ไม่ว่าผ่านไปกี่ปี เกมสยองขวัญก็มักจะเป็นเกมที่คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจอยู่เสมอ แม้จะมีจำนวนคนกล้าเล่นหรือเล่นจนจบได้นั้นจะไม่ได้มีมาก แต่ผู้ชมที่ดูการเล่นผ่านคลิปหรือ Live Stream นั้นสูงเกินเพดานเสมอ และเกมที่ทำให้เกิดกระแสชอบดูเกมผีกำเนิดขึ้นมาได้ก็คงหนีไม่พ้นตำนานที่มีชื่อว่า Amnesia The Dark Descent นี่เอง
สำหรับแฟนเกมสยองขวัญรุ่นใหม่ อาจจะคุ้นเคยกับชื่อของ Outlast มากกว่า เพราะมันใหม่กว่า มี YouTuber ชาวไทยอย่าง BRF หรือ HRK เอาไปเล่นจนขวัญผวาได้รับความสนใจมากมาย แต่สำหรับผู้เขียนเองที่สมัยก่อนนั้นกลัวผีจนหัวหด Resident Evil ก็เล่นไม่จบ(ไม่ได้กลัวจนเล่นไม่ไหว แต่เกลียดระบบ Tank Control) ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเกมเก่าอย่าง Clock Tower ที่เสียงน่ากลัวจนจอยหลุดมือหลายรอบเลิกเล่นไปเลย ก็ยังคงยกให้ Amnesia เป็นเกมที่น่าขวัญผวามากกว่า Outlast อยู่ดี
ทำไม? เรื่องนี้ต้องบอกว่ามันอยู่ที่ระบบการเล่นของเกมเป็นจุดเด่นนั่นเอง
เหตุการณ์ใน Amnesia The Dark Descent เกิดขึ้นในปี 1839 โดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นผู้ดำเนินเรื่องราว เขาตื่นขึ้นมาในปราสาทแห่งหนึ่งโดยจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร และมาที่นี่ได้อย่างไร สิ่งที่เขาจำได้เพียงอย่างเดียวคือเขาชื่อ Daniel และอาศัยอยู่ในเขต Mayfair ของกรุงลอนดอน เบาะแสเดียวที่เขามีคือข้อความที่เขาเขียนถึงตัวเองว่าเขาได้เลือกที่จะลบความทรงจำของตนเองทิ้ง และการถูกตามล่าโดย “เงา” ลึกลับที่เพียงแค่จ้องมองก็ทำให้เขาสติแตกได้
และการตามหาอดีตพร้อมกับหลบหนีสิ่งมีชีวิตลึกลับในปราสาทแห่งนี้ก็เริ่มขึ้น
ถ้าถามว่าจุดเด่นของ Amnesia The Dark Descent คืออะไร? สิ่งแรกที่ผู้เขียนคิดถึงก่อนเพื่อนเลยคือการแก้ปริศนาที่ทั้งระทึกและไม่ง่ายเลย เป็นการต่อยอดจากผลงานอย่าง Penumbra ขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด จากเดิมที่ตัวเกมมีความยากมากเกินไปเพราะระบบการต่อสู้ค่อยดีนัก ในเกมนี้เลยตัดระบบต่อสู้ออกไปเลย และให้ผู้เล่นต้องหลบหนีอุปสรรคเพียงอย่างเดียว
จุดที่ทำให้ผู้เล่นต้องคิดหนักมากขึ้นไม่ใช่แค่การหลบหนีผีเท่านั้น แต่มันยังเพิ่มระบบที่เรียกว่า Sanity เข้าไปในเกม กล่าวคือถ้าหากผู้เล่นเจอกับเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อความกลัวในจิตใจ ค่านี้จะเริ่มลดลง เช่นอยู่ในที่มืดนานเกินไป(เพราะตัวเอกเป็นโรคกลัวความมืด) หรือจ้องหน้าผีตรง ๆ ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เกมสมจริงมาก เพราะคงไม่มีคนสติดี ๆ คนไหนที่จะกล้าอยู่ในความมืดนาน ๆ และใจเด็ดพอที่จะจ้องหน้าผีตรง ๆ แบบในเกมอื่น
ซึ่งผลของการที่ค่า Sanity ลดจะทำให้ผู้เล่นเคลื่อนที่ช้าลง หรืออาจจะตายไปเลยในความยากระดับสูง ๆ การที่จะเอาค่านี้คืนมาก็ต้องไปยืนอยู่ในที่มีแสงสว่าง แต่ในระหว่างนั้นก็ต้องหลบหนีเหล่าผีคลั่งไปด้วยเพื่อไม่ให้สติแตกหรือโดนฆ่าไปเสียก่อน ซึ่งเราจำเป็นต้องหลบหนีพวกมันไปจนกว่าจะพ้นระยะสายตา ก่อนที่ต้องเดินทางไปแก้ปริศนาต่อไปด้วย
จุดยากสุดระทุกอีกอย่างก็คือผู้เล่นนั้นตัวเปราะมาก โดนผีตบแค่สองสามทีก็อาจจะต้องเริ่มใหม่ได้เลย และยาที่ใช้เพิ่มเลือดก็หายากมาก ที่สำคัญที่สุดคือเราไม่สามารถต่อกรกับผีได้เลย ต้องหนีเอาอย่างเดียว(เหมือนใน Clock tower หรือ Outlast ที่ทุกคนรู้จักกันนั่นแหละ) สิ่งที่เราทำได้ก็มีแค่ขัดขวางพวกมันด้วยการปิดประตูหรือช่องทางการเคลื่อนไหวของมัน แต่ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น
ด้วยความน่ากลัวแบบสุดขีดนี้ ทำให้กลุ่มคนเล่นเกมผีต่างชื่นชอบมันได้ไม่ยาก
แม้ยอดขายอาจจะไม่ได้สูงมากในวันแรกที่วางจำหน่าย แต่ตัวเกมก็ได้รับคำชมจากสื่อเกมอย่างท่วมท้น จนยอดขายดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ ซึ่งในปี 2011 นั้นตัวเกมทำยอดขายไปได้ 350,000 ชุดบน PC ซึ่งนับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว
ส่วนหนึ่งขอคลิปที่ PewDiePie เล่นเกมผี ซึ่งมี Amnesia อยู่ด้วย
และในยุคนั้นก็เป็นยุคที่แพลตฟอร์ม YouTube เริ่มได้รับความนิยม มีผู้ใช้งานโพสต์วิดีโอที่ตนเองเล่นเกมนี้ออกมาให้เราได้เห็นกันเรื่อย ๆ บางคนก็โด่งดังจนกลายเป็นตำนานอย่างเช่น PewDiePie ที่คนดูคลิปที่เขาเล่นเกมนี้เยอะมากกว่าสิบล้านครั้ง เพราะอยากเข้ามาดูเขาตกใจผีในเกมจนโด่งดังมาถึงตอนนี้ เรียกว่าถ้าไม่มี Amnesia เราก็อาจจะไม่ได้เห็น Pew ออกมาโลดแล่นเหมือนอย่างทุกวันนี้ก็ได้
ปัจจุบันนี้เราก็จะได้เห็นภาคต่อของเกมอย่างภาค Rebirth ที่ปรับโทนให้ดูเป็นยุคใหม่มากขั้น แต่ก็ยังคงมีระบบการเล่นที่ลุ้นระทึกไม่ต่างจากเดิม และได้รับชมจากสื่อเกมต่างๆ มากมายเช่นเคย ส่วนความนิยมของเกมนั้นจะยังคงที่หรือดีกว่าก็คงต้องรอดูกันไปก่อนสักระยะ
นับเป็นเรื่องดีที่ในยุคนี้เรามีเกมผีที่นำเสนอในรูปแบบใหม่มากขึ้นกว่าเดิม และไม่จำเป็นต้องเป็นแนว Survival Horror เพียงอย่างเดียว เกมที่นำเสนอความสยองแบบเพียว ๆ ในยุคนี้ก็สามารถสร้างที่ทางให้ตัวเองได้เช่นกัน ซึ่งก็ต้องขอบคุณ Amnesia ผู้เป็นหนึ่งในเกมที่จุดกระแสให้ตัวเกมเริ่มบูมขึ้นมาได้ และผู้เขียนเองก็เชื่อว่าเกมสยองขวัญแนวนี้จะมีมากกว่าเดิมอย่างแน่นอนครับ
