่าศัตรูพื้นฐานในเกมนี้โดนหมัด โดนเท้า ตัวละครเอกตายได้ด้วย) มีการใช้อาวุธ  มีการสำรวจตามหา Item การไขปริศนาเพื่อหาทางไปต่อหรือจัดการกับศัตรูบางตัว  มีการสำรวจเพื่อประติดประต่อเรื่องราวว่าเกิดอะไรขึ้นในคฤหาสน์แห่งนี้ก่อนที่ตัวเอกจะเดินทางมาถึง

อีกจุดที่ถือว่าเป็นต้นแบบให้เกมสยองขวัญเอาตัวรอดหลายเกมก็คือระบบการจัดการช่องเก็บของ เพราะตัวเกม Alone in the Dark มีระบบช่องเก็บของที่จำกัดมาก ๆ และของที่ผู้เล่นจะเก็บไว้กับตัวได้ก็ถูกกำหนดโดยน้ำหนักรวมที่แบกอยู่ ซึ่งผู้เล่นสามารถเลือกวาง Item ที่อาจจะยังไม่สำคัญในตอนนั้นทิ้งเอาไว้บนพื้นแล้วกลับมาเก็บทีหลังได้อีกด้วย ซึ่งเกมสมัยใหม่หลาย ๆ เกมก็ไม่เปิดโอกาสให้เราวาง Item ทิ้งไว้แล้วกับมาเก็บด้วยซ้ำ 

ความเหนือล้ำของ Alone in the Dark ที่มาก่อนกาลในเกมผจญภัยของยุคเดียวกันก็คือการเปิดกว้างในการสำรวจ ในช่วงกลางของเกมนั้นผู้เล่นสามารถออกสำรวจพื้นที่ในคฤหาสน์ได้ตามใจ แตกต่างจากเกมผจญภัยยุคก่อนที่มักมีการดำเนินเนื้อหาแบบเส้นตรง บีบบังคับให้ผู้เล่นต้องไขปริศนาไปตามลำดับ 

ในแง่ของความตื่นเต้นด้านระบบการเล่นนั้น นอกจากการต่อสู้และการหลบหลีกเหล่าปีศาจในเกมแล้ว จุดที่ทำให้ Alone in the Dark น่ากลัวและตื่นเต้นขึ้นไปอีกก็คือการทำตัวละครของเรา “พร้อม” ตายได้ทุกเมื่อ จุดนี้สำหรับผู้เล่นบางคนอาจฟังดูน่ารำคาญ และบางฉากพอหยิบมาดูในทุกวันนี้ก็อาจจะดูตลก แต่ในยุคนั้นการที่ตัวเกมพร้อมสังหารเราทุกเมื่อโดยไม่มีคำเตือนก็ทำให้ Alone in the Dark มีความน่ากลัวไปอีกขั้น 

ตัวอย่างการตายเหล่านี้ก็มีทั้ง เดิน ๆ อยู่แล้วพื้นถล่มตกไปตาย เดินไปโดนถังไม้กลิ้งมาทับ เปิดประตูไปเจอปีศาจ หรือมีแม้แต่กระทั่งหยิบหนังสือมาอ่านแล้วก็ตายไปเฉย ๆ เลยก็มี 

ตัวเกม Alone in the Dark นั้นประสบความสำเร็จอย่างสูงในยุคนั้น หลังวางจำหน่ายในปี 1992 พอถึงปี 2000 ตัวเกมก็ขายไปได้ถึง 2.5 ล้านชุด ถือเป็นตัวเลขที่สูงมากสำหรับเกมในช่วงเวลานั้น นอกจากความสำเร็จในด้านยอดขายแล้วตัวเกมก็ได้รับคำชื่นชมแบบถล่มทลายจากสื่อและผู้เล่น  

นักรีวิวในตอนนั้นยกให้นี่เป็นสุดยอดเกมสยองขวัญ ชื่นชมการออกแบบเกมโดยรวม การออกแบบเสียง ระบบการเล่น รวมไปจนถึงความเหนือล้ำที่ปล่อยให้ผู้เล่นออกสำรวจคฤหาสน์ได้ตามใจ พร้อมคว้ารางวัลมากมาย และในยุคหลัง ๆ มา Alone in the Dark ก็ถูกเชิดชูให้เป็นผลงานสำคัญและเป็นหนึ่งในเกมที่ทรงอิทธิพลต่อผลงานการออกแบบเกมในยุคหลังมากที่สุด 

ความสำคัญแบบยิ่งใหญ่ของ Alone in the Dark ก็ส่งให้ตัวเกมมีภาคต่อตามมาถึง 2 ภาค Alone in the Dark 2 วางจำหน่ายในปี 1993 และ Alone in the Dark 3 ซึ่งวางจำหน่ายในปี 1994  ซึ่งเนื้อหาภาคหลัง ๆ ก็เป็นการผจญภัยสืบสวนเรื่องราวลี้ลับของ Edward Carnby นักสืบตัวเอกของเกมภาคแรก และทั้งสองภาคก็ได้รับการตอบรับในแง่บวก 

 

จนกระทั่งในปี 2001 ชื่อของ Alone in the Dark ก็ถูกหยิบจับกลับมาปัดฝุ่น Reboot ใหม่เป็นครั้งแรกในผลงานการพัฒนาของทีม Darkworks (ซึ่งผลงานที่โด่งดังที่สุดของพวกเขาก็น่าจะเป็นเกม Cold Fear ที่จะวางจำหน่ายในภายหลังตอนปี 2005) ในผลงานที่มีชื่อว่า Alone in the Dark: The New Nightmare เนื้อหาของเกมก็เป็นการสืบหาเบื้องหลังการตายของเพื่อนสนิทของตัวเอกอย่างนักสืบ Edward Carnby ซึ่งตัวเกมก็ยังคงโทนแนวการต่อสู้กับปีศาจและภัยลี้ลับในเงามืดเช่นเดิม 

Alone in the Dark: The New Nightmare ได้รับการตอบรับในแง่บวก ถึงแม้จะไม่ได้ปฏิวัติวงการหรือถูกยกให้เป็นเกมยอดเยี่ยมแห่งยุค แต่ตัวเกมก็มีระบบที่น่าสนใจ เช่นตัวละครเอกสองคนที่มีสไตล์การเล่นที่ต่างกัน การใช้แสงเงาผ่านไฟฉายในการเล่นกับความมืดได้ยอดเยี่ยม  

Ss 6417e0b825f707980068dc9226db51c79998be5c.1920x1080

Alone in the Dark: The New Nightmare ยังถูกหยิบไปพัฒนาเป็นภาพยนตร์ ซึ่งแทบจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยระหว่างเกมกับหนังนอกจากชื่อ Alone in the Dark โดยตัวหนังก็ถูกกำกับโดย  Uwe Boll ผู้กำกับ “ชื่อเสีย” สุดโด่งดังประจำวงการเกม  ตัวหนังใช้ทุนสร้างไป 20 ล้านเหรียญและทำเงินได้แค่ 12 ล้าน คว้าคะแนนรีวิวเรทติ้ง 1% บน Rotten Tomatoes และถูก “ยกย่อง” ให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ห่วยแตกที่สุดบนโลกมนุษย์ 

หลังจากนั้นมา Alone in the Dark ก็ถูกนำกลับมา Reboot ใหม่อีกครั้งในปี 2008 โดยมีทีมงาน  Eden Games เป็นผู้พัฒนา เนื้อหาของเกมก็ยังเป็นเรื่องราวของนักสืบ Edward Carnby ที่คราวนี้ความจำเสื่อมและต้องมาต่อสู้กับปีศาจเพื่อปกป้องโลก  

ตัวเกมมีระบบการเล่นที่ถือว่าล้ำยุคอยู่เหมือนกัน เช่นการหยิบจับวัตถุต่าง ๆ ได้อิสระ ใช้ในการต่อสู้หรือมีปฏิสัมพันธ์กับวัตถุอื่น ๆ ในฉาก หรือเปลวเพลิงหรือไฟในฉากก็ถูกสร้างขึ้นมาแบบ Real Time ทำให้วัตถุต่าง ๆ ในเกมติดไฟได้แบบสมจริง ผู้เล่นยังสามารถประกอบสิ่งของในฉากเข้าด้วยกันเพื่อสร้าง Item ใหม่ ๆ ขึ้นมา ระบบ Inventory ก็มีไอเดียที่น่าสนใจ อย่างการให้พระเอกของเราเปิดเสื้อ Jacket เพื่อเข้าถึง Item ต่าง ๆ 

ถึงจะดูล้ำ แต่ตัวเกมก็ได้รับคะแนนรีวิวในแง่ลบ และถูกติติงในหลายภาคส่วน ซึ่งปัญหาหลัก ๆ ของเกมก็คือสารพัดบัคและปัญหาด้านประสิทธิภาพ รวมไปจนถึงปัญหาด้านการออกแบบและระบบเกมโดยรวม

การที่ตัวเกมได้รับคะแนนรีวิวระดับต่ำเตี้ยยังไม่ซ้ำร้ายเท่ากับดราม่าที่ตามติดมา หลังค่าย Atari ผู้จัดจำหน่ายออกมายื่นฟ้องเว็บไซต์เกมหลายเว็บไซต์ในประเทศยุโรป กล่าวหาว่าที่พวกเขาให้คะแนนตัวเกมน้อยก็เป็นเพราะว่าเว็บเหล่านี้โหลดตัวเกมแบบเถื่อนมาเล่นเพราะไม่ได้รับตัวเกมแบบเป็นทางการสำหรับรีวิวจาก Atari 

ด้านเว็บเกมทั้งหมดก็ออกมาตอบโต้ว่าพวกเขาได้รับตัวเกมจาก Atari โดยตรง แต่หลังตัวรีวิวถูกตีพิมพ์ออกไป Atari กลับมาแจ้งว่าจะยินยอมให้เว็บไซต์ที่ให้คะแนนตัวเกมสูงเท่านั้นถึงจะเผยแพร่รีวิวได้

Atari ก็ออกมาบอกว่ารีวิวเหล่านี้ไม่ถูกจัดทำขึ้นโดยตรงมาตรฐานและเรียกร้องให้มีการลบรีวิวทั้งหมดทิ้ง ท้ายที่สุดเว็บไซต์ต่าง ๆ ก็ยืนยันที่จะเก็บรีวิวของตนเองเอาไว้ และเป็นฝ่าย Atari ที่ถอนการฟ้องร้องไปเงียบ ๆ 

และมาวันนี้ THQ NORDIC ก็เตรียมพาชื่อของ Alone in the Dark หวนคืนสู่วงการเกมอีกครั้ง ใน Alone in the Dark ฉบับ Reboot ใหม่อีกแล้ว จุดที่น่าสนใจคือการ Reboot รอบนี้จะหยิบเอาเนื้อหาของตัวเกมภาคต้นฉบับกลับมาทำใหม่ โดยจะเป็นเรื่องราวใหม่แต่อาศัยเค้าโครงเดิมของตัวเกมในภาคปี 1992 

ตัวเกมภาคใหม่ยังได้ Mikael Hedberg มารับหน้าที่เขียนบท โดยผลงานที่ผ่านมาของเขาก็คือเกม Amnesia: The Dark Descent และ SOMA นั่นเอง

Alone In The Dark Remake

สรุปได้ว่า Alone in the Dark คือเกมสยองขวัญเอาตัวรอดที่เคยเป็นต้นแบบให้เกมรุ่นน้องได้เดินตาม ระบบการต่อสู้ การสำรวจ การจัดการช่องเก็บของ การไขปริศนา ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ Alone in the Dark ภาคแรกได้วางรากฐานเอาไว้ และเกมดังในยุคสมัยใหม่ก็นำระบบต่าง ๆ ที่ว่ามาไปปรับปรุงให้ยอดเยี่ยมขึ้นกว่าเดิม และผสมกันออกมาเป็นสุดยอดเกมฮิตให้เราได้สนุกกัน

หวังว่าการกลับมาครั้งใหม่นี้จะทำได้สมศักดิ์ศรีชื่อ Alone in the Dark และส่งให้เกมตระกูลนี้ก้าวขึ้นมาอยู่ในแสงเคียงคู่เกมสยองขวัญเกมอื่น ๆ ในยุคปัจจุบัน ไม่ต้องโดนทิ้งไว้โดดเดี่ยวในความมืดเหมือนที่ผ่านมา

SHARE

Nuttawut Apiratwarakul

โน้ต - Co-Founder / Editor-in-chief

Back to top