ในขณะที่เรากำลังจะได้สัมผัสเวอร์ชั่น Remake ของ Dead Space กันในช่วงสิ้นเดือนนี้แล้ว มีข่าวยืนยันออกมาว่าสำหรับผู้ที่ Pre-Order ตัวเกมภาค Remake ก็จะได้ตัวเกมภาค 2 ไปเล่นกันแบบฟรี ๆ ด้วย ไม่ให้ขาดตอน สำหรับแฟนเกมนั้นอาจจะรู้กันดีอยู่แล้ว แต่กับแฟนหน้าใหม่ของ Dead Space นั้น ภาค 2 ของแฟรนไชส์นี้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่มีภาคต่อยอดเยี่ยมมาก ๆ อย่าง Dead Space 2 นี่แหละ เพราะอะไรหลายคนถึงยกย่องภาคนี้ไม่ต่างจากภาคแรก วันนี้เราจะพาทุกท่านมาหาคำตอบนี้
พัฒนาขึ้นทุกอย่างจากภาคแรก
โปรเจกต์ Dead Space 2 เริ่มต้นการพัฒนาตั้งแต่ปี 2008 หรือเอาง่าย ๆ ทำภาคแรกกันเสร็จก็เริ่มทำภาค 2 กันต่อทันที ด้วยกระแสตอบรับของเกมภาคแรกที่ออกมาดีอย่างมาก ทำให้ทางผู้อำนวยการสร้างเกมในตอนนั้นออกมายอมรับว่า ทีมงานรู้สึกกดดัน แต่ก็เป็นการกดดันตัวเองเพื่อพัฒนาภาคต่อให้เป็นไปตามความคาดหวังของแฟน ๆ
ในตอนนั้น EA ได้ให้ทุนในการทำภาคต่อมาอยู่ที่ 60 ล้านดอลลาร์ ซึ่งผู้กำกับเกมอย่าง Wright Bagwell ไม่ได้ออกมาบอกตัวเลขที่ชัดเจน แต่เขาบอกว่ามันค่อนข้างน้อยไปในการทำภาคต่อที่ใช้เวลาทำนานถึง 2 ปีครึ่ง และตอนนั้น Glen Schofield ผูส้ร้างให้ภาคแรกกลายเป็นตำนานก็ลาออกไปแล้วเพื่อก่อตั้ง Sledgehammer Game
เป้าหมายในการสร้างเกมภาค 2 คือจะเป็นการสร้างเกมที่เข้าถึงผู้คนได้ง่ายขึ้น ขัดเกลาให้ดีขึ้น ดึงดูดผู้คนมากขึ้น และทำให้การควคบุม และอะไรหลาย ๆ อย่างในเกมดูดีขึ้นด้วย ใครที่เล่น Dead Space ภาคแรกมา น่าจะขัดใจหลาย ๆ อย่างในการควบคุมตัวละคร Isaac พอสมควร ทั้งการเดิน การเคลื่อนไหว การยิง แต่ในภาค 2 นั้นดูลื่นไหลและคล่องตัวขึ้นมาก สาเหตุก็เพราะเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทีมงานตั้งใจจะปรับปรุงมัน ในด้านของศัตรูก็ได้รับการออกแบบใหม่ เพื่อให้สมกับความเป็นเกมแอ็คชั่นมากขึ้น แต่จะยังรักษาบรรยากาศและองค์ประกอบของความสยองขวัญจากภาคแรกเอาไว้ ส่วน UI นั้น ยกมาจากเกมภาคแรกเลย คือไม่ต้องมีตัวเลขสถานะบอกอะไร ให้มันเหมือนกับภาพโฮโลแกรม ทั้งคัทซีน จำนวนกระสุน Stasis จะเหมือนกับภาคแรกทั้งสิ้น
สิ่งที่เพิ่มเข้ามาในภาคนี้ โดยยึดตามฟีดแบคจากแฟน ๆ คือการสร้างโหมด Multiplayer รวมไปถึงตัว EA เอง ในตอนนั้น Ben Wanat เผยว่า EA อยากผลักดันให้เกมมีระบบผู้เล่นหลายคนตั้งแต่เกมแรก เพื่อขยายความน่าสนใจให้กับแฟน ๆ จึงจำเป็นต้องใส่เพิ่มเข้ามาในที่สุด
เมื่อความแอ็คชั่น ผสมผสานกับความสยองขวัญได้อย่างลงตัว
แม้ว่า Dead Space ภาคแรกจะเป็นเกมแอ็คชั่นสยองขวัญก็จริง แต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าในภาคแรกนั้น ต้องใช้ความกล้าพอสมควรในการต่อสู้กับศัตรูสุดแสนจะน่าสยดสยองอย่าง Necromorphs และ Jump Scare อีกมากมายหลายฉาก รวมไปถึงการออกแบบฉาก ภารกิจ บรรยากาศ เช่นหากอยู่ในพื้นที่ Zero-G เราก็จะไม่ได้ยินเสียงใด ๆ ในการต่อสู้ หรือแม้แต่เสียงของศัตรูก็อาจจะทำให้เราโดนตีจนตายโดยไม่รู้ตัวเลยก็ได้ ยังไม่รวมถึงระบบการควบคุมที่ค่อนข้างแปลกไปเสียหน่อย จนหลายคนอาจทำใจเล่นไม่จบ
ดังนั้นอย่างที่บอกไว้ในหัวข้อที่แล้ว จุดประสงค์หลักของ Dead Space 2 นี้ คือการปรับปรุงทุกอย่างให้ดีขึ้นทั้งหมด อย่างแรกที่เราสัมผัสได้ก็คือการควบคุมที่ลื่นไหลขึ้นมาก การเล็งยิง การเดินของ Isaac นั้นจะคล่องตัวกว่าภาคแรกอย่างเห็นได้ชัด การใช้ปืนยิงแม่นยำขึ้น เพราะการควบคุมที่ง่ายขึ้นด้วย ส่วนของการเล่าเรื่องนั้นก็เปลี่ยนไปด้วย จากภาคแรกที่จะเล่าแบบเป็น Chapter ฉากต่อฉาก แต่ในภาค 2 จะเป็นการเล่นแบบเป็นเส้นตรง ยาวไปเรื่อย ๆ แทน
อาวุธและชุดเกราะในภาคนี้ก็จะมีความหลากหลายกว่าภาคที่แล้วมากพอสมควร อย่างเช่นอาวุธที่มีหลากหลายทางเลือกให้เราได้ใช้งานกัน เช่นประเภท Forged อาจจะทำดาเมจได้เยอะกว่า แต่ก็รีโหลดช้ากว่า และอาวุธต่าง ๆ จากภาคแรก ไม่ว่าจะเป็น Plasma Cutter, LINE Gun ก็ตามมาจากภาคแรก และมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบอาวุธ หรือการยิงบางส่วนให้แตกต่างกันไปจากภาคแรกด้วย
หรือชุดสูทที่ให้เลือกหลายแบบมาก แล้วแต่สถานการณ์ ทำให้เรามีทางเลือกในการเล่นที่เยอะมากขึ้น และที่ผู้เขียนชื่นชอบที่สุดคือการปรับปรุงระบบการเคลื่อนที่ในพื้นที่ Zero-G จากภาคแรกที่เราไม่มีอิสระในการควบคุมตัวละครเลยขณะลอยล่องอยู่ในอวกาศ แต่ภาคนี้เราจะบินได้แบบติดเจ็ทแพค ทำให้คล่องตัวขึ้นไปอีก ทั้งหมดนี้ทำให้ Dead Space 2 นั้น เป็นเกมที่ลดความน่ากลัวลง (นิดหน่อย) แล้วไปเพิ่มความแอ็คชั่นให้สนุกมากขึ้น และเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่าง Action และ Horror ในขณะที่ด้านเนื้อเรื่องของเกมนี้ก็เป็นการเล่าเรื่องต่อจากเกมภาคแรก ที่ยังต้องเผชิญหน้ากับฝูง Necromorphs และแผนการอันชั่วร้ายของรัฐบาลโลกที่สร้าง Marker ขึ้นมาอีกหลายชิ้น ยิ่งทำให้ภาพรวมของเกมนั้นกลมกล่อมและลงตัวมาก ๆ
ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ Dead Space 2 เป็นอีกหนึ่งเกมอันดับต้น ๆ ของวงการเกม ด้วยคะแนนสูงระดับ 90/100 จากเหล่าผู้เล่นและนักวิจารณ์
เป็นโอกาสอันดีที่แฟน ๆ ที่ยังไม่เคยเล่นจะได้สัมผัสกัน เพราะแม้เกมจะเก่าแล้ว แต่หากหยิบมาเล่นในตอนนี้ มันก็ยังดูไม่ตกยุค และสนุกเหมือนเดิม แถมเกมก็ลดราคาไปบ่อยมากบน Steam แต่ใครที่ยังไม่เคยเล่น และสนใจภาค Remake ตัวเกมก็จะ
