การเดินทางของ Assassin’s Creed จากอดีตถึงปัจจุบัน
หลังจาก Assassin’s creed ภาคแรก ปล่อยออกมาในปี 2007 ได้สร้างความฮือฮาให้กับเหล่าเกมเมอร์ตั้งแต่ วีดีโอเปิดตัวที่เท่ ระบบการเล่นที่สนุก พร้อมกับโลก Open World ที่มีอะไรให้ทำมากมาย ซึ่งจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านไปแล้วถึง 11 ปี และหลังจากที่ Ubisoft ได้เปิดตัว Trailer ใหม่สั้น ๆ ของ Assassin’s Creed ในชื่อ Assassin’s Creed : ODYSSEY ในโอกาสนี้ เราจึงขอนำเสนอ 10 ภาค ของ Assassin’s Creed ที่ยอดเยี่ยมที่สุดมาให้ท่านได้รับชม
10.Assassin’s Creed: Revelations
“Assassin’s Creed: Revelations” เป็นภาคจบไตรภาคของตัวละครนักฆ่าในดวงใจของใครหลายคน นามว่า “Ezio” ที่ภาคนี้ได้เปลี่ยนจากประเทศ Italy จากที่แฟน ๆ คุ้นเคยมาสู่กรุง Constantinople (เมือง Istanbul) เมืองหลวงของจักรวรรดิ Ottoman ในสมัยนั้น โดยในภาคนี้ได้มีการเสริมเนื้อหาที่เป็นส่วนขาดหายไปในแต่ละภาค เนื้อเรื่องที่เชื่อมกันระหว่าง “Ezio” , Altair และ Desmond อย่างลงตัว
นอกจากนี้ตัวเกมยังได้เพิ่มระบบใหม่ เช่นการเพิ่มตะขอที่ช่วยเพิ่มทางเลือกในการปีนป่ายและการต่อสู้ การคราฟระเบิด การเพิ่ม Mini-Game เหมือนเกม Tower Defense โดยรวมแล้วระบบภาคนี้ถือว่าดีทีเดียว
ข้อเสียของภาคนี้คือการที่ระบบการเล่นต่าง ๆ หากไม่นับจากของที่เพิ่มมาใหม่ ภาคนี้แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรจากตัวเกมภาคก่อนเลย (Brotherhood) นอกจากนี้เกมการเล่นในส่วนของ Desmond ก็ไม่สนุกหากเทียบกับภาคอื่น ๆ
9. Assassin’s Creed
“Assassin’s Creed” ภาคแรก เปิดตัวด้วยเรื่องราวของสมาชิกท่านหนึ่งของภารดรนักฆ่านามว่า “Altair” ที่ได้ออกทำภารกิจแล้วเกิดความผิดพลาดและนึกว่าตัวเองได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่เขากลับไม่ตายและได้กลับมาเป็น Assassin อีกครั้งแต่ก็ต้องแลกกับการปกปิดตัวตนและต้องทำงานแก้ตัว ถือเป็นภาคเปิดตัวที่ดีมาก ฉากเมืองต่าง ๆ ทั้งเยรูซาเล็ม อาเค (Acre) ดามัสกัส ล้วนทำออกมาได้อย่างสวยงาม สำหรับปี 2007
ระบบการต่อสู้ของภาคนี้ทำออกมาได้โอเค (แม้จะเน้นการ Counter มากเกินไป) ซึ่งภาคนี้คือต้นกำเนิดของซีรีส์ภารดรนักฆ่า ที่เหล่าเกมเมอร์ต่างจับตามองและมีภาคต่อออกมามากมายจนถึงปัจจุบัน
ข้อเสียหลัก ๆ ของภาคนี้คือ หากเทียบกับ Gameplay ภาคใหม่ ๆ ภาคนี้จะถือว่าช้าที่สุด การเคลื่อนไหวของตัวละครไม่อิสระเท่าที่ควร Cutscenes ที่ไม่สามารถกดข้ามได้ ดังนั้นหากจะลองย้อนกลับมาเล่นตั้งแต่ภาคที่ 1 อาจจะต้องพิจารณาข้อเสียเหล่านี้
8.Assassin’s Creed III
Assassin’s Creed III เปิดตัวมาพร้อมกับความ Hype ของเหล่าแฟน ผู้เล่นจะได้ส่วนบทเป็นนักฆ่านามว่า “Connor’s” (ชื่อจริง Ratonhnhaké:ton) ที่คราวนี้ Templar ไม่ได้ต้องการที่เพียงแค่กำจัดเหล่า Assassin เท่านั้น แต่ยังต้องการที่จะมาปกครองบรรดาเหล่าอาณานิคมของสหรัฐอเมริกา ผู้เล่นจะต้องร่วมมือกับ George Washington ในการต่อสู้กับเหล่า Templar และต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศสหรัฐอเมริกา
ตัวเกมไม่ได้สู้กันตามตึกรามบ้านช่องเท่านั้น แต่ยังมีป่าไม้อันกว้างใหญ่พร้อมทั้งระบบใหม่ ๆ อย่างการล่าสัตว์ เดินเรือ การสร้างอาณานิคมของเราเอง (มีเนื้อเรื่องแยกต่างหาก) ทำให้ภาคนี้เล่นได้สนุกในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ นี่เป็นภาคแรกที่ได้มีการนำปืนเข้ามาใช้ ทำให้ระบบและการต่อสู้หลากหลายขึ้นกว่าภาค Revelations
ข้อเสียของภาคนี้คือ ในส่วนของเนื้อเรื่องตัวเกมให้เวลาในการปูเรื่องนานไปหน่อย โดยผู้เล่นจะต้องเล่นถึง Sequence 6 จึงจะได้เห็น Connor’s กลายเป็น Assassin สมใจผู้เล่น แถมศัตรูของเราก็ไม่ค่อยจะท้าทาย ด้วยความที่พวกมันมีลักษณะการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนและเดาทางได้ง่าย (หรือผู้เล่นอาจจะเก่งเกินไป ก็เป็นได้)
7.Assassin’s Creed: Unity
หลังจากที่ออกทะเล (Assassin’s Creed IV: Black flag ที่ลงเรือออกทะเลจริง ๆ) ในภาคนี้จึงได้ใช้ฝรั่งเศสเป็นธีมหลักของการดำเนินเนื้อเรื่อง โดย Time line ของภาคนี้จะเกิดขึ้นในช่วงของการปฏิวัติฝรั่งเศส โดยพระเอกภาคนี้มีนามว่า อาร์โน โดเรียน ที่พ่อของเขาถูกสังหารในวัยเด็กทำให้เขาเปลี่ยนตัวเองเป็น Assassin และออกไปล้างแค้นให้กับพ่อของเขา ด้วยพลังของ Engine ใหม่ทำให้ภาพของกรุง Paris ดูสวยงามกว่าทุก ๆ เกมที่ผ่านมา AI ของผู้คนที่แตกต่างกันในแต่ละโซน ทำให้กราฟิกถือเป็นจุดขายสำคัญของภาคนี้
ตัวเกมได้เปลี่ยนแปลงระบบของเกมการเล่นใหม่ โดยเพิ่มความเป็น RPG ที่ผู้เล่นจะต้องอัพเกรด Skill อัพเกรด Item นอกจากนี้ยังเพิ่มระบบ Co-op ที่ทำได้สนุก น่าเสียดายที่ระบบนี้ได้ถูกตัดออกในภาคต่อ ๆ ไป
Assassin’s Creed Unity ภาคนี้เปิดตัวมาได้ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากตัวเกมที่ Optimize ไม่ดี Bug และปัญหาด้านกราฟิก ทำให้ภาคนี้ได้กลายเป็นจุดด่างพร้อยและกลายเป็นบทเรียนสำคัญของทาง Ubisoft ที่ต้องนำไปพัฒนาต่อ แต่หากมองข้ามข้อเสียเหล่านี้ไป Assassin’s Creed Unity ก็เป็นเกม Assassin Creed ที่ดีภาคหนึ่ง
6. Assassin’s Creed: Rogue
แม้ว่าภาคนี้จะเป็นภาคเสริมของ Assassin’s Creed IV : Black Flag แต่ภาคนี้ก็ทำได้ดีมากกว่าการเป็นภาคเสริม คราวนี้เราจะเปลี่ยนจากการเล่นเป็น Assassin มาเป็นศัตรูตลอดกาลอย่าง Templar ตัวเอกภาคนี้คือ Shay Patrick Cormac แต่ด้วยเหตุการณ์บางอย่างทำให้เขาเปลี่ยนตัวเองจาก Assassin มาเป็น Templar และเริ่มล้างบางเหล่า Assassin ให้หมดไปจากดินแดนอเมริกา
แม้ว่าระบบหลายอย่างจะนำมาจากภาค Black Flag แต่ตัวเกมก็ได้เสริมส่วนต่าง ๆ ให้ดีกว่าเดิม รายละเอียดของสถานที่ต่าง ๆ ที่ทำได้ดีกว่าภาค Black Flag ไม่ว่าจะเป็นการล่าที่สนุกกว่าทั้งภาค 3 และ Black Flag เนื้อเรื่องที่เข้มข้นยิ่งกว่า แม้ว่าเนื้อเรื่องของภาคนี้จะสั้นหากเทียบกันภาคอื่น ๆ แต่ก็แลกมากับความกระชับของเนื้อเรื่อง
แม้ว่าโดยรวมระบบต่าง ๆ จะอัพเกรดดีขึ้นแต่ก็ไม่ได้มีมากไปกว่าที่กล่าวมาข้างต้น และเป็นที่น่าเสียดาย เพราะภาคนี้ได้ออกมาในช่วงที่ใกล้เคียงกับภาค Unity ทำให้กระแสของภาคนี้ค่อย ๆ จางหายไปและกลายเป็นภาคที่ดีแต่ไม่ค่อยมีคนกล่าวถึง
5.Assassin’s Creed: Origins
หลังจากความสำเร็จของ Assassin’s Creed: Syndicate Ubisoft ได้กลับมาจัดหนักจัดเต็มอีกครั้งในภาคนี้ Assassin’s Creed: Origins ถือเป็นภาคที่เปิดตัวได้อย่างฮือฮาที่สุดในแฟรนไชส์ เพราะได้เปลี่ยนมาใช้ธีมเป็นอียิปต์โบราณในช่วงของราชินีคลีโอพัตรา เนื้อเรื่องของภาคนี้จะย้อนไปถึงช่วงก่อนที่จะมีการตั้งภราดรนักฆ่า โดยคราวนี้เราได้รับบทเป็น Bayek ทหารเม็ดไจ (Medjay) องค์รักษ์แห่งกษัตริย์ฟาโรห์ และผู้พิทักษ์สันติสุขแห่งดินแดนอียิปต์ แต่เมื่อเขาต้องตกเป็นเหยื่อของการสมคบคิดที่มีกษัตริย์ฟาโรห์ร่วมมืออยู่ด้วย เขาจึงหันหลังให้กับราชบัลลังค์ และออกตามล่าทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ในภาคนี้ได้เปลี่ยนแปลงระบบการเล่นหลาย ๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นระบบ Level ที่ทำให้ผู้เล่นจำเป็นต้องออกสำรวจโลกและทำภารกิจให้มากกว่าเดิม การต่อสู้ที่ไม่ได้ใช้ระบบ Counter เหมือนที่ผ่านมา แต่ผู้เล่นจะต้องใช้ทักษะในการเข้าตีและตั้งรับ นอกจากนี้กราฟิกก็ทำมาได้อย่างสวยงาม สถานที่ต่าง ๆ ของเกมก็ทำออกมาได้น่าค้นหาและควรค่าแก่การออกไปสำรวจ ทำให้ภาคนี้ถือเป็นภาคที่ควรค่าแก่การเล่นที่สุดในเวลานี้
ข้อเสียของภาคนี้คงจะเป็นเรื่องของ AI ศัตรูที่ยังไม่ได้มาตรฐานเท่าไหร่ และปัญหาของการกินแรงเครื่องที่หนักมาก ๆ บนเวอร์ชั่น PC ซึ่งเวอร์ชั่นคอนโซล อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับท่านที่สนใจ
4. Assassin’s Creed: Syndicate
ในภาคนี้ ได้เปลี่ยนจากประเทศฝรั่งเศสในภาค Unity มาเป็นประเทศอังกฤษในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม ตัวเอกของเราจะไม่ได้มีตัวเดียวเหมือนภาคอื่น ๆ แต่เป็นคู่พี่น้องฝาแฝด Evie และ Jacob Frye แม้จะไม่ได้รับอณุญาตจากทางภารดรนักฆ่า แต่พวกเขาก็ตั้งใจที่จะหยุดการคุกคามของ Templar ที่กำลังก่อตัวขึ้นใน London ด้วยความที่พวกเขาไม่มีการสนับสนุนจากภราดรนักฆ่า ฝาแฝด Frye จึงต้องก่อตั้งแก๊งค์มาเฟียของตนเอง เพื่อเป็นกำลังในการกำจัดความอยุติธรรม
หลังจากที่ได้รับบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ใน Assassin’s Creed: Unity มาภาคนี้ทีมงานได้กลับไปใช้ระบบจากภาคเดิม ๆ ตัดระบบ Co-op ออกไป เน้น Gameplay ให้สนุกยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มสิ่งใหม่อย่างปืนยิงตะขอที่ทำให้การปีนป่ายของเราสะดวกกว่าเดิม นอกจากนี้ตัวเอก ทั้ง 2 ตัว จะมีความแตกต่างกันทั้งบุคลิกและความสามารถ ที่ถือเป็นสีสันหลักของภาคนี้ ในด้านกราฟิกก็ทำออกมาได้ดีตามมารตฐานจากภาค Unity แต่ที่ดียิ่งกว่าอย่างชัดเจน คือการกินแรงเครื่องที่น้อยลงและมีการ Optimize ที่ดีกว่า
แต่ด้วยระบบการเล่นที่ง่ายมาก จนถึงง่ายเกินไป ทำให้มันกลายเป็นดาบ 2 คม โดยมันเป็นภาคที่เข้าถึงง่ายมาก ๆ แต่ก็เป็นภาคที่ทำให้เราเบื่อเร็วมากเช่นกัน
3.Assassin’s Creed IV: Black Flag
ภาคนี้เป็นการเล่าเรื่องย้อนไปก่อนเหตุการณ์ภาคที่ 3 โดยเป็นศตวรรษที่ 18 ยุคทองของโจรสลัด เราจะรับบทเป็น Edward Kenway หนุ่มชาวอังกฤษที่ขึ้นเรือออกมาผจญภัย แต่แล้วเรือของกลับอับปางลง เขาได้ถูกคลื่นซัดไปติดเกาะกับ Assassin คนหนึ่งและนั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้เขากลายเป็นโจรสลัดในคราบของ Assassin
Assassin’s Creed IV ได้นำเอาระบบเดินเรือของภาค 3 มาอัพเกรดใหม่ โดยยกให้เป็นระบบชูโรงของภาคนี้ไปเลย พร้อมทั้งระบบ Gameplay ที่ทำออกมาได้ดีทุกด้าน การต่อสู้ที่หลากหลายมากขึ้น และระบบปืนที่สามารถยิงได้ต่อเนื่องกว่าภาคที่แล้ว นอกจากนี้ตัวเกมยังเต็มไปด้วยภารกิจมากมาย พร้อมทั้งการอัพเกรดตัวละครที่เป็นการผสมกันระหว่าง Farcry 3 กับ Assassin’s Creed
ข้อเสียของภาคนี้คือ เนื้อเรื่องของภาคนี้ช่วงแรกมีความเข้มข้นมาก แต่ก็เริ่มอ่อนลงในช่วงกลาง เพราะว่าผู้เล่นจะไปเป็นโจรสลัดมากกว่าจะเป็น Assassin (ฮา)
2.Assassin’s Creed II
ภาคต้นกำเนิดของมือสังหารขวัญใจมหาชน “Ezio Auditore” โดยก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นมือสังหาร เขาคือหนุ่มเจ้าสำราญประจำเมือง Florence แต่หลังจากที่ครอบครัวของเขาต้องจบชีวิตด้วยการทรยศจากเพื่อนสนิทของพ่อเขา Ezio จึงสวมชุด Assassin และออกล้างแค้นคนที่อยู่เบื้องหลังการสังหารครอบครัวของเขา
หากพูดถึงเกมภาคต่อที่ยอดเยี่ยม Assassin’s Creed II น่าจะมีชื่ออยู่ในอันดับต้น ๆ ด้วยดีไซน์ตัวละครหลักที่น่าจดจำที่สุดในซีรี่ส์ พ่วงด้วยการอัพเกรดทุกอย่างที่ดีขึ้นเท่าตัว ทั้งฉากที่ออกแบบได้อย่างสวยงาม ระบบการเล่นที่ลื่นไหล ความเป็น RPG ที่ลงตัว ชุดของตัวละครที่ตกแต่งได้ อาวุธที่หลากหลายกว่าเดิม และเนื้อเรื่องที่เข้มข้นอย่างมาก ซึ่งไม่น่าแปลกใจ หากภาคนี้จะเป็นภาคที่ยอดเยี่ยมที่สุดของใครหลายคน เพราะตัวผู้เขียนเองก็ไม่อาจหาข้อเสียใด ๆ มาอ้างได้เลย
1.Assassin’s Creed: Brotherhood
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในภาค 2 คราวนี้ Ezio ได้แยกทางกับลุง Mario เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและวางมือจากการเป็นนักฆ่า แต่ขณะที่เขากำลังพักผ่อนนั่นเอง เมืองของเขาก็ถูกบุกโดย Cesare Borgia ลุง Mario ถูกสังหาร Apple of Eden ตกไปอยู่ในมือของ Templar อีกครั้ง ทำให้เขาต้องออกไปชิง Apple of Eden และแก้แค้นให้กับลุง Mario
สมบูรณ์แบบทั้งระบบการเล่นและเนื้อเรื่อง โดยคราวนี้ Ezio ของเราไม่ได้เป็นเพียงนักฆ่า แต่เขาคือหัวหน้าของภารดรนักฆ่า ทำให้ Ezio ภาคนี้เด่นยิ่งกว่าภาค 2 และกลายเป็นตำนานของซี่รี่ส์นี้ไป ส่วนระบบการเล่นได้มีการเอาเหล่าสมาชิกมือสังหารมาเป็นผู้ช่วย ทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็น Brotherhood จริง ๆ ไม่ใช่ Assassin ฉายเดี่ยว ในส่วนของ Gameplay ภาคนี้ได้ทำระบบการเล่นให้ดูสนุกท้าทายกว่าเดิม เพราะศัตรูจะค่อนข้างดุดันและมีความเร็วที่มากขึ้น ซึ่งพวกมันจะทดสอบการตอบสนองของผู้เล่นในระดับนึงทีเดียว
แม้ว่าผู้เขียนจะชอบภาค 2 มากเท่าไหร่ แต่เมื่อมองโดยภาพรวมแล้ว ยังไงก็ต้องยกให้ Brotherhood เป็นที่สุดของซีรีส์ Assassin’s Creed จริง ๆ
เป็นยังไงกันบ้างครับ กับ 10 อันดับของเกม Assassin’s Creed หากเพื่อน ๆ อยากจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของซีรี่ส์นี้ก็ลองมาพูดคุยกันในช่องคอมเมนท์ได้เลยครับ