สำหรับเกมแนวแฟนตาซี มังกรถือเป็นสัตว์ในตำนานที่จะขาดไปไม่ได้ ด้วยความที่พวกมันนั้นมีขนาดใหญ่ พลังมหาศาล และมีองค์ความรู้มากมายจากการเรียนรู้ตลอดอายุขัยที่ยาวนานของพวกมัน ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญหน้าในฐานะบอสหรือตัวละครในทีมก็ล้วนเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น
แต่สำหรับมังกรที่ถูกยกย่องว่าเป็นราชันย์แห่งมังกรที่อยู่เหนือทุกคน เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามและพลังอันยิ่งใหญ่โดยที่ไม่ใครเทียบเคียงได้ และอยู่ในโลกของวิดีโอเกมอย่างยาวนานคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Bahamut นั่นเอง
ความเป็นมา
อันที่จริงแล้วตำนานของ Bahamut นั้นมีที่มาจากประเทศทางฝั่งตะวันออกกลาง(หรือที่เราชอบเรียกกันว่าอาหรับ) ซึ่งตัวจริงของมันนั้นไม่ใช่มังกร แต่เป็นสัตว์ทะเลขนาดยักษ์ที่อาศัยอยู่ลึกลงไปในมหาสมุทร และเชื่อกันว่ามันมีขนาดใหญ่มากขนาดที่ผืนน้ำในมหาสมุทรทั้งโลกยังไม่สามารถปิดบังตัวของมันได้เลย หลายคนเชื่อว่า Bahamut นั้นช่วยทำหน้าที่ในการแบกโลกของเราเอาไว้ เมื่อมันขยับตัวก็จะเกิดแผ่นดินไหวขึ้น
ชื่อของ Bahamut ปรากฏอยู่ในสื่อบันเทิงครั้งแรกในเกม Table Top RPG ยอดนิยมระดับโลก Dungeons & Dragons ใน AD & D Monster Manual ฉบับปี 1977 ซึ่งสายพันธุ์ของสัตว์ในเครือมังกร ปลาและ Serpant นั้นใกล้เคียงกัน จึงไม่น่าแปลกใจที่ชื่อของ Bahamut ที่เป็นสัตว์ในตำนานของอาหรับนั้นถูกแปลงมาเป็นมังกรในเกมนี้
Dungeons & Dragons ได้รับความนิยมอย่างสูงในฝั่งตะวันตก วิดีโอเกมแนว RPG หลายเกมล้วนมีแรงบันดาลใจและดัดแปลงเนื้อหาของมันมาใช้อย่างมากมาย และชื่อของ Bahamut ก็ถูกนำมาใช้กับฝักฝ่ายหรือ Faction ของเกมในฝ่าย Lawful Good เป็นนักรบมังกรที่ออกปกป้องประชาชนและปราบคนชั่ว และชื่อเสียงนี้แพร่ขยายมาจนถึงฝั่งตะวันออกด้วยเหมือนกัน เช่น Final Fantasy เป็นต้น แต่ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นมังกรที่มีความน่าเกรงขามเหนือใคร
สำหรับเกม Final Fantasy นั้น Bahamut มีบทบาทมาตั้งแต่เกมภาคแรกในฐานะ NPC ของเกม ซึ่งเขาจะอยู่ที่ใต้เกาะ Cardia Island และทำหน้าที่อัปเกรดอาชีพให้ตัวละครของผู้เล่นให้เก่งขึ้น ก่อนที่จะกลายมาเป็นบอสให้ปราบในภาคที่สาม ซึ่งเมื่อจัดการเขาได้เราก็จะได้มนต์อสูร Bahamut ที่แข็งแกร่งที่สุดในเกมเอาไว้ในครอบครอง
และหลังจากนั้นเป็นต้นมา Bahamut ก็กลายเป็นมนต์อสูรขาประจำของซีรีส์ Final Fantasy ในที่สุด ยิ่งในภาคหลังนั้นมีออกมาหลายร่างเช่น Neo Bahamut และ Bahamut Zero ในภาคเจ็ด และพลังของราชันย์มังกรตนนี้ก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลย กลับกันพลังที่มีก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนยากที่จะจินตนาการเลยว่าจะมหาศาลกว่านี้อีกได้อย่างไร
นอกจาก Final Fantasy แล้ว เกม RPG ซีรีส์อื่นในฝั่งตะวันออกหลายเกมก็มีการหยิบเอา Bahamut ใส่เป็นมนต์อสูรหรือบอสระดับสูงให้ได้ต่อกรด้วยมากมาย เช่น Granblue Fantasy ที่มาในฐานะ Raid Boss ที่ทุกคนต้องฟาร์ม กับมนต์อสูรสุดเจ๋ง จนมังกรตนนี้แทบจะเป็นภาพจำของเกม RPG ทางฝั่งตะวันออกไปแล้วในตอนนี้
พลังและความสามารถ
โดยส่วนใหญ่แล้ว Bahamut นั้นมีพลังมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยรูปลักษณ์อันใหญ่โตและเสียงร้องของมันก็ข่มขวัญศัตรูจนยืนแทบไม่อยู่แล้ว และไม่ใช่การโจมตีทางการภาพอย่างเช่นท่ากรงเล็บอันรวดเร็วที่น่ากลัวเท่านั้น ท่าลำแสงอย่าง Megaflare ที่โจมตีแบบไร้ธาตุทั้งกลุ่มนั้นเป็นท่าที่ต่อต้านได้ยากมาก หากโดนเข้าไปอาจต้องโหลดเซฟกันใหม่อีกรอบได้เลย
และในร่างพัฒนาแล้วอย่าง Neo Bahamut และ Bahamut Zero ที่ผู้เล่นได้เจอใน Final Fantasy VII ภาคดั้งเดิมนั้นก็มีการอัปเกรดความร้ายกาจของท่าไม้ตายขึ้นไปเป็น Gigaflare, Teraflare และ Exaflare
และถึงแม้ในบางครั้งตัว Bahamut จะไม่ได้เป็นบอสตามเนื้อเรื่องโดยตรง แต่ทุกครั้งที่เขาเผยโฉมมาเป็นบอสลับของเกมก็มักจะสร้างความลำบากให้กับผู้เล่นอย่างมหาศาล แต่ถ้าหากเอาชนะเขาได้ รางวัลที่ยิ่งใหญ่ก็จะรอเราอยู่อย่างแน่นอน
การปรากฏตัว
Bahamut ถือเป็นมนต์อสูรและบอสขาประจำของซีรีส์ Final Fantasy มาอย่างยาวนานแทบทุกภาคทั้งภาคหลักภาคย่อย แม้กระทั่งเกมอื่น ๆ ในเครือของ Square Enix เองก็มีการนำสัตว์อสูรตัวนี้ไปใส่ในฐานะบอสหรือมนต์อสูรอยู่เสมอ ๆ เช่น Bahamut Lagoon, Kingdom Hearts, Lord of Vermillion เป็นต้น และยังมีเกมของค่ายอื่นเช่น Granblue Fantasy หรือ Dungeons & Dragons รวมไปถึงนิยายแบบ Light Novel ต่าง ๆ เรียกว่าถ้าเล่นเกม RPG หรืออ่านนิยายแนวแฟนตาซีในฝั่งญี่ปุ่นสักอย่าง เราต้องมีโอกาสได้เห็น Bahamut โผล่มาค่อนข้างแน่นอนทีเดียวครับ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง: Bahamut Wikipedia, Final Fantasy Wiki